บทที่ 5
“เฮ้อ! ท่านอ๋อง จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือเพคะ หรือพระองค์จะทรงลืมไปแล้ว ว่าในวันนั้นเพราะองค์ทรงไปหาหม่อมฉันเหมือนเช่นเคย พร้อมกับพูดตอกย้ำหม่อมฉันซ้ำ ๆ ว่าต้องการถอนหมั้น อีกทั้งยังให้เหตุผลกับหม่อมฉันว่าพระองค์ไม่เคยรักหม่อมฉันเลย ขนาดหม่อมฉันร้องไห้แทบขาดใจจนรู้สึกเจ็บและแน่นหน้าอกขึ้นมา พระองค์ยังไม่แม้แต่จะชายตาแลมองหม่อมฉันเสียด้วยซ้ำ” เหมยหลินยิ้มเยาะให้กับตัวเอง เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
"..."
“แล้วอย่างนี้จะให้หม่อมฉันเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้งไว้กับพระองค์ได้อย่างไร หม่อมฉันคงไม่โง่งมถึงเพียงนั้น บุรุษที่ไร้หัวใจเช่นพระองค์ หม่อมฉันไม่คิดจะเอามาเป็นคู่ชีวิตหรอกเพคะ เพราะชีวิตของหม่อมฉันมีค่ามากกว่าพระองค์ในตอนนี้เสียอีก” เมื่อนางพูดจบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เหล่าขุนนางน้อยใหญ่รวมไปถึงเหล่าสตรีต่างพึงพอใจในคำตอบของหญิงสาว
พวกนางล้วนเห็นด้วย ว่ามิควรเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงกับบุรุษที่ไร้หัวใจ และไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเองเช่นนี้
“ถ้าพระองค์จะทรงยืนยันที่จะไม่ถอนหมั้นกับหม่อมฉันก็ไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันมีข้อแลกเปลี่ยน” หญิงสาวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"แลกเปลี่ยนสิ่งใด" ครานี้ไม่ใช่เสียงท่านอ๋อง แต่กลับเป็นเสียงของฮองเฮาที่เอ่ยขึ้นมาแทน
“ท่านอ๋องจะต้องเลิกยุ่งกับน้องสาวของหม่อมฉันอย่างเด็ดขาด เพราะพี่น้องไม่สมควรที่จะมีสามีคนเดียวกัน หากพระองค์เลือกที่จะแต่งงานกับหม่อมฉัน จวนอ๋องจะแต่งพระชายาหรืออนุกี่คนก็ได้ แต่คนคนนั้นต้องไม่ใช่น้องสาวของหม่อมฉัน หากพระองค์ทรงทำได้ หม่อมฉันก็พร้อมที่จะแต่งเข้าจวนอ๋องเพคะ”
"ท่านพี่" ลู่หลินเหลียนถึงกับผวา หัวใจของนางหล่นวูบ นี่มันอะไรกัน ไหนพระองค์บอกว่าจะถอนหมั้นกับพี่สาวของนาง ทำไมเรื่องถึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า นางเงยหน้ามองคนรักที่ยังคงนิ่งเงียบก็พลันรู้สึกใจหาย ถ้าเกิดเขายอมทำตามข้อแลกเปลี่ยนเล่า แล้วตำแหน่งพระชายาเอกนางก็คงไม่ได้เป็น ไม่!! นางไม่ยอม เขาเป็นของนาง
"เอาล่ะ ๆ เปิ่นกงเข้าใจแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากถอนหมั้นกับลูกชายของเปิ่นกง เปิ่นกงก็พร้อมจะสนับสนุนเจ้า" ฮองเฮาเอ่ยขึ้นเพราะพระนางคิดว่าขืนปล่อยให้ต่อปากต่อคำกันต่อไป มีหวังไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่ ถึงแม้จะรู้สึกเสียดายสตรีตรงหน้า แต่ในเมื่อพวกเขาทั้งสองตัดสินใจดีแล้ว นางก็ไม่คิดจะขัดขว้างแต่อย่างใด
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูก...”
“หลวนหลง ลูกควรจะดีใจมิใช่หรือ ที่นางยอมถอนหมั้นกับเจ้าง่าย ๆ แม่เองก็รู้อยู่แล้ว ถ้าเจ้าอยากจะหมั้นกับสตรีที่เจ้ารัก แม่ก็ไม่อาจขัดใจเจ้าได้" ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน พลางจ้องมองลูกชายของตนด้วยแววตาที่นิ่งสงบ ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์กำลังคิดเช่นใด
“ส่วนหลินเอ๋อร์ ตอนนี้ชีวิตเจ้าเป็นอิสระแล้ว”
"ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา" หญิงสาวยอบกายถวายพระพรตามธรรมเนียม
“กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอจาก
ฝ่าบาทโดยตรงได้หรือไม่เพคะ” หญิงสาวหลังจากที่นั่งตัดสินใจอยู่นานได้พูดขึ้น
"เจ้ามีเรื่องอันใดที่อยากจะขอ ถ้าเจิ้นให้เจ้าได้ เจิ้นก็จะให้เพื่อเป็นการชดเชยแทนโอรสของเรา"
“ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันอยากจะขอประทานอนุญาตสมัครเข้ารับราชการทหารหญิงได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันมีความฝันที่อยากจะทำให้สำเร็จเพคะ” หญิงสาวแจ้งความประสงค์ของตัวเองที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก การได้กลับมารับใช้แผ่นดินอีกครั้ง ก็อาจทำให้นางคล้ายความคิดถึงลงได้บ้าง
"ไม่ได้ เจ้าเป็นเพียงสตรีจะไปจับดาบ จับอาวุธได้อย่างไรกัน" เสียงตวาดลั่นของอดีตท่านแม่ทัพลู่ เรียกร้องความสนใจให้กับทุกคนได้เป็นอย่างดี หญิงสาวปรายตามองบิดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้ความรู้สึก
"ท่านพ่อ ข้าโตแล้ว ข้าขอเลือกทางเดินชีวิตของข้าเอง ท่านเอาเวลาไปดูแลเหล่าบรรดาลูกรักของท่านพ่อจะไม่ดีกว่า ปล่อยให้ลูกอย่างข้าได้ไปตามทางที่ได้ตัดสินใจเลือกแล้วด้วยเถิดเจ้าค่ะ" นางเอ่ยอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว
ลู่เทียนฉินนิ่งอึ้งกับสิ่งที่บุตรสาวคนรองได้พูดออกมา นี้เขาทำพลาดหนักหนาเสียแล้ว เขาปล่อยปละละเลยบุตรสาวคนรอง ไม่เคยสนใจ ดูแล ไม่แม้แต่จะชายตาแลมองด้วยซ้ำว่าบุตรสาวคนรองของเขาเป็นเช่นไร และรู้สึกเช่นไร มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่บุตรสาวได้เอ่ยตัดเยื่อใยจากเขาเสียแล้ว เขาคงเป็นบิดาที่แย่มาก สนใจบุตรโดยเท่าเทียมกัน ยกเว้นบุตรสาวคนรอง ตอนนี้กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว ลูกสาวของเขาโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว อย่างน้อยถ้าเขาปล่อยไป มันอาจจะเป็นการชดเชยให้ได้บ้างไม่มากก็น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ เจิ้นมิเคยเจอสตรีเช่นเจ้ามาก่อน ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ได้... ในเมื่อเจ้ากล้าขอ เราก็กล้าให้ แต่มีข้อแม้ เจ้าจะต้องกลับมาหาเราในอีกสามปีให้หลังพร้อมกับตำแหน่งรองแม่ทัพ เจ้าทำได้หรือไม่”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันทำได้เพคะ” ลู่เหมยหลินคุกเข่าน้อมรับคำสั่ง ใบหน้าของนางเปื้อนยิ้มอย่างมีความหวัง และนางจะไม่ทำให้ผิดหวัง นางจะเป็นนางร้ายที่พลิกบทบาทและสร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเอง จุดจบของนางเมื่อคราที่แล้วคือความตายจากบุรุษอันเป็นที่รัก แต่ครานี้นางจะขอตายเยี่ยงทหารที่ปกป้องบ้านเมือง
“ทูลฮองเฮา คุณหนูเหมยหลินมาแล้วเพคะ” นางกำนัลของฮองเฮากราบทูลเสียงดัง เมื่อเห็นหญิงสาวเดินตรงเข้ามาตามคำสั่งของเจ้าของตำหนักหลังจากที่จบงานเลี้ยงน้ำชา
“ให้นางเข้ามา” ประตูเปิดออกหลังสิ้นคำพูดของสตรีผู้ทรงอำนาจ หญิงสาวรู้สึกเกร็งเล็กน้อย
ร่างระหงค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปด้านใน ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย แผ่นหลังเหยียดตรงสง่างาม มือเรียวทั้งสองวางทับกันบริเวณหน้าท้อง หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการตื่นเต้นจนเกินไป
“ลู่เหมยหลิน ถวายพระพรฮองเฮา ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี เพคะ” นางยอบกายถวายพระพรตามธรรมเนียม
“ไม่ต้องมากพิธี” พระนางโบกมือพลางยิ้มให้นางแสดงถึงความรักและความเมตตาที่มีต่อหญิงสาว
“มา ๆ ให้เปิ่นกงสำรวจใบหน้าของเจ้าใกล้ ๆ หน่อย เจ้านี้ยิ่งโตยิ่งงดงามเหมือนกับแม่ของเจ้าไม่มีผิด เจ้าเห็นด้วยหรือไม่” ประโยคหลังพระนางหันไปเอ่ยกับนางกำนัลอาวุโสคนสนิท
“ขอบพระทัยเพคะ” หญิงแย้มยิ้มหวานปนเขินอาย ก่อนจะก้มศีรษะเล็กน้อย ให้กับนางกำนัลอาวุโสผู้ติดตามดูแลฮองเฮาเป็นเชิงให้ความเคารพ
“เปิ่นกงไม่เคยคิดเลยว่าสตรีในห้องหออย่างเจ้า จะมีความฝันอย่างบุรุษเช่นนี้ ถ้าแม่ของเจ้ายังอยู่ นางคงจะภูมิใจในตัวเจ้าไม่น้อย”
“ขอบพระทัยที่ทรงเข้าใจเพคะ” หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่ที่มารดาได้เสียไป
“หลินเอ๋อร์ ก่อนที่แม่ของเจ้าจะจากไป นางได้ฝากของสิ่งหนึ่งไว้ให้กับเจ้า และได้กำชับว่าจะต้องมอบให้หลังจากที่เจ้าตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองได้แล้วเท่านั้น” กล่าวจบพระนางก็ทรงสั่งให้นางกำนัลอาวุโสหยิบโฉนดที่ดินมายื่นให้กับนาง
“ที่ดินผืนนี้ แม่ของเจ้าตั้งใจที่จะซื้อเก็บไว้ให้เจ้า เผื่อในภายภาคหน้าเจ้าอาจต้องใช้มัน แม่ของเจ้ามิได้คิดทอดทิ้งเจ้าแต่อย่างใด แต่เพราะสุขภาพของแม่เจ้าไม่ค่อยดีนัก ที่นางไม่ยอมบอกเจ้าก็เพราะกลัวว่าจะเป็นห่วง ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจรั้งลมหายสุดท้ายของนางเอาไว้ได้” น้ำเสียงเจือปนไปด้วยความเศร้าเมื่อคิดถึงสหายเพียงหนึ่งเดียว แต่
ลู่เหมยหลินกลับลูบมือเรียวนั้นเป็นเชิงปลอบประโลม
“หม่อมฉันทนทุกข์มานาน หลังจากที่ท่านแม่จากไป แต่มาวันนี้หม่อมฉันเข้าใจทุกอย่างแล้วเพคะ” นัยน์ตาสีดำคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
“หลินเอ๋อร์ ขอให้เจ้าจงจำไว้ว่าเปิ่นกงคือคนจะที่คอยสนับสนุนเจ้าอยู่เบื้องหลัง”
“ทูลฮองเฮา องค์รัชทายาทมาขอเข้าเฝ้าเพคะ” ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีนางกำนัลเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
“เร็วเข้า รีบให้เขาเข้ามา” พระนางพูดพลางยิ้มกว้างทั้งยังหันมามองนางด้วยท่าทีสบาย ๆ องค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ...
เขาเป็นใครกัน หญิงสาวได้แต่สงสัย
“หลงเฟยถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงในชุดเกราะเต็มยศเดินเข้ามาตรงหน้านาง
บุรุษผู้นี้คือองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ ทำไมนางถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเขาจนน่าแปลกใจ
“ลุกขึ้นเถิด เจ้าเพิ่งจะกลับมาเหนื่อย ๆ ควรที่จะพักผ่อนให้สบายใจเสียก่อน แล้วค่อยมาหาแม่ก็ได้”
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอยากจะมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ก่อน แล้วนี่…”
“ถวายพระพรองค์รัชทายาท หม่อมฉันลู่เหมยหลินเพคะ” หญิงสาวลุกขึ้นยอบตัวทำความเคารพ
“อืม... เจ้าคือน้องสาวของลู่หาวเฉินสินะ” ร่างสูงเอ่ยขึ้น ทำให้หญิงสาวถึงกับหัวใจพองโต เมื่อเขาเอ่ยถึงพี่ชายของนาง
“ตอนนี้พี่ชายของเจ้ารออยู่ด้านนอก เจ้าจะออกไปพบเขาเสียหน่อยไหมล่ะ เผื่อจะทำให้เขาคลายความคิดถึงน้องสาวลงได้บ้าง”
เขาเอ่ยอย่างขบขัน หญิงสาวก้มหน้ามุดด้วยความเขินอาย เมื่อโดนหยอกเย้า
“เจ้ามาก็ดีแล้ว หลินเอ๋อร์กำลังจะลงสมัครคัดเลือกทหาร แม่ฝากเจ้าดูแลน้องด้วย” ร่างสูงมองหน้ามารดาสลับกับมองหน้าหญิงสาวอย่างสงสัย
เห็นทีงานนี้คงจะมีคนงอแงเป็นแน่
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะดูแลนางเอง” เขาเอ่ยรับคำ ทำให้พระนางคลายความกังวลลง เมื่อได้ส่งต่อการดูแลไปให้กับโอรสที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ควบคุมอยู่ชายแดนนานหลายปี
“เอาล่ะ ๆ หลินเอ๋อร์ เจ้าก็รีบกลับจวนไปพักผ่อนเถิด วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว”
“ขอบพระทัยเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา” หญิงสาวรีบลุกขึ้นโดยที่ไม่ทันได้ระวังตัว ขาที่กำลังชาเพราะนั่งคุกเข่าเป็นเวลานาน ทำให้นางสูญเสียการทรงตัว ร่างของนางเซปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างของผู้ที่เข้ามารองรับไว้แขนแกร่งกอดเกี่ยวเอวบางพร้อมดึงเข้าหาตัวเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายล้ม
หญิงสาวหอบหายใจถี่ ด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะรีบผละออกอย่างรวดเร็ว
“ขอบพระทัยเพคะที่ทรงช่วยเหลือหม่อมฉันเอาไว้” นางก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ