ซู่!
เป็นเพราะแรงสาดน้ำมากระทบผิวจึงทำให้เธอซึ่งกำลังนอนหลับใหลนั้นมีสติขึ้นมาได้อีกครั้ง ความปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนังทางด้านหลังกับทางข้อมือจำให้เธอต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะเจ็บแสบ ก่อนสายตาจะเบิกโพรงเพราะเห็นสภาพของตนเองถูกขลึงเอาไว้ด้วยเชือกหนาทั้งสองข้างมือ
ในใจมันร้อนรุ่มพยายามคิดให้ถี่ถ้วนว่าเพราะเหตุใดสภาพตนเองถึงได้เป็นเช่นนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็คิดไม่ได้เสียที ครั้นจะมองรอบกายก็พบเพียงแต่กองฟางหลายสิบกองวางอยู่เคียงข้างกัน สถานที่เก่าแก่ทรุดโทรมไม่คุ้นเคยนั้นทำเอาหัวใจของเธอเต้นระรัวจนแทบบ้าคลั่ง
“มึงตื่นแล้วรึ อีพิม!” เสียงหญิงสาวแก่จากทางด้านหลังจำให้เธอต้องรีบพยายามจะหันกลับไปสบมอง
แต่เพราะแรงรั้งจากเชือกบวกกับความปวดแสบปวดร้อนทำให้เธอไม่สามารถจะขยับกายไปได้อย่างที่ใจต้องการมากนัก
“ช่วยบอกฉันทีเถอะจ่ะ...นี่มันเรื่องอะไรกัน” หญิงสาวนั่งน้ำตาไหลรินเพราะความเจ็บปวด
ภาพความทรงจำสุดท้ายคือเธอเข้านอนที่ห้องของตัวเองเมื่อคืนนี้ แต่เพราะอะไรจึงทำให้เธอมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ได้ แถมเสื้อผ้าที่นุ่งเพียงแค่กระโจมอกเหมือนกับคนสมัยก่อนยิ่งทำให้เธอปวดหัวหนักเพราะไม่เข้าใจ
“แหม! มึงกล้าดีขัดคำสั่งท่านขุนมิยอมไปเป็นเมียท่านแล้วยังมาถามหาความผิดอีกรึ! อีนังนี่มันน่าโดนเฆี่ยนให้ตายยิ่งนัก!”
เพี๊ยะ!
“โอ้ย!” เสียงร้องออกมาจากปากอีกครั้งยามที่หล่อนฟาดไม้หวายลงมาใส่กลางหลังซ้ำที่แผลเก่า
แล้วที่คน ๆ นี้พูดมันหมายความว่าอย่างไรกัน...ท่านขุน? เป็นเมีย? เธอไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิดเดียว
“เป็นแค่ทาสยังริอาจเลือกผัว...ถ้ามิเห็นแก่ที่แม่ของมึงเคยเป็นเพื่อนกับกูมานมนาน กูขายมึงทอดตลาดให้ไปเป็นเมียไอแดงเสียเลยก็ดี!” เสียงด่าทอต่อว่ายังดังอยู่ไม่ขาดสาย เจ้าหล่อนเดินฟึดฟัดมาอยู่ตรงหน้าเธอก่อนจะยกมือทั้งสองข้างมาบีบแก้มของเธอไว้อย่างรุนแรง “หน้าตาก็ออกจะสละสลวย...แม่มึงไม่น่าขายทิ้งหนีไปอยู่กับผัวใหม่เลย”
“ยายทองดี...มีท่านพระยามาตรวจตรา!” ชายหนุ่มผิวคล้ำที่สวมเพียงแค่จงกระเบนวิ่งกระหืบกระหอบเข้ามาบอกกล่าวให้คนตรงหน้าของเธอสะดุ้งโหยง
หล่อนปล่อยมือออกจากใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยายามแก้มัดเธอออก แต่เพราะเธอเจ็บเกินจะทน ร่างกายจึงไม่สามารถจะต่อต้านอะไรได้ แรงเสียดสีระหว่างเชือกกับข้อมือยิ่งทำให้เธอปวดระบมจนทรงตัวแทบไม่ไหว
“ลุกขึ้นมาสิโว้ย! กูยังมิอยากถูกประหารเพราะเฆี่ยนมึงดอก!” เจ้าหล่อนพยายามใช้แรงที่มีฉุดกระชากลากตัวเธอเข้าไปในกองฟางเพื่อปิดบังหลักฐาน
แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการเพราะก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไป เธอพบเห็นชายผู้หนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง หุ่นเพรียวไม่กำยำมากนัก ใบหน้าของเขาที่เธอไม่สามารถมองเห็นได้ผ่านหมวกทหารใบนั้น แต่เหนือปากของเขายังคงมีหนวดเคราเจือจาง
เขาพูดอะไรบางอย่างกับคนที่ตามมาด้วยกัน ก่อนที่สติทั้งหมดทั้งมวลของเธอจะดับวูบลงไป เพราะทนพิษบาดแผลและความเจ็บปวดจนทนไม่ไหว จึงไม่สามารถจะฝืนให้ร่างกายให้มีสติต่อไปได้...
เฮือก!
พิมนภาสะดุ้งเฮือกขึ้นมาในสภาพไม่ค่อยสู้ดีมากนัก เหงื่อไคลท่วมท้นจนเปียกชุ่มที่นอน หัวใจก็เต้นระรัวแทบทะลุอกเพราะความฝันก่อนหน้าที่ทำเอาเธอขวัญเสียกระเจิง
เธอยกมือขึ้นมาสำรวจร่างกายก่อนที่สายตาจะเบิกโพรงขึ้นเพราะมันมีร่องรอยจากการถูกรัดจากเชือกอะไรบางอย่าง แถมบนหัวเตียงเคียงข้างหมอนของเธอก็พบรูปปั้นดินเผาที่เธอจำได้ดีว่าซื้อมาจากร้านขายของเก่าเพราะมันสะดุดตาเธอตั้งแต่แรกพบเห็นจนต้องหยิบติดไม้ติดมือกลับมาด้วย
แต่ไม่คิดว่ามันจะนำพาตัวเธอให้มาพบกับฝันร้ายเช่นนี้...
มันเป็นเพียงรูปปั้นชายหนุ่มที่ถูกปกคลุมปิดหน้าด้วยหมวกทหาร แต่บริเวณเหนือปากยังมีหนวดเคราขึ้นเจือจางเหมือนกับชายในฝันของเธอไม่มีผิดเพี้ยน ตรงฐานใต้ร่างของมันสลักชื่อเอาไว้ให้หัวใจของเธอเต้นระรัวว่า...
เจ้าพระยา พระนาย บริรักษ์ภัคดี
พิมพ์นภาหยิบรูปปั้นขึ้นมาก่อนจะคว้างลงที่พื้นห้องนอนอย่างขวัญเสีย เศษส่วนตรงปลายหมวกนั้นมันหักเล็กน้อยก่อนจะกลิ้งหายเข้าไปใต้โต๊ะเครื่องแป้ง เธอใช้เวลาสงบสติอารมณ์ชั่วครู่ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งและพยายามจะข่มตาลงนอนแม้มันจะยากเย็น
“ตื่นแล้วรึแม่นาง...อาการปวดแสบปวดร้อนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”