หลันลู่อิงมองการกระทำของพี่ชายฝาแฝดจึงหัวเราะจนตัวงอ
“ก็เรื่องจริงนะสิพี่ใหญ่ เราขายของกันจนหัวหมุนเหนื่อยแทบตายพี่คิดว่ายังจะเป็นเรื่องฝันอีกเหรอ หากเรามาขายของบ่อยๆ วันไหนที่เราสองพี่น้องสอบเข้ามาหาวิทยาลัยได้ หนูจะพาทุกคนย้ายไปอยู่ปักกิ่ง
แต่ก็ต้องรอวันที่มหาลัยเปิดให้สอบอีกครั้ง เท่าที่ท่านตาคนนั้นบอกอีกประมาณสี่ปี ดังนั้นพี่และหนูต้องขยันอ่านหนังสือกันหน่อย”
ตอนนี้ต้องเรียนมัธยมต้นสองปี มัธยมปลายสองปี รวมแล้วสี่ปีพอดี ต่อให้ไม่ทันก็ต้องสอบเทียบให้ทันให้ได้
“พี่คิดว่าถ้าเราพาพ่อไปโรงพยาบาล บ้านใหญ่ต้องสงสัยแน่ พี่ว่าเรื่องนี้อาจจะต้องขอความช่วยเหลือพี่เฟยเทียน คล้ายกับว่าเราต้องไปขอยืมเงินพี่เขามา เสี่ยวอิงคิดว่ายังไง” หากพาพ่อมาโรงพยาบาลเฉยๆ บ้านใหญ่ต้องคิดว่าเขาและน้องขโมยเงินบ้านใหญ่มาแน่
“อืม พี่ใหญ่คิดว่าดี หนูก็เห็นด้วย” หลันลู่อิงพยักหน้ารับ จากนั้นสองพี่น้องจึงเปลี่ยนมาเป็นชุดเดิมและกลับเข้าหมู่บ้านด้วยความสบายใจ
“พี่เฟยเทียน” เมื่อมาถึงคอมมูนสองพี่น้องจึงมองหาเป้าหมาย เมื่อเห็นเขาทำงานอยู่กับกลุ่มสหายจึงเรียกไว้
“มีอะไรอาข่าย” หยางเฟยเทียนหันกลับมามองก่อนจะถามด้วยท่าทางปกติ หลันลู่อิงหรี่ตามองอย่างไม่ชอบใจ ‘คนอะไรเย็นชายิ่งกว่าขั้วโลกเหนือเสียอีก’ แม้ว่าจะบ่นแต่ก็ยังยืนฟังอย่างสงบ
หยางเฟยเทียนเองหรี่ตามองน้องสาวของหลันอี้ข่าย เขารู้สึกแปลกใจในความเปลี่ยนไปของเด็กสาวคนนี้ ซึ่งปกติเธอมักจะหลบหน้าหลบตาและแทบจะไม่เคยเดินมากับอี้ข่ายเพื่อมายืนคุยกับเขา
“พอดีผมและเสี่ยวอิงจะขอความช่วยเหลือพี่เล็กน้อย เราสองพี่น้องจะพาพ่อไปโรงพยาบาล ตอนนี้เรื่องเงินพวกเราพร้อมแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่บ้านใหญ่...” หลันอี้ข่ายเอ่ยอย่างเกรงใจ กลัวว่าการขอความช่วยเหลือครั้งนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้คนตรงหน้าแทน
“นายกำลังจะบอกว่าหากบ้านใหญ่ถาม ให้บอกว่ายืมเงินของฉันใช่ไหม”
หยางเฟยเทียนมองเหตุการณ์ออก และคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากหลันอี้เฟยจะขอยืมเงินเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้
“ครับพี่เฟยเทียน แต่พี่อาจจะเดือดร้อนนะครับ พี่ก็รู้ว่าบ้านใหญ่เป็นยังไง” หลันอี้ข่ายตอบรับ
“ไม่ต้องกลัวเรื่องนั้น ฉันยังไม่กลัวเลยแล้วทำไมนายกับตัวเล็กต้องกลัวด้วย”
“หนูไม่เล็กนะ ลุงนั่นและตัวสูงเกินไป” หน็อยแน่...กล้าดียังไงมาว่าเธอตัวเล็ก เด็กอายุสิบสองปีจะให้สูงเท่าเสาไฟฟ้าได้ยังไง อีตาลุงนี่พูดไม่คิดอีกแล้ว
“นี่ยายตัวเล็ก ฉันแก่กว่าเธอสิบกว่าปี ไม่ต้องเรียกลุงหรอกมั้ง ฉันเรียกอาเทียนและอาหงเหยาว่าอา เธอกลับมาเรียกฉันว่าลุง มันใช้ได้ที่ไหนกัน
”
หยางเฟยเทียนต่อล้อต่อเถียงหลันลู่อิง ทำเอาคนสนิททั้งสองคนมองตาค้าง นี่เจ้านายเขาเถียงกับเด็กน้อยเหรอ วันนี้หวังว่าพายุคงไม่เข้านะ ปกติแทบจะไม่คุยกับใคร มีสีหน้าเย็นชาตลอด
“ไม่เรียกลุงก็ได้ เรียกอาก็พอดีไหมคะ อาเฟยเทียน” หลันลู่อิงเกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมาดื้อๆ เธอจะเรียกอาใครจะทำอะไรเธอได้ จึงยักคิ้วให้เล็กน้อย
“เอ่อ...พี่เฟยเทียนอย่าถือสาเสี่ยวอิงเลยนะ น้องเล็กยังเด็กอีกทั้งเมื่อวานโดนย่าตีจนสลบ เธออาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง เสี่ยวอิงขอโทษพี่เฟยเทียนเสียสิ น้องผิดนะครั้งนี้”
หลันอี้ข่ายไม่เข้าใจว่าทำไมอาการของน้องสาวเหมือนจะเป็นปรปักษ์กับพี่เฟยเทียน ทั้งๆ ที่มาขอความช่วยเหลือพี่เขาแท้ๆ
หลันลู่อิงมองพี่ชาย เธอเผยสีหน้าไม่ยินยอม แต่ก็ยอมที่จะขอโทษ “ขอโทษค่ะอาเฟยเทียน”
“เสี่ยวอิง” หลันอี้ข่ายตบหน้าผากตัวเอง เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าน้องสาวดื้อรั้นแค่ไหน คราวนี้พี่เฟยเทียนคงจะอยู่ไม่สงบแล้วล่ะเมื่อเสี่ยวอิงตั้งท่าเป็นปรปักษ์ด้วย
“ฮ่าๆๆ อาก็อา แต่ระวังไว้เถอะ...” หยางเฟยเทียนหัวเราะสุดเสียง เขาพูดเพียงนั้นและไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะหันกลับมาคุยเรื่องที่หลันอี้ข่ายขอความช่วยเหลือ
“นายรีบไปเช่าเกวียนพาพ่อไปหาหมอเถอะ ฉันจะให้หงฝูไปกับนายที่โรงพยาบาลด้วย” หยางเฟยเทียนกล่าว ก่อนจะหันมาสั่งลูกน้องคนสนิทอีกคนเพื่อไปลางานให้อาหงเหยาและตนเอง
“ยวี่กงนายไปลางานให้ทุกคนด้วยนะ ฉันจะเดินไปพร้อมกับอาข่าย หากมีปัญหาจะได้มีฉันเป็นพยาน”
“ครับ แล้วนายจะไม่กินมื้อเที่ยงก่อนเหรอ” คำว่านายสำหรับฉียวี่กงคือเรียกเจ้านาย แต่สำหรับคนอื่นมองว่าเป็นการเรียกสหายทั่วไป
“ไม่เป็นไร รอจัดการเรื่องอาข่ายเสร็จค่อยกลับมากิน” หยางเฟยเทียนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจแค่เรื่องกินอาหารสำหรับเขาไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก
แต่กลายเป็นหลันลู่อิงล้วงมือเข้ากระเป๋าสะพายข้างเพื่อหยิบซาลาเปาไส้เนื้อมาหลายลูกยื่นให้ หยางเฟยเทียนมองตามแต่ไม่พูดอะไร
“อาเฟยเทียนและพี่ๆ เอาไปกินก่อน ของเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทนที่ช่วยเรื่องพ่อ”
“อืม” หยางเฟยเทียนรับมาก่อนจะส่งให้ลูกน้องคนละสองลูก และตัวเองกัดกินตรงหน้าโดยไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง
จากนั้นทั้งหมดจึงเดินมาหาหงเหยาเพื่อบอกเรื่องจะพาพ่อไปโรงพยาบาลวันนี้
หยางเฟยเทียนและฉีหงฝูเดินตามมาถึงบ้านหลัน ก่อนจะถือวิสาสะเข้าไปพยุงหลันเทียนหยู่มานั่งรอเกวียนอยู่หน้าบ้าน
นางหลาวเมิ่งเห็นยุวปัญญาชนทั้งสองคนพยุงลูกชายออกมาจึงถามด้วยความแปลกใจ เพราะตัวเธอนั้นหมายมั่นปั้นมือว่าอยากได้หยางเฟยเทียนมาเป็นลูกเขย ดูท่าแล้วพื้นเพของชายหนุ่มมีฐานะไม่น้อย แม้จะทำงานในคอมมูนแต่รัศมีความน่าเกรงขามแผ่กระจายไปทั่ว
“นั่นจะพาเจ้ารองไปไหนกัน”
“ผมรบกวนพี่เฟยเทียนมาพาพ่อไปโรงพยาบาลครับ ตอนนี้พ่ออาการไม่ดีเลย ย่าคงไม่ห้ามนะ” หลันอี้ข่ายเป็นคนตอบเพราะรู้ดีว่าพี่เฟยเทียนนั้นไม่ชอบวุ่นวายกับใคร
“ได้ยังไงกัน แกพาเจ้ารองไปโรงพยาบาลแล้วค่ารักษาล่ะ”
นางหลาวเมิ่งร้องเสียงหลง หากไปโรงพยาบาลแล้วแบบนี้เธอไม่ต้องควักเงินมาจ่ายเหรอ แค่คิดว่าจะต้องเสียเงิน ใจเธอเหมือนมีใครเอาเข็มมาทิ่มแล้ว
“เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันขอยืมเงินจากเฟยเทียน หลังจากพี่เทียนหายค่อยทำงานหาเงินใช้หนี้”
หงเหยาตอบอย่างที่ลูกทั้งสองคนบอก เรื่องนี้เธอได้คุยกับลูกๆ ระหว่างเดินกลับมาบ้านเพื่อรับตัวสามี
“ได้ยังไง พวกแกทำงานเงินก็ต้องเข้ากองกลางของบ้านสิ จะมาทำงานใช้หนี้คนอื่นได้ยังไง แล้วพวกแกไปยืมเงินเจ้าหนุ่มนี่มาเท่าไหร่ ต่อให้ไปหาหมอก็ไม่รู้ว่าจะหายหรือเปล่า จะเสียเงินทำไมโดยไร้ประโยชน์”
สิ้นเสียงนางหลาวเมิ่ง หลันลู่อิงกำหมัดแน่น นี่คือคำพูดของคนเป็นแม่ใช่ไหม ลูกชายอาการร่อแร่ไม่คิดจะช่วยดันยังห้ามอีก มันน่าให้ป่วยกันทั้งบ้านจริงๆ เมื่อคิดบางอย่างได้ เธอจึงค่อยๆ หลบเดินกลับไปหลังบ้าน เมื่อไม่เห็นใครจึงเดินเข้าครัวและหยิบผงยาถ่ายที่มีในมิติมาเทใส่อาหารที่เตรียมไว้สำหรับมื้อเที่ยงของวันนี้
เธออยากรู้เหมือนกันถ้าท้องเสียกันทั้งบ้าน จะยอมจ่ายเงินค่าหมอหรือเปล่า ถ้ายอมจ่ายให้ทุกคนแต่ไม่จ่ายให้พ่อของเธอ คอยดูก็แล้วกันว่าหลังจากนี้เธอจะสร้างหายนะอะไรให้กับบ้านหลันอีก ถ้าถามว่ารู้สึกผิดไหม หลันลู่อิงตอบได้ทันทีว่า ไม่! จากนั้นจึงเดินกลับมารวมกลุ่มกับทุกคนต่อ
“ร้อยหยวนครับ อาข่ายยืมเงินผมมาร้อยหยวน เพราะก่อนหน้านี้ที่ซื้อยาสมุนไพรมากิน คุณคิดว่าเอามาจากไหน อีกทั้งอาเทียนเองก็เป็นลูกชายของคุณทำไมจึงไม่คิดจะพาเขาไปโรงพยาบาล ปล่อยให้สภาพเป็นแบบนี้”
หยางเฟยเทียนเลือกที่จะตอบเอง เขาไม่รู้ว่าบ้านหลันจิตใจทำด้วยอะไร คนกำลังจะตายตรงหน้ากลับไม่ช่วย ทั้งๆ ที่หลันเทียนหยู่เป็นลูกชายบ้านหลันคนหนึ่ง ขนาดเขาเหี้ยมโหดยังไงก็ไม่เคยปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องตายโดยไม่มีเหตุผล