[Vela Talk]
“มึงกล้าหือเหรอไอ้สัส”
“ล่อแม่งเลยดิ”
“คันไม้คันมืออยู่เลย”
“รอไรล่ะ”
ตุบตับ ปึกปัก ปักปักปัก…
เสียงเหมือนมีคนกำลังต่อยตีกัน ซึ่งฉันที่กำลังกระโดดข้ามกำแพงก็ตัดสินใจกระโดดลงไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งที่ได้ยิน
“ศุภชัยมาแล้ว หลบเร็ว” ฉันตะโกนไปพร้อมกับกระโดดทิ้งตัวลงกำแพงด้านในของรั้วโรงเรียน ทางด้านเด็กนักเรียนที่กำลังต่อยตีกันอยู่ก็หนีหายแตกกระเจิดกระเจิงไปคนละทาง
ที่หลงเหลือก็คือเด็กแว่นหน้าห้องที่ชอบทำตัวเงียบ ๆ
“ภานุพัต นายอีกแล้วเหรอ” ฉันนั่งลงข้างกายของนายแว่นที่นอนราบอยู่ที่พื้นหญ้า สภาพก็ดู… น่าสงสาร
“ไหนบอกครูศุภชัยมาครับ” นายแว่นขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วยกมือขึ้นมาเช็ดเลือดที่มุมปาก
ศุภชัยที่ว่าคือครูฝ่ายปกครอง ขึ้นชื่อว่าโหดมาก ๆ นักเรียนต่างกลัวกันทั้งนั้น
“ไม่บอกแบบนั้น พวกนั้นจะหยุดเหรอ น่ารำคาญจะตายชัก ไอ้พวกชอบรีดไถเงินคนอื่น” ฉันทำหน้าเบื่อ ๆ ไม่ว่าจะที่ไหนก็มีแต่พวกนักเลงสินะ นักเลงเด็กน้อย ต้องจับกลุ่มถึงจะเก่ง ถ้าไม่มีกลุ่มก็เด็กหงอนั่นแหละ พอมีกลุ่มนี่กลายเป็นเด็กกร่างขึ้นมาทันที “อะ เดี๋ยวเปื้อนไปทั่ว” ฉันยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับนายแว่น
“ขอบคุณครับ” นายแว่นรับผ้าเช็ดหน้าของฉันไป เขายิ้มอย่างไร้เดียงสา รอยยิ้มที่สดใสนี้ ไม่มีความทุกข์บ้างหรือไง โดนกลั่นแกล้งรีดไถไม่รู้สึกเศร้าบ้างเหรอ
“ผืนที่สี่แล้วนะ คนที่บ้านฉันเริ่มถามแล้วว่าผ้าเช็ดหน้าหายไปไหนบ่อย ๆ” ก็แค่ผ้าเช็ดหน้า ไม่รู้ว่าจะถามฉันทำไมนัก แล้วก็ชอบบังคับให้ฉันพก ชอบสั่งชอบสอนให้ฉันเป็นในสิ่งที่ตัวต้องการ
“ขอโทษนะครับ คือมันเปื้อนเลือดเช็ดไม่ออก ให้นอสซื้อคืนให้มั้ยครับ” ฉันเบื่อไอ้ครับ ครับ ครับ ของนายนี่ที่สุดเลย
“ไม่ต้องหรอก ฉันก็ไม่ชอบพกอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว…แล้วนายลุกไหวมั้ยอะ ไปห้องพยาบาลกันมั้ย เลือดออกเยอะอยู่นะรอบนี้” ฉันดึงผ้าเช็ดหน้าในมือของนายแว่นมาเช็ดที่มุมปากให้เขา เพราะเขาทำเงอะ ๆ เงิ่น ๆ เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิด
“ไม่เป็นไรครับ” แล้วนายแว่นนี่ก็ปฏิเสธการไปห้องพยาบาลอีกตามเคย
“ครั้งนี้ต้องไปแล้วล่ะ เพราะเลือดไหลเยอะ ก็ถือซะว่าตอบแทนที่ฉันช่วยนายแล้วกันนะ ฉันขี้เกียจเข้าวิชาของชูศรี” ชูศรีคือครูสอนวิชาสังคม เรียนแล้วก็ง่วง อันที่จริงเรียนอะไรฉันก็ง่วงหมดนั่นแหละ
“ก็ได้ครับ” ยิ้มอีกแล้ว ยิ้มแบบนี้ไงคนถึงชอบแกล้ง
“งั้นปะ ฉันพยุง” ฉันขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมและเอาแขนของนายแว่นมาพาดที่คอตัวเอง ค่อย ๆ พยุงนายแว่นขึ้นยืน “นายควรเกร็งน้ำหนักบ้างนะภานุพัต สงสารผู้หญิงตัวเล็กอย่างฉันบ้าง ยังนิ… อยู่…ได้” เสียงของฉันขาดห้วงเมื่อเอียงหน้าไปแล้วบังเอิญว่าแก้มฉันปะทะริมฝีปากของนายแว่นเข้าจัง ๆ
“นายจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันทำไม เดี๋ยวเลือดของนายติดหน้าฉัน” ฉันแสร้งทำเป็นมองข้ามการโดนหอมแก้ม แกล้งทำเป็นว่าไม่ใส่ใจ ทั้งที่หัวใจเต้นแรงผิดแผกไป
“ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจ” นายแว่นนี่ยิ้มให้ฉันอีกแล้ว
“ช่างเถอะ” นายนี่ดูซื่อ ดูไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร คงไม่ใช่พวกชอบฉวยโอกาสหรอกมั้ง คงแค่บังเอิญแหละ
เท่าที่เรียนด้วยกันมา นายนี่ก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิทเป็นตัวเป็นตนสักคน อาจจะเพราะชอบอยู่คนเดียว หรืออาจจะเป็นเพราะบุคลิกที่แสดงออกมาทำให้ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคม
ประมาณสิบนาทีได้ ในที่สุดฉันก็พานายแว่นเพื่อนร่วมห้องมาถึงห้องพยาบาล ระหว่างทางเดินมาไม่มีเด็กนักเรียนคนอื่นเดินเพ่นพ่านเนื่องจากเป็นเวลาเข้าเรียน
“ตายแล้ว ไปทำอะไรมาทำไมมาสภาพนี้” ครูห้องพยาบาลเปิดประตูออกมาพร้อมสีหน้าที่ตกใจเกินเหตุ
“ผมหกล้มครับ เพื่อนก็เลยช่วยพยุง” นายแว่นรีบตอบ ทำไมไม่บอกไปว่าโดนรังแก
“ใช่เหรอ แผลเธอเหมือนโดนต่อยมาเลยนะ” ครูห้องพยาบาลว่า
“ผมหกล้มครับ”
“อะ อะ หกล้มก็หกล้ม เธอก็ช่วยทำแผลให้เพื่อนหน่อยนะ พอดีว่าครูต้องรีบไปพบผอ.โดยด่วน ไม่รู้เรียกพบทำไม ไปนะ” ครูห้องพยาบาลรีบเร่งเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ทำคุณเวฬาลำบากด้วยอีกแล้ว ขอโทษนะครับ” นายแว่นนี่ทำไมชอบทำตัวน่าสงสารจังนะ แล้วก็ไม่รู้จะขอโทษอะไรนักหนา
“เฮ้อ ใครว่าลำบาก ดีซะอีกมีข้ออ้าง ทำแผลเถอะ เดี๋ยวก็หมดคาบชูศรีแล้ว ชั่วโมงหน้าของนารีรัตน์นะ” ฉันพูดพร้อมกับพยุงนายแว่นเข้ามาในห้องพยาบาล ครูนารีรัตน์สอนคณิตศาสตร์ คนนี้ห้ามโดด ห้ามเลทไม่งั้นจะเข้าถึงหูผู้ปกครองของฉัน เพราะครูนารีรัตน์เป็นเพื่อนกับผู้ปกครองฉัน
“ทำไมช่วงนี้นายโดยแกล้งบ่อยจังภานุพัต เมื่อก่อนไม่เห็นมีคนแกล้งนาย” ฉันเดินหาอุปกรณ์ทำแผลและถามไปพลาง ๆ ส่วนนายแว่นนั่งรอที่ขอบเตียง
“เรียกนอสได้มั้ยครับ เรียกชื่อเต็มรู้สึกยังไงก็ไม่รู้ครับ” นอสเหรอ ก็ได้นะ คงอยากให้เรียกจริง ๆ นั่นแหละ เพราะฉันเห็นเพื่อนในห้องชอบเรียกนายนี่ว่าคุณชายแว่นมากกว่าเรียกชื่อ
“ก็ได้นอส ว่าแต่นายยังไม่ตอบเลยนะว่าทำไมนายโดนแกล้งบ่อย นับจากที่ฉันเจอนายก็สี่ครั้งแล้วนะ ปกติไม่เห็นมีใครกล้าแกล้งนาย” ฉันเดินมานั่งตรงหน้านายแว่นพร้อมอุปกรณ์ทำแผล
“นอสน่ารักมั้งครับ” ฉันเอื้อมมือถอดแว่นออกให้นายแว่น ตรงกับจังหวะที่นายแว่นกำลังพูดว่าตัวเองน่ารัก
ตอนแรกก็กะจะแซว แต่พอเผลอสบตากับดวงตาที่ไร้กรอบแว่นครอบ ฉันก็ทำอะไรไม่ถูก นายนี่ก็หล่อ น่ารักจริง ๆ แถมยังน่าสงสารอีกที่โดนกลั่นแกล้ง
“คิดเหมือนกันมั้ยครับ” นายแว่นนี่พูดกับฉันในระยะที่ใกล้มาก ฉันผละตัวเองออกมาและเอาสำลีชุบน้ำเกลือ
“คิดอะไร” ฉันถามพลางเอาสำลีที่ชุบน้ำเกลือเช็ดที่ใบหน้าบริเวณที่เป็นแผลให้เขา
“ก็คิดว่านอสน่ารักไงครับคุณเวฬา” เจอแบบนี้เข้าไปฉันก็ยิ้มค่ะ พยายามยิ้มแบบมีมารยาทให้มากที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่ามากแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าความคิดฉันกำลังออกนอกหน้านอกตาเกินไปไหม
คือหมดคำจะพูดต่อ
น่ารักอะจริง แต่ไม่ควรหลงตัวเองไหมคะ