ณ ห้องทำงานส่วนตัวของเจ้าของบ้านตระกูลชาง
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะหงุดหงิดในหัวใจอย่างหาสาเหตุไม่เจอ สายตาคมกริบก็คอยจ้องมองแต่ประตูห้องทำงานอยู่ตลอดเวลา รอจนเวลาผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง ประตูห้องทำงานจึงถูกเคาะ เพื่อส่งสัญญาณว่าคนที่เขากำลังรอพบได้มาถึงแล้ว
“เชิญ”
เสียงนุ่มทุ้มเปล่งเสียงออกไป และพยายามเก็บน้ำเสียงหงุดหงิดของตนเองไว้อย่างมิดชิด เพราะเขาก็ไม่รู้ตัวเองเช่นกันว่ากำลังโมโหเรื่องอะไร
“สวัสดีค่ะคุณอา” เสียงหวานๆเอ่ยทักทายเจ้าของห้องเพียงสั้นๆ และไม่ได้แจ้งเหตุผลที่มาช้า เพราะยังไม่มีใครถาม
สายคาคมกริบลอบมองสำรวจร่างบอบบางตรงหน้า ที่ในวันนี้ดูแตกต่างออกไปจากที่เขาเคยพบเห็น ทั้งผิวพรรณที่ขาวเนียนผุดผ่อง และอมชมพูไปทั้งตัว แตกต่างจากปกติที่เขาเคยเห็น ที่ผิวพรรณหญิงสาวมักจะขาวซีดเหมือนคนป่วย
เรือนร่างที่บอบบางก็จริง แต่จุดที่ควรอวบอิ่มก็มีมากจนล้นออกมาทุกส่วน คุณอาหนุ่มรีบถอนสายตาออกจากคนตรงหน้า เพราะรู้สึกใจเต้นแรงแปลกๆ
“อะ..แฮ่ม!! ไปไหนมา” ชายหนุ่มกระแอมไอออกมา เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่าง และถามออกไปเสียงเรียบ
“ไปขายสมุนไพรค่ะ เป็นของส่วนตัวของคุณพ่อ ฉันเห็นว่าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ จึงเอาไปขายเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายกับน้องชาย”
ซูหลิงพูดความจริงไปบางส่วน เพื่อที่เธอจะได้มีแหล่งที่มาของรายได้ เพราะทรัพย์สินของบิดามีแค่เธอเท่านั้นที่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ชางอี้เหวินจึงไม่ได้สงสัยอะไรในส่วนนี้
“จะใช้เงินทำไมไม่บอกอา ไม่เห็นต้องลำบากออกไปขายของ”
ชายหนุ่มเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนลง เพราะรู้สึกเห็นใจสองพี่น้อง ที่สมบัติทุกอย่างต้องถูกขายไปทั้งหมด
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราสองพี่น้องรบกวนคุณอามามากพอแล้ว จากนี้ไปจะขอพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด” ซูหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นตั้งใจ จนคนที่ฟังอยู่ใจกระตุกวาบขึ้นมาอีกครั้ง
“อืม ตามใจ แล้วเรื่องอะไรที่บอกว่าจะเล่าให้อาฟังเมื่อกลับถึงบ้าน ใครรังแกพวกเรา”
ชางอี้เหวินที่ไม่อยากพูดเรื่องบุญคุณอะไรอีก จึงรีบเปลี่ยนเรื่องไปสอบถามในเรื่องที่เขาสงสัยที่สุด
“อ้อ หัวหน้าแม่บ้านของคุณอา ไม่ให้ฉันกับน้องชายกินข้าวที่บ้าน ตั้งแต่คุณอาไม่อยู่เราต้องออกไปซื้ออาหารหน้าปากซอยมากินเองทุกวัน แล้วล่าสุดฉันป่วยเป็นไข้ ลุกไม่ขึ้นทั้งวัน อาอี้เลยไม่ได้กินข้าวทั้งวันเช่นกันค่ะ”
ซูหลิงเล่าเรื่องราวที่หัวหน้าแม่บ้าน ทำกับสองพี่น้องให้เจ้าของบ้านฟังทั้งหมด เพราะเธอถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องในบ้านของเขา และการบังคับไม่ให้กินข้าวทั้งๆที่เด็กกำลังหิว เป็นอะไรที่เลวร้ายสำหรับมนุษย์ด้วยกันมาก
ชางอี้เหวินได้ยินถึงกับพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าคนที่เขาแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแม่บ้านด้วยตนเอง จะทำเรื่องเลวร้ายกับคนที่เขารับมาอุปการะขนาดนี้
“จางหยวน ไปตามหรูเหยียนมาพบฉันที่ห้องทำงานด่วน”
“ครับนาย”
ระหว่างรอหัวหน้าแม่บ้าน ชายหนุ่มก็แอบมองหลานสาว ที่นั่งสงบนิ่งไม่เข้ามาคุยออดอ้อนเขาเหมือนที่เคยทำ ก็นึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ปล่อยผ่านไปเพราะเป็นสิ่งที่เขาต้องการให้เป็นมาตลอด
“แล้วไปข้างนอกทำไมไม่ให้คนขับรถพาไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไปเองสะดวกกว่าเพราะมีธุระหลายที่ เกรงใจคุณลุงคนขับรถ”
“แล้วไปถูกได้อย่างไร เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเรานั่งรถเมล์”
ก๊อก ก๊อก……
หญิงสาวยังไม่ได้ตอบอะไร ก็มีเสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นมาก่อน
“เชิญ” ชายหนุ่มตะโกนออกไปเสียงดัง เพราะถูกขัดจังหวะการสอบถามในเรื่องที่เขาอยากรู้
จางหยวนพาหรูเหยียน เข้ามาในห้องทำงานของเจ้านาย หัวหน้าแม่บ้านสาวมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า เพราะดีใจที่เจ้านายเรียกพบเธอเป็นการส่วนตัว
ทั้งยังแอบคิดวิธีเข้าหาชายหนุ่มในห้องทำงาน เพื่อที่ตนเองจะได้สมหวังสักที แต่พอเข้ามาในห้องทำงาน ก็พบกับหญิงสาวที่เธอเกลียดชังที่สุด รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปทันที
“หรูเหยียน ซูหลิงบอกว่าเธอไม่ให้สองคนพี่น้อง กินข้าวที่บ้านตอนที่ฉันไม่อยู่เป็นความจริงหรือไม่ ห้ามโกหกเพราะถ้าฉันสืบรู้ภายหลังว่าโกหก เธอจะต้องออกจากบ้านหลังนี้ไปทันที ฉะนั้นจงตอบมาตามความจริง”
“จะ….จริงค่ะคุณชาง ก็ฉะ…ฉันเห็นว่าทั้งสองคนโตแล้ว ควรจะดูแลตัวเองก็เลยไม่ได้ทำอาหารเผื่อค่ะ” หรูเหยียน รีบตอบความจริงออกไป เพราะกลัวถูกไล่ออกจากบ้าน
“ฉันสั่งหรอ?”
น้ำเสียงเข้มๆตะโกนถามออกมาเสียงดัง เพราะโมโหที่คนในปกครอง ทำเรื่องให้เขาต้องอับอายหลานๆขนาดนี้ แค่อาหารเพียงสามมื้อ เขาต้องมานั่งถามไถ่หาคำตอบ แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปดูแลคนทั้งสอง ชายหนุ่มไม่แปลกใจเลย ที่หลานสาวเอาสมุนไพรของบิดาไปขาย
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันคิดเอง” หรูเหยียนก้มหน้าก้มตาตอบ เพราะกลัวความผิด และพึ่งจะสำนึกว่าตนเองทำให้เจ้านายต้องอับอาย
“จางหยวน ไปคัดเลือกแม่บ้านคนอื่น ที่มีความเหมาะสมให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแม่บ้านคนใหม่ ส่วนหรูเหยียนให้ลดขั้นเป็นแม่บ้านธรรมดา และลดเงินเดือนให้เท่ากับคนอื่นๆ”
“ครับนาย”
“ออกไปได้แล้ว ทีหลังอย่าทำงานเกินหน้าที่ หน้าที่ของเธอคือแม่บ้านไม่ใช่เจ้าของบ้าน ครั้งนี้ฉันยอมปล่อยผ่านเพราะเห็นแก่แม่นม แต่ถ้ามีอีกครั้งเชิญเก็บข้าวของออกไปจากบ้านหลังนี้ทันที”
“ค่ะ คุณชาง” หรูเหยียนรีบเดินออกไปทันที เพราะเกรงกลัวเจ้านาย
พอหรูเหยียนออกไปแล้ว จางหยวนก็เดินตามออกไปด้วยเช่นกัน เพราะเห็นสายตาเข้มๆของเจ้านายที่มองมาที่เขา
“อาขอโทษพวกเราทั้งสองคนด้วย ที่มีเรื่องน่าอับอายขนาดนี้เกิดขึ้นในบ้าน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่จริงที่หัวหน้าแม่บ้านพูดก็ถูก เราสองคนโตแล้วต้องดูแลตัวเอง คุณอาอย่าคิดมากเลยนะคะ เธอได้รับโทษที่เหมาะสมก็ถือว่าจบกันไป”
ซูหลิงไม่ติดใจเอาความอะไรแล้ว เพราะอย่างไรเสียเธอกับน้องชายก็เป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น ถ้าอยากกินอาหารครบสามมื้อ ก็ต้องหากินเองเป็นเรื่องที่สมควรที่สุด
“อืม แล้วจากนี้วางแผนจะทำอะไรต่อ มีอะไรให้อาช่วยเหลือก็บอกได้เลย”
ชางอี้เหวินเอ่ยถามเพราะได้ยินว่า หลานสาวออกไปทำธุระหลายอย่าง เหมือนคนกำลังวางแผนงานบางอย่าง จึงนึกอยากรู้ความคิดของคนตรงหน้า
“ฉันอยากซื้อบ้านหลังเล็กๆค่ะ จะได้อยู่กับน้องชายสองคน ฉันเกรงใจคุณอาเลยอยากดูแลตัวเอง ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะคะ วันนี้ฉันขายสมุนไพรได้เงินมาเยอะพอสมควร คงจะพอซื้อบ้านหลังเล็กๆได้สักหลัง” หญิงสาวตัดสินใจบอกความจริงออกไป ดีกว่าให้อาบุญธรรมมารู้ในภายหลัง
“จะย้ายไปอยู่กันเองสองคนพี่น้อง?”
“ใช่ค่ะ ฉันอายุ 21 ปีแล้ว สามารถดูแลน้องชายได้ อีกไม่นานก็คงมีครอบครัวเป็นของตัวเอง เราสองคนแยกไปอยู่เป็นส่วนตัว ตั้งแต่ตอนนี้ก็เหมาะสมแล้วค่ะ”
ซูหลิงอธิบายออกไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพราะไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรือกลัวที่จะต้องย้ายไปอยู่กันเองสองคน มีแต่ความยินดีและรอคอยเวลา ที่จะได้อยู่บ้านหลังเล็กๆของตนเอง
“เรามีแฟนแล้วหรือ ถึงบอกจะมีครอบครัว” น้ำเสียงห้วนๆเอ่ยถามออกมาทันที
“ยังค่ะ แค่พูดไปตามความเหมาะสม”
“ทีเมื่อก่อนไม่เห็นคิดเลย ว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม” ชายหนุ่มพูด ทั้งจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของคนตรงหน้า เพื่อหาคำตอบในใจที่แท้จริงของหญิงสาว
“ตอนนี้ต้องคิดค่ะ เพราะไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีกแล้ว” สายตาว่างเปล่า จ้องกลับสายตาคมกริบของชายหนุ่มที่จ้องมองมา เพื่อให้คำตอบกลับไปว่าเธอไม่เหมือนเดิมแล้ว