ซูหลิงสะกดรอยตามเหมยจิน จนเข้ามาในลิฟท์ตัวเดียวกัน เหมยจินที่มัวแต่กดโทรศัพท์ส่งข้อความหาไห่เทา บอดี้การ์ดคนสนิทของบิดา เพื่อสอบถามในเรื่องที่ตนเอง ให้ไปจัดการผู้หญิงที่หลิวจงเสียนให้ความสนใจ จึงไม่ทันได้สังเกตว่าในลิฟท์โดยสารนั้น มีหญิงสาวที่ตนเองเกลียดชังยืนอยู่ด้วย
พอหญิงสาวออกจากลิฟท์ และเดินไปยังห้องพักส่วนตัว ในจังหวะที่เปิดประตูห้องนั้น เหมยจินก็ถูกมือปริศนาผลักร่างให้เข้าไปในห้องพักอย่างแรง จากนั้นประตูห้องก็ปิดลง
“อ๊ะ แกเป็นใคร เข้ามาในห้องของฉันทำไม”
เหมยจินตะโกนถามออกไปอย่างตื่นกลัว เพราะมองไม่เห็นใครอยู่ในห้อง แค่รู้สึกได้ว่ามีคนผลักตนเองอย่างแรง หญิงสาวถามออกไปเสียงสั่นด้วยความกลัว เนื่องจากห้องนี้เธอพักอาศัยอยู่คนเดียว เหล่าบอดี้การ์ดของบิดาไม่ได้อยู่ในคอนโดนี้ด้วย
“จำไม่ได้แล้วหรือ วันนี้เธอสั่งคนให้ไปข่มขืนฉันมาเลยนะ” น้ำเสียงหวานๆเอ่ยออกมาแผ่วเบา แต่น้ำเสียงเรียบเฉยนั้นกลับทำให้คนฟังรู้สึกขนลุก
หญิงสาวเผยตัวออกมาจากมุมมืด มือเรียวสวยก็ถอดหน้ากากอนามัยออก เวลานี้ได้เปิดเผยใบหน้าสวยหวานที่เหมยจินเกิดความอิจฉา จนกลายเป็นความเกลียดชัง ถึงขั้นคิดปองร้ายหญิงสาวแสนสวย
“ธะ…เธอ เข้ามาได้อย่างไร”
เหมยจินเอ่ยถามออกมาเสียงแผ่วเบา เพราะตนเองพึ่งจะส่งข้อความไปถามไห่เทา ว่าให้คนจัดการข่มขืนหญิงสาวแสนสวยคนนี้หรือยัง
“หึหึ แค่เข้าห้องแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้ ฆ่าเธอตรงนี้ก็ทำได้ถ้าฉันจะทำ หรือหาผู้ชายมาย่ำยีเธอสักหลายๆคน แบบที่เธอคิดร้ายกับฉันดีไหม”
ซูหลิงเอ่ยออกมาเสียงเรียบ แววตาดำมืดแบบที่นักฆ่ามีก่อนจะลงมือสังหารเหยื่อ เหมยจินเห็นแบบนั้นถึงขั้นทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น และฉี่ราดออกมาจนเจิ่งนองเต็มพื้นห้องรับแขก
“ยะ…อย่า ทำอะไรฉันเลย ฉันสัญญาว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเธออีก”
ซูหลิงเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากมือหญิงสาว แล้วนั่งลงที่โซฟากลางห้องรับแขก ด้วยท่าทีสบายๆเหมือนเป็นเจ้าของห้อง
ดวงตากลมโตอ่านดูบทสนทนาที่ค้างไว้ ระหว่างไห่เทากับเหมยจิน จากนั้นจึงนำโทรศัพท์มือถือของตนเอง มาถ่ายรูปบทสนทนาเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อเอาผิดทางกฏหมายในกรณีที่หญิงสาวคนนี้ไม่หยุดยุ่งเกี่ยวกับเธอ
“ถ้าไม่เลิกยุ่งเกี่ยวกับฉัน นอกจากเธอจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว ฉันสัญญาว่าจะทำให้พ่อของเธอล่มจม เพราะลูกสาวชั่วๆแบบเธอ”
ซูหลิงเดินไปนั่งอยู่ข้างๆเหมยจิน มือเรียวหยิบมีดสั้นคมกริบ วาดไปตามกรอบหน้าสวยของหญิงสาวเจ้าของห้อง แต่ไม่ได้ลงน้ำหนักมือ จึงไม่ได้มีบาดแผลเกิดขึ้น แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้เหมยจินกลัวจนตัวสั่น นั่งแช่อยู่กับกองฉี่ของตนเองไม่กล้าขยับตัวเลย
“ฉะ…ฉันไม่ยุ่งแล้ว” น้ำเสียงแผ่วเบาละล่ำละลั่กพูดออกมา เพื่อให้ตนเองรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในวันนี้
“หึหึ กลัวหรือ ผู้ชายของเธอฉันไม่ได้คิดจะแย่ง อย่าคิดมาวุ่นวายกับฉันอีก เพราะเธอคิดไม่ถึงหรอกว่าฉันทำอะไรได้บ้าง” ริมฝีปากสวยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ซูหลิง เก็บมีดสั้นไว้ แล้วนำปืนพกออกมาให้หญิงสาวเจ้าของห้องเห็น เพื่อข่มขู่ไม่ให้หญิงสาวคนนี้กล้ามาคิดร้ายกับเธออีก
“ปืนนี้ฉันก็ยิงแม่น เล็งจากไกลๆก็ไม่เคยพลาดสักนัด”
ซูหลิงจี้ปืนไปที่ข้างลำตัวของเหมยจิน เพื่อเป็นสัญญาณให้รู้ว่ากล้ายิงจริงๆแน่ ถ้าไม่เลิกวุ่นวายและคิดร้าย เพราะเธอไม่ใช่คนที่จะอดทนอะไรได้มาก
“ฉันไม่ทำอีกแล้ว ฉันสัญญา” เหมยจินที่ถูกปืนจี้อยู่ข้างเอว ก็ตกใจขึ้นมาอีกครั้งจนแทบจะเป็นลม เพราะตกใจสุดขีด
“หึหึ ดี ทำอย่างที่พูดไว้ให้ได้ล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะตามล่าเธอเอง” ซูหลิงพูดเสียงเข้ม ทั้งจ้องมองไปที่แววตาของเหมยจิน และปล่อยรังสีสังหารเข้มข้นที่ติดตัวมา จนหญิงสาวหายใจไม่ออก
“ตะ…ตกลง”
หญิงสาวเจ้าของห้องหายใจแทบไม่ออก เหงื่อก็แตกพลั่กออกมาเต็มตัว ผสมกับกลิ่นฉี่ที่ราดออกมาก่อนหน้า กลายเป็นเหม็นไปทั่วทั้งตัว แต่ก็ไม่กล้าขยับตัวไปชำระล้างในห้องน้ำ
ซูหลิงพอเห็นว่าตักเตือนเหมยจินพอสมควรแล้ว จึงเดินออกไปจากห้องอย่างว่องไวและเงียบเชียบ จนเหมยจิน กลัวและเริ่มรู้สึกแล้วว่า หญิงสาวที่เธอส่งคนไปทำร้ายไม่ใช่คนธรรมดา
พอได้โทรศัพท์มือถือคืน เหมยจินก็รีบส่งข้อความบอกไห่เทา ให้ยกเลิกเรื่องการทำร้ายซูหลิงทุกอย่างโดยด่วน เพราะเธอไม่กล้าเสี่ยงกับมัจจุราชหน้าสวยคนนี้อย่างแน่นอน
.
.
.
ในเวลาประมาณ 4โมงเย็น รถยุโรปสีขาวคันใหญ่ขับเข้ามาจอดในบ้านหลังเล็กๆ ที่แสนอบอุ่นของเธอกับน้องชาย เวลานี้ซูอี้ยังไม่กลับบ้าน เพราะเด็กชายขอแวะเล่นสนามเด็กเล่นในหมู่บ้านกับเพื่อนๆ จะถึงบ้านก็ประมาณ 5โมงเย็น
ซึ่งซูหลิงก็อนุญาตให้น้องชายแวะเล่นกับเพื่อนๆได้ วันนี้หญิงสาวขับรถผ่านสนามเด็กเล่น ก็แวะดูน้องชายเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึงขับรถกลับเข้าบ้านคนเดียว
หญิงสาวหอบหิ้วเอาอุปกรณ์ทำอาหารเบื้องต้น และวัตถุดิบในการทำอาหาร ทั้งของสดของแห้ง ทั้งเครื่องปรุงรสเข้ามาเก็บไว้ในห้องครัว เพราะวันนี้เธอจะลงมือทำอาหารมื้อเย็นให้น้องชายกิน และจะให้น้องชายฝึกเป็นผู้ช่วยในครัวตามที่ต้องการ
เวลา 5โมงเย็นซูอี้ก็กลับมาถึงบ้านตามที่ตกลงกับพี่สาวเอาไว้ เด็กชายเห็นพี่สาวอยู่ในครัวก็รู้ทันทีว่า วันนี้ตนเองจะได้ฝึกทำอาหาร เพราะพี่สาวได้บอกเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้วว่า วันนี้จะพาทำอาหารเย็นกินเอง และจะให้เขาเป็นผู้ช่วยในครัวอีกด้วย
“วันนี้ผมจะได้ทำอาหารแล้วใช่ไหม” เสียงเล็กๆพูดอยู่ข้างๆซูหลิง ด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“อืม แต่ตอนนี้น้องต้องไปอาบน้ำก่อน เนื้อตัวมอมแมมขนาดนี้”
หญิงสาวมองดูน้องชายที่เล่นสนุกกับเพื่อนๆ จนมอมแมมไปทั้งตัว ก็ทั้งยิ้มทั้งส่ายหัวอย่างเอ็นดู
“ตกลงครับ เดี๋ยวผมจะรีบมาช่วย พี่อย่าพึ่งทำจนเสร็จนะ” พูดเสร็จเจ้าตัวเล็กก็รีบวิ่งเข้าห้องส่วนตัวไปทันที
เวลาผ่านไป15นาที ซูอี้ก็ตามไปช่วยพี่สาวทำอาหารอยู่ในครัว เสียงซักถามวิธีการทำอาหารดังเจื้อยแจ้ว จนคนที่พึ่งเดินเข้ามาในบ้านต้องหยุดมอง และตั้งใจฟังว่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องอะไรกัน ถึงได้มีน้ำเสียงที่สนุกสนานขนาดนั้น
ชายหนุ่มที่ตอนแรกตั้งใจจะกลับไปนอนที่บ้านของตนเอง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจขับรถมาบ้านของหลานๆ ดังเดิม เพราะเขาอยากนั่งทานอาหารกับหลานๆ และตั้งใจว่ามาถึงบ้านแล้วจะถามเมนูอาหารที่หลานๆอยากกิน จึงจะโทรศัพท์สั่งร้านอาหารประจำ
อาหนุ่มเดินตามเสียงพูดคุยของหลานๆไป และหยุดยืนมองอยู่หน้าประตูห้องครัว เพราะเห็นหลานสาวคนสวยกำลังทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าสวยหวานนั้น ดูมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเวลาลงมือทำอาหาร จนชายหนุ่มไม่อาจละสายตาออกไปได้
ชางอี้เหวินยืนมองดูนิ่งๆ และไม่ได้ส่งเสียงออกไปให้หลานทั้งสองคนรู้ แต่หญิงสาวก็รับรู้ตั้งแต่อาหนุ่มขับรถเข้ามาในบ้านแล้ว แต่ก็ไม่ได้หันไปทักทาย และปล่อยให้ชายหนุ่มยืนมองตนเองไปเงียบๆ
จังหวะที่ซูอี้เดินไปล้างผัก ก็หันไปเห็นอาบุญธรรมยืนอยู่หน้าห้องครัวเข้าพอดี จึงรีบวางตะกร้าผักและเดินไปจูงมืออาบุญธรรมให้เข้ามาในห้องครัว เพื่อช่วยเขากับพี่สาวทำอาหารมื้อเย็น
เวลานี้ ทั้งสามคนอาหลาน จึงได้ช่วยกันทำอาหารมื้อเย็นอย่างสนุกสนาน อาหนุ่มก็แอบมองหลานสาวทำอาหารอยู่บ่อยๆ ส่วนหลานสาวก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะรีบทำอาหารให้แล้วเสร็จ ซูอี้ก็สนุกสนานที่ได้ช่วยงานในครัว จนสองแก้มเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
บนโต๊ะอาหารในเวลานี้ ทั้งสามคนอาหลาน ก็ร่วมกันทานอาหารค่ำอย่างมีความสุข พอกินเสร็จและเก็บล้างจานชามเสร็จ ซูหลิงจึงบอกกล่าวเรื่องที่ตนเองซื้อรถให้อาบุญธรรมกับน้องชายฟัง
“ฉันซื้อรถยนตร์แล้วนะคะ เป็นรถยุโรปวันนี้ก็ขับมาเอง เพราะทำใบขับขี่แล้ว”
“อืม ดีแล้ว”
ชางอี้เหวินที่นึกสงสัยเรื่องเงินซื้อรถในคราแรก ก็หายสงสัยเพราะจำได้ว่า หลานสาวเอาสมุนไพรของบิดาไปขายได้เงินมาก้อนโต
“โอ้โห เรามีบ้าน และมีรถยนตร์คันใหม่ พี่ซูหลิงเก่งที่สุด”ซูอี้พูดออกมาอย่างดีใจ และชื่นชมพี่สาวของเขาอย่างมาก
“วันนี้ฉันเอาเครื่องประดับของคุณแม่ไปลงประมูลมาค่ะ พอดีมีเพื่อนทำโรงประมูล เลยได้รับการช่วยเหลือจนประมูลเครื่องประดับได้ราคาดี”
หญิงสาวที่ไม่อยากให้ใครสงสัยเรื่องที่มาของเงินในการซื้อรถยนตร์ จึงได้อธิบายออกไปตามตรง แต่บิดเบือนความจริงไปเล็กน้อย
“เพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย?” ชายหนุ่มเอ่ยถามออกมาเสียงเข้มด้วยความลืมตัว
“เอ่อ ผู้ชายค่ะ ชื่อหลิวหยางเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัย” หญิงสาวที่งุนงงว่า อาหนุ่มทำเสียงเข้มใส่เธอทำไม แต่ก็ตอบออกไปตามความจริง
“อ้อ อืม ดีแล้วเป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยเหลือกัน” ชายหนุ่มที่รู้ตัวแล้วว่าทำเสียงเข้มไม่เหมาะสมออกไป จึงปรับเสียงให้อ่อนนุ่มลง
“ค่ะ หลิวหยางดีกับฉันมาก คงได้หาเวลาไปเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ”
ซูหลิงพูดออกมาอย่างยิ้มแย้ม เมื่อนึกถึงความดีของเพื่อนชาย เพราะในชีวิตก่อนเธอไม่ค่อยสนิทกับใคร และไม่เคยมีใครมาทำดีด้วยนอกจากท่านพ่อกับท่านแม่ พอเจอเพื่อนอย่างหลิวหยางจึงรู้สึกประทับใจมาก
อาหนุ่มที่เห็นประกายยินดีในแววตาของหลานสาวเมื่อพูดถึงเพื่อนชาย หัวใจของอาหนุ่มก็กระตุกวูบ เหมือนกำลังจะเสียของรักให้คนอื่น แต่เขาก็ยังคิดว่าเป็นเพียงอารมณ์ของอาหนุ่มที่หวงหลานสาว เหมือนพ่อหวงลูกสาวเพียงเท่านั้น