บทที่ 24 ข่าวใหญ่จากจวนอ๋อง

2426 Words
บทที่ 24 ข่าวใหญ่จากจวนอ๋อง คืนนั้นเสิ่นลี่อิงไปลอบดักฟังที่บ้านของฉินเปา ได้ยินแต่เสียงป้าผู่และสามีก่นด่ากัน “ลูกชายของท่านเข้าเมืองทีไรไม่ยอมกลับบ้าน ใช้การไม่ได้” “ผู่จานเจ้านั่นแหละอบรมฉินเปาอย่างไร” ลี่อิงที่ได้ยินว่าพวกเขาไม่ได้กำลังร้อนใจว่าลูกชายไม่กลับบ้าน นางก็กลับไปนอนเล่นอย่างสบายใจ ต่อให้พรุ่งนี้พบตัวแล้วมาโวยวายนางก็ไม่กลัว อย่างไรชาวบ้านที่ขายไข่ไก่ย่อมต้องเข้าข้างนางที่เป็นลูกค้าบ้าง เมื่อสบายใจแล้วจึงนึกได้ว่าเห็ดป่าที่เพาะไว้ตัดออกมาแล้วยังไม่ได้ขายจึงคิดจะนำไปแจกจ่ายคนในหมู่บ้านเพื่อซื้อใจ บอกผู้คนออกไปว่านางเพาะออกมาเอง ย่อมต้องมีผู้สนใจว่านางเพาะอย่างไร หากมีผู้ใดไม่เชื่อนางก็ยังมีถังเห็ดป่าที่ยังไม่ตัดเหลืออยู่สามารถนำไปแสดงได้ เรื่องหาเงินทองเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดปฎิเสธ สรุปได้เช่นนั้นเห็ดป่าจึงถูกแบ่งออกเป็นสองกอง กองหนึ่งใส่น้ำกลิ่นจันทร์เพื่อเร่งเชื้อส่วนอีกครึ่งนึงไว้แจกจ่ายให้ชาวบ้าน . . . เช้าวันต่อมายังไม่มีผู้ใดมาเอาเรื่องเสิ่นลี่อิงแต่อย่างใด สงสัยยังไม่ฟื้น สมน้ำหน้า! ลี่อิงเดินไปรอจินเหมยที่บ้านพร้อมถังเพาะเห็ด “พี่จินเหมย ข้าทำสำเร็จแล้ว” จินเหมยที่กลับมาจากการเอาเสี่ยวหลงเปาไปส่งให้ลุงไฉ่ก็ตกตะลึงกับบรรดาเห็ดที่งอกออกมาจากรูรอบถังไม้ในมือลี่อิง “เจ้า…ทำได้จริงหรือ” นางใช้มือสัมผัสที่เห็ดเหล่านั้นเบาๆ “พี่ไปตามชาวบ้านที่ไว้ใจได้มาที่บ้านข้าเถิด ข้าจะสอนทุกคนเพาะเห็ด พี่นำถังนี้ไปด้วยเผื่อมีคนไม่เชื่อ ข้าไปบ้านช่างกู้ก่อน” “ได้ เจ้าเก่งนัก” จินเหมยที่มีถังไม้อยู่ในมือก็หมุนดูอย่างเบิกบานใจ หากนางเพาะเห็ดได้มาก อาจสามารถติดต่อกับเถ้าแก่เฉินทำเสี่ยวหลงเปาไส้ใหม่เพิ่มก็เป็นได้ เสิ่นลี่อิงมองดูจินเหมยที่เพ่งพินิจอยู่ที่ถังไม้จึงสะกิดเรียกนาง “พี่จะเอาถังเพาะด้วยหรือไม่ข้าจะสั่งเผื่อ” “ย่อมต้องการ” เสิ่นลี่อิงและจินเหมยแยกกันตรงนั้น จินเหมยวิ่งไปตามเพื่อนฝูงในหมู่บ้านหยางและหมู่บ้านเดิมของนางทันที ส่วนลี่อิงที่ไปสั่งถังกับช่างกู้ก็ชวนให้มาดูวิธีเพาะไปพร้อมกับคนอื่นๆ ช่างกู้ที่ไม่แน่ใจนักก็ต้องตัดสินใจตามมาเพราะหากไม่ได้ผลเสิ่นลี่อิงจะสั่งถังไปทำไมเสียมากมาย เมื่อเดินกลับมาถึงเปาหลงก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านได้น่ารักเหลือเกิน วิ่งหาน้ำให้บรรดาท่านลุงท่านป้าและพี่ๆ ที่มารอลี่อิงอยู่ที่หน้าเพิงเห็ด “ข้ามาแล้วๆ ต้องให้ช่างกู้ทำถังเพิ่มให้เพื่อมาสอนทุกคน จินเหมยอีกอันของเจ้า” นางส่งเห็ดที่ตัดออกมาให้ทุกคนแจกจ่ายกันให้ครบ “เอาละก่อนที่ข้าจะเริ่ม เห็ดที่เก็บมาต้องแยกชนิดให้เรียบร้อย และทิ้งไว้ในที่อับแสงพ่นน้ำใส่วันละ 2 ครั้งจนมีราขาวๆ ขึ้นมาบนเห็ดเช่นนี้ก่อน” นางวางตัวอย่างให้ทุกคนดู พร้อมกับตอบคำถามที่ชาวบ้านสงสัยไปด้วย จากนั้นจึงเริ่มสอนขั้นตอนการเพาะเห็ดตั้งแต่ช่วงเช้าจนตกบ่ายจึงจะเสร็จสิ้น นอกจากสอนแล้วนางยังเลี้ยงอาหารกลางวันพวกเขาอีกด้วย เป็นอาหารที่ค่อนข้างจะเรียบง่ายอย่างข้าวราดหมูหวาน และพืชหัวต่างๆ ที่นางปลูกไว้ก็ถูกนำมาอบโรยเกลือและน้ำมันงา ผักอื่นนางก็นำมาทำผัดผักใส่หมูสามชั้นลงไปด้วย เท่านี้ก็ได้รับคำชมมากมายว่าทั้งอิ่มท้องและมีรสชาติดีจนหลายคนอยากให้นางเปิดสอนให้ผู้คนมาบ้านเสียทุกวัน “แม่นางลี่อิงเจ้าช่างมีน้ำใจที่แบ่งปันความรู้ให้พวกเราเช่นนี้” “ความรู้นี้มีข้อแม้เดียวคือสอนต่อได้เพียงบุตรหลานสายตรง ห้ามเผยแพร่ต่อผู้อื่น หากคนทำมากเกินไปราคาเห็ดย่อมลดลง” เมื่อนางพูดเช่นนี้ชาวบ้านที่ได้มาเรียนรู้ก็เริ่มรู้สึกพิเศษและจดจำเสิ่นลี่อิงไว้ในใจแล้ว ส่วนช่างกู้ที่เป็นช่างไม้เพียงผู้เดียวในพื้นที่แถบนี้จึงมีงานล้นมือในพริบตา ยิ่งรู้ว่าถังไม้นี้จะเปราะบางลงเพราะเห็ดที่เพาะก็ยิ่งดีใจ ตราบใดที่ยังมีผู้เพาะเห็ดเขาก็มีงานต่อเนื่อง “ข้าต้องเตรียมตัวพาเปาเปาไปเที่ยวงานจวนเสียนอ๋องแล้ว ขอให้ทุกท่านโชคดีมีเห็ดป่าไว้ขายแบบไม่ต้องลำบากหา” เมื่อชาวบ้านกลับไปแล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมตัวไปรอฟังข่าวพ่อของเปาหลงว่าที่สามีของนางเสียที หากนางมิได้ยุ่งถึงเพียงนี้เห็นทีการรอคอยถึง 2 วันคงไม่ต่างอะไรกับการทรมาน วันนี้เพราะมีงานเลี้ยงในจวนอ๋องเกวียนวัวของลุงไฉ่จึงรับส่งผู้คนถี่กว่าปกติ คนในหมู่บ้านบางส่วนก็นำสินค้าไปขายเช่นกัน ความคึกคักในเมืองที่มากเป็นพิเศษนี้ ทำให้นางเห็นชัดเจนว่าเสียนอ๋องนั้นเป็นที่รักของคนในพื้นที่เขตปกครองของตนเองมากเพียงใด ไม่แปลกเลยที่นอกจากหนิงอ๋องก็มีเสียนอ๋องที่เป็นขั้วอำนาจที่ตระกูลชั้นสูงต้องการส่งลูกสาวหลานสาวมาดอง แต่นางกลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ตามความทรงจำของเสิ่นลี่อิงเสียนอ๋องมีพระชายาเอกแล้ว แต่ตามเนื้อหาในนิยายนั้นยังมีการแย่งชิงเข้ามาเป็นเสียนหวางเฟยอยู่เนืองๆ เรื่องราวอาจไม่โดดเด่นเท่าพระเอกและตัวร้าย แต่มีกล่าวถึงว่าตำแหน่งชายาเอกยังว่างเว้น แปลกจัง โดนปลดหรือว่าตาย ระหว่างทางเสิ่นลี่อิงคิดไปเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงลุงไฉ่แว่วเข้ามา “ถึงแล้ว” ลุงไฉ่ใจดีเป็นพิเศษนำผู้โดยสารมาส่งระยะทางไกลกว่าปกติให้ลงใกล้กับจวนอ๋อง เมื่อเดินลงมาก็พบกับร้านค้า และผู้คนที่จับจ่ายอย่างคึกคัก แม้จะเป็นเวลาเพียงยามโหย่ว นางคิดเอาเองว่าคนจะเริ่มเยอะในยามซวี งานชมจันทร์เริ่มคึกตั้งพระจันทร์ยังไม่โผล่แปลกดี เสิ่นลี่อิงจูงเปาเปาซื้อของกินเล่นที่ขายอยู่ตามแผงข้างทางมีลูกค้าที่ซื้อไข่กระทะจำนางได้เข้ามาทักทายบ้างประปราย “แม่นางเหตุใดไม่นำของมาขายในงานเล่า” “วันนี้ข้าอยากพาน้องชายเที่ยวเจ้าค่ะ” นางยิ้มตอบบางๆ พูดคุยตามมารยาทเล็กน้อยแล้วจากมา “พี่สาวข้าอยากกิน” นางเดินออกมาพอดีกับที่เปาหลงชี้ไปที่น้ำตาลปั้นหลากสี “เจ้ามีเงินแล้วหากอยากซื้อก็ถามราคากับคนขายดู” นางตอบเปาหลงไปเช่นนั้นเขาก็มองหน้านางเพียงครู่เดียว แล้วก็ตัดสินใจวิ่งไปหาลุงคนขาย “ท่านลุงขอรับ” “อ่าวเจ้าหนุ่มน้อย เอาน้ำตาลปั้นรูปอะไรดี” คนขายน้ำตาลปั้นพูดไปปั้นไป เขาเองก็กำลังเร่งมือเตรียมรับลูกค้าบนถนนหน้าจวนอ๋องที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “แต่ละรูปกี่อีแปะหรือ” “อันเล็ก 2 อีแปะ อันใหญ่เช่นนี้ 4 อีแปะ” เปาหลงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นำเงิน 2 อีแปะออกมาจ่ายและหยิบน้ำตาลปั้นรูปปลาไป “เหตุใดจึงเลือกรูปปลามาเล่า” เสิ่นลี่อิงสงสัยเพราะเด็กน้อยที่จับมือนางอยู่มิได้หยิบรูปพยัคฆ์หรือสัตว์อื่นๆ ที่ดูน่าเกรงขาม แต่กลับหยิบสิ่งที่แสนจะธรรมดาอย่างมัจฉามา “วันที่พี่สาวพาข้าไปจับปลาข้ามีความสุขที่สุด” น้ำตาของเสิ่นลี่อิงเอ่อคลอขึ้นมาเพราะเปาหลงน้อย นางรีบผลักความรู้สึกที่จุกอยู่ที่ลำคอลงไปแบ้วรีบเดินไปให้ถึงจวนอ๋อง นางเพียงแค่ชูป้ายเข้าออกจวนที่เสียนอ๋องให้ทิ้งไว้ก็สามารถผ่านเข้ามาจนถึงเรือนเล็กท้ายจวนได้อย่างง่ายดาย “ท่านรอที่นี่ บ่าวจะไปเรียนเสียนอ๋องให้เองเจ้าค่ะ” เสิ่นลี่อิงพยักหน้าให้บ่าวผู้นั้นเล็กน้อยก่อนหันมาเล่นกับเปาหลงค่าเวลา . . . “ลี่อิง เจ้ามาเสียที แล้วเด็กคนนี้” ชายรูปร่างสูงโปร่งก้าวเข้ามาในเรือนเล็กหลังนี้พร้อมององครักษ์อีก 2 คน เขาจับจ้องมาที่เปาหลงอย่างพิจารณาแล้วก็ระบายยิ้มออกมา “ตู้เปาหลงใช่หรือไม่” “ขอรับ ท่างลุงรู้ได้เช่นไร” “ก็…” ยังไม่ทันที่จะได้ตอบลี่อิงก็ส่ายหน้าขึ้นมาเสียก่อน ทำให้เสียนอ๋องกลืนความคิดแรกลงไป “ข้าคือเสียนอ๋อง เป็นหนึ่งในญาติของเจ้าอย่างไรละ มีบรรพบุรุษร่วมกันเป็นรุ่นทวดของข้า แต่เป็นเทียดของเจ้า” “ทวด? เทียด?” เปาหลงหันมาหาเสิ่นลี่อิงเพื่อหาคำตอบ “พ่อของเจ้ามีพ่อ คนผู้นั้นนับว่าเป็นปู่เจ้า และปู่ของเจ้าก็มีพ่อเรียกว่าเป็นทวด ส่วนพ่อของทวดจึงจะเรียกว่าเทียด” “แล้วปู่เล็กเล่า” “ก็เป็นน้องชายของปู่เจ้าอย่างไรเล่า” เปาหลงพยักหน้าหงึกๆ แล้วชี้ไปที่เสียนอ๋อง “ข้าเป็นหลาน แล้วเขาเป็นลุงหรืออา” “หากเป็นครอบครัวทั่วไปข้าย่อมเป็นท่านลุง แต่เพราะข้าถือเป็นสายรองจึงนับว่าเป็นท่านอา” “ท่านอา” เปาหลงยิ้มแล้วเข้าไปกอดขาเสียนอ๋องไว้ นางส่ายหน้ายิ้มเล็กน้อย “รวมญาติแล้วก็กลับมาคุยธุระกันเถิด” นางนำกระดาษพู่กันและสีออกมาให้เปาหลงเล่นรอระหว่างนางพูดคุยกับญาติผู้พี่ “เจ้ามิได้บอกเขาหรือว่าเจ้าเป็นใคร” “ไม่ได้บอก” “ทำเช่นนี้แน่ใจแล้วหรือ” “เช่นนี้ปลอดภัยกว่า ท่านบอกข่าวที่รู้มาเถิด” “บอกตามตรงข่าวจากจวนหนิงอ๋องเงียบนัก มีเพียงข่าวลือว่าหนิงอ๋องมิได้ออกไปไหนมาไหนตามที่ข้าบอกให้เจ้ารู้ก่อนหน้านี้” “อืม อย่างไรต่อ” “ข้าให้คนแฝงตัวเข้าไปได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ตามที่คนของข้ารายงานมาหนิงอ๋องไม่แม้แต่จะก้าวขาออกจากเรือนนอน ข้าจึงให้คนสืบข่าวทางอื่นมาเพิ่ม ข้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งหากไม่ใช่การแฝงตัวไปสืบข่าวก็ต้องเป็นการบาดเจ็บหรือต้องพิษจึงหายเงียบไปเช่นนี้” “แล้วท่านคิดว่าอย่างไร” “หากเป็นการไปสืบข่าวเมื่อเปาหลงหายไปอย่างไรเขาก็ต้องออกมาตาม ข้ากับหนิงอ๋องเป็นเพื่อนเรียนกันมาเรื่องนี้ผิดวิสัยเกินไป” “แต่ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นพิษ ไม่ใช่อาการบาดเจ็บอื่นจริงๆ เขาเป็นนักรบการบาดเจ็บอาจเป็นไปได้มากกว่า” “นั่นก็คงใช่ แต่มีข่าวเล็ดรอดออกมาในเมืองหลวงว่ามีการซื้อขายยาพิษที่ชื่อจุมพิตมัจจุราช” “ของหายากเมื่อถูกซื้อขายย่อมสะเทือนแผ่นดิน” ความทรงจำจากเจ้าของร่างเกี่ยวกับยานี้มีเพียงน้อยนิด เสิ่นลี่อิงคนเดิมรู้เพียงว่าเป็นพิษที่เมื่อมีอาการออกมา การจะรักษาก็ไร้หนทางเสียแล้ว เสียนอ๋องพยักหน้า “เป็นพิษร้ายแรง ความรุนแรงของยาจะค่อยๆ กัดกร่อนคนจากภายในทำลายสมดุลของธาตุในกาย ราคาแพงลิ่ว มีหมื่นตำลึงทองก็ยังไม่แน่ว่าจะซื้อได้ การจะนำมาใช้ย่อมต้องใช้กับผู้มีอำนาจ และคนสำคัญในแคว้นตู้เพียงคนเดียวที่เงียบหายไปในช่วงเวลาที่มีข่าวว่ายานี้ถูกประมูลไปคือหนิงอ๋อง” “สืบได้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ประมูล” “เรื่องเช่นนี้เกิดในตลาดมืด หากออกมาเผยแพร่ก็ไม่ต่างกับการจุดไฟเผาตนเอง ต่อทรมานจวนเจียนตายก็มิอาจได้นามผู้ใดมา” เสิ่นลี่อิงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน นางไม่รู้ว่าการที่หนิงอ๋องต้องพิษเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว หรือเป็นเพราะว่านางมาปรากฏตัวในโลกใบนี้ “อาการของพิษเป็นอย่างไร..” นางเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิวรู้สึกชาวาบแทนเปาหลง “เหงื่อออกเป็นสีดำ เหงือกช้ำ ถ่ายออกทางทวารตลอดเวลา จะเป็นเช่นนี้จนกว่าร่างกายจะรับสภาพไม่ไหวและสิ้นลมไป” “นั่นมัน!” นางหันกลับไปมองที่เปาหลงที่ยังคงนั่งระบายแล้วมองกลับมาที่ญาติผู้พี่อย่างจริงจัง “ตอนที่ข้าเจอเปาหลงเขามีอาการเช่นนี้” “ไม่จริง หากเป็นเช่นนั้นหลานข้าควรต้องตายไปแล้ว” “เป็นเรื่องจริง คราแรกเกือบไม่รอดข้าต้องขับพิษให้เด็กคนนี้ทั้งคืน เหงื่อออกเป็นสีดำ ถ่ายก็เป็นสีดำเหลวเหนียวคล้ายเมือกใส เหงือกช้ำคล้ายผลไม้ที่สุกเกินไป” เมื่อได้ยินว่ารายละเอียดของลักษณะเหงือกจากเสิ่นลี่อิงตู้เสียนเฉียงก็เชื่อในทันที ตามตำราที่เขาอ่านระบุไว้เช่นนี้จริง และไม่มีทางที่เสิ่นลี่อิงจะเคยอ่านเพราะนั่นเป็นตำราที่มีเพียงสามฉบับ หนึ่งเล่มที่เขา หนึ่งเล่มอยู่ในท้องพระโรง และอีกเล่มอยู่ต่างแคว้น “เจ้า?…เก็บซ่อนความสามารถไว้หรือ” เสียนอ๋องมองประเมินญาติผู้น้องตรงหน้าขึ้นลงหัวจรดเท้า เขาไม่เคยรู้ว่านางมีความสามารถในการรักษา ทั้งยังรักษาพิษร้ายแรงอย่างจุมพิตมัจจุราชทั้งที่ไม่มีตำราอธิบายอาการในมือเสียด้วยซ้ำ “ข้า…” “ท่านอ๋องแย่แล้วขอรับ!!” ยังไม่ทันได้พูดจนจบก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน _______ ยามโหย่ว หมายถึงช่วงเวลา 17:00 - 18:59 ยามซวี หมายถึงช่วงเวลา 19:00 - 20:59
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD