บทที่ 3 เป็นน้องข้าไม่ต้องกลัวใครหน้าไหน

1892 Words
บทที่ 3 เป็นน้องข้าไม่ต้องกลัวใครหน้าไหน เสิ่นลี่อิงนั่งเป็นลูกมือให้กับพี่จินเหมย นางสั่งให้ทำอะไรหั่นแบบไหน เสิ่นลี่อิงก็จัดการให้อย่างรวดเร็ว แม้นางจะเพิ่งเปิดร้านอาหารมาได้สามเกือบสี่ปี แต่ก่อนหน้านี้นางก็ชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับคุณแม่และคุณย่าของซาร่าในชาติภพก่อน แม่ของซาร่าเป็นหญิงชาวไทยที่มาแต่งงานกับคนต่างชาติ ซาร่าจึงมีความสามารถในการทำอาหารไทยที่เรียนรู้มาจากแม่ และอาหารฝรั่งที่ได้เรียนรู้มาจากคุณย่า จินเหมยลอบมองมายังเสิ่นลี่อิงจนนางรู้ตัวจึงได้เงยหน้าขึ้นสบตาเผื่อว่าจินเหมยจะมีอะไรให้นางช่วยอีก “พี่จินจะเอาอะไรหรือเดี๋ยวข้าไปหยิบให้” นางวางมีดที่กำลังซอยผักลงบนเขียง “เปล่าหรอก ข้าแค่เห็นว่าเจ้าใช้มีดคล่องแคล่วดีเท่านั้น โล่งใจไปที ข้านึกว่าจะต้องสอนเจ้าใหม่เสียทั้งหมด” จินเหมยที่กำลังขอดเกล็ดปลายิ้มให้กับนาง “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพียงแต่พอพี่บอกให้หั่นมือมันก็ไปเองน่ะ ข้าอาจจะชอบทำกับข้าวก็ได้” เสิ่นลี่อิงเอ่ยแก้ต่างให้ตัวเองอย่างว่องไว และหยิบวัตถุดิบต่างๆ ที่หั่นเรียบร้อยแล้วส่งให้พี่จิน จินเหมยไม่ได้เรียกใช้อะไรนางเพิ่มอีก เสิ่นลี่อิงจึงนั่งดูวิธีทำอาหารของหญิงชาวบ้านตรงหน้า เมื่อเตรียมปลาเสร็จ พี่จินผู้นี้ก็นำเกลือมาโรยเพื่อหมักเล็กน้อย นำผักต่างๆ ลงไปต้มในหม้อน้ำเดือด และใส่ปลาที่หั่นเป็นชิ้นลงไปครึ่งตัว ใช้เวลาไม่นานนักน้ำแกงปลาก็เสร็จสิ้นพร้อมรับประทาน “ลี่อิง เจ้าหยิบผัดผักที่เหลืออยู่ไปด้วย เราจะเดินไปยังที่ดินของบ้านข้ากัน พวกเขาคงหิวกันมากแล้ว” “อ้อ ปลาอีกครึ่งตัวพี่จะไว้ทำมื้อเย็นหรือ” “ใช่แล้วบ้านข้ามีกันแค่สามคน วันนี้รวมเจ้าเป็นสี่ทำเท่านี้พอแล้ว” พี่จินว่าพลางยกหม้อที่มีควันพวยพุ่งขึ้นมา และคว้าข้าวที่หุงไว้แล้วด้วยอีกมือที่ยังว่างอยู่ ส่วนลี่อิงหยิบผัดผักและชามข้าวที่พี่จินเหมยเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ถือตามไป ทั้งสองเดินมาจนถึงที่ดินแปลงหนึ่ง ในที่ดินแปลงถัดๆ ไปก็เริ่มมีชาวบ้านที่นำข้าวมาส่งให้กับคนในครอบครัวของตน ส่วนบางบ้านที่ช่วยกันทำไร่ทั้งครอบครัวก็พกอาหารแห้งมานั่งกินกัน สายตาหลายคู่จับจ้องมาเสิ่นลี่อิง แต่นางก็ไม่ได้เขินอายอันใด ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีอาจได้ทำความรู้จักคนในหมู่บ้านแห่งนี้เพิ่มผ่านการตะโกนแนะนำของจินเหมย “จินเหมยเจ้าพาใครมานั่น” ชายที่คาดว่าน่าจะเป็นสามีของพี่จินเหมยเอ่ยทักขึ้น ด้านหลังมีลูกชายวัยประมาณแปดเก้าขวบวิ่งตามหลังมา “นางชื่อลี่อิง นางจะย้ายมาอยู่หมู่บ้านเรา นางหลงป่าจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากชื่อ นางจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะหาย ลี่อิงนั่นสามีข้า ลู่จาน” “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยร้องทักขึ้นก่อนจะวิ่งตามมา ยังเป็นเด็กอยู่เลย นึกว่าเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้วเลยมาช่วยพ่อทำงานในไร่ “ด้านหลังที่วิ่งตามมานั้นลูกของพี่ใช่หรือไม่ ชื่ออะไรหรือ” “อ้อลูกชายข้าชื่อลู่เว่ย เรียกว่าเว่ยเว่ยก็ได้” สามีของพี่จินเหมยเป็นคนตอบก่อนจะตบมือลงบนบ่าของเด็กน้อยเบาๆ “ขยันจริงๆ เด็กดีมาช่วยพ่อทำไร่เช่นนี้” นางย่อลงไปคุยกับเว่ยเว่ย “ช่วยเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็วิ่งเล่นกับเด็กบ้านอื่นมากกว่า” จินเหมยเป็นคนตอบแทนเจ้าลูกชายที่ยืนเขินอายอยู่ข้างสามีตน “ท่านแม่วันนี้ข้าช่วยออกจะเยอะนะขอรับ” เด็กชายที่ได้ยินว่าตนเองทำงานไม่เยอะก็เลิกเขินอายและเริ่มเถียงทันทีก่อนจะโดนขัดโดยลู่จาน “อย่ามัวพูดกันเยอะแยะอยู่เลย รีบกินเถอะเดี๋ยวน้ำแกงปลาจะหายร้อนเสียหมด” ทั้งสี่คนนั่งทานกันอย่างเอร็ดอร่อยเท่าที่น้ำแกงที่ปรุงด้วยเกลือเพียงอย่างเดียวจะอร่อยได้ จากคำบอกเล่าของพี่จินเหมย วันนี้นางยอมใส่เกลือเพราะมีสมาชิกใหม่มากินเพิ่ม นางไม่อยากให้เสิ่นลี่อิงรู้สึกว่านางทำอาหารไม่อร่อย เสิ่นลี่อิงรีบโบกมือปฏิเสธด้วยความเกรงใจ บอกให้นางจินเหมยสามารถทำอย่างเดิมอย่างที่เคยได้เลย ตัวนางเป็นผู้มาขอความช่วยเหลือไม่อาจเรื่องมากได้ แม้ในใจจะแอบร้องไห้เพราะว่ารสชาติมันช่างจืดชืดเสียเหลือเกิน เมื่อเสิ่นลี่อิงและครอบครัวลู่กำลังจะกินกันอิ่ม ก็มีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาหานาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางเป็นญาติของจินเหมยหรือ มีคู่หมายแล้วหรือยัง” อะไรเนี่ยยังไม่ทันได้รู้จักกันเลย…มาถามเรื่องคู่คนอื่นเขาแบบนี้เลยเหรอ เสิ่นลี่อิงไม่สนใจที่จะตอบเลือกหันไปหาพี่จินเหมยแทน นางส่งสายตาไปว่าต้องการคำตอบเกี่ยวกับชายผู้นี้ พี่จินเหมยก็รับรู้ถึงสายตานี้ของนางเช่นกัน จึงได้กระซิบบอกว่าชายคนนี้คือหลานชายของหัวหน้าหมู่บ้าน ‘หยางฉินเปา’ ชายผู้นั้นเมื่อเห็นนางไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าคุยกับจินเหมย ก็รู้สึกได้ใจคิดว่านางคงเขินอายจึงได้นั่งยองๆ ลงมาและใช้มือจับปลายผมของเสิ่นลี่อิง นางปัดมือชายผู้นั้นออกทันที และหันไปขอความช่วยเหลือจากสองสามีภรรยา “ข้าทำอย่างไรดีพี่จินเหมย” ไม่แน่ใจว่าจะจัดการอย่างไรดี ค้นในความทรงจำร่างเดิมก็ไม่เห็นเจอว่าเคยมีใครไม่ให้เกียรติเสิ่นลี่อิงมาก่อน หากจะจัดการแบบตอนเป็นซาร่ามีหวังได้มีเรื่องราวถึงโรงถึงศาล “ไม่ต้องเป็นห่วง เป็นน้องข้าไม่ต้องกลัวใครหน้าไหน” พี่จินเหมยว่าก่อนจะวางถ้วยข้าวของนางลง พยักหน้าสร้างความมั่นใจให้ลี่อิง “เจ้ามาถามเช่นนี้ได้อย่างไรนางเป็นน้องข้ามีคู่หมายหรือยังก็ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า เจ้าจะมายุ่งกับนางทำไม” จินเหมยตอบแว้ดขึ้นมา “ข้าเพียงแต่ถามดูเท่านั้น ทำไม ถามไม่ได้หรือ?! นางเป็นหญิงสูงศักดิ์มาจากไหน ข้าห้ามอาจเอื้อมหรือ” “ถามเฉยๆ ยังพอทน มือไม้ไม่ต้อง เก็บไว้อมเองเถิด” สามีของพี่จินเหมยพูดออกมาบ้าง “หมู่บ้านนี้ท่านปู่ของข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน พูดอะไรระวังปากด้วย ข้าทำเช่นนั้นที่ไหน ระวังจะไม่มีที่อยู่เอา” หลานชายหัวหน้าหมู่บ้านเหยียดยืนขึ้นเต็มความสูงเพื่อข่มพวกนาง ตัวก็เตี้ยยังจะยืนวางท่าอีก คิดว่าฉันกลัวหรือไง แบกคนตัวใหญ่กว่านี้ฝ่าไฟร้อนๆ ก็ทำมาแล้ว คิดว่าแค่เด็กวัยรุ่นฉันจะจัดการไม่ได้หรือไง เสิ่นลี่อิงส่ายหัวให้กับความมั่นใจผิดๆ ของเด็กหนุ่มตรงหน้า แม้สภาพร่างภายนอกจะดูเหมือนเขาและนางอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ความคิดความอ่านเช่นนี้ต่อให้นางคิดอยากจะมีความรัก คนแบบนี้ก็ไม่มีทางได้โอกาส “หัวหน้าหมู่บ้านคือตำแหน่งที่ถูกเลือกโดยคนในหมู่บ้าน ทำแบบนี้เจ้าไม่กลัวจะเสื่อมเสียไปถึงท่านปู่ของเจ้าหรือ” นางทำหน้านิ่งจดจ้องเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มคนนั้น ความทรงจำเรื่องตำแหน่งต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัวของนางทันที “นี่เจ้าขู่ข้าหรือ เป็นเพียงคนนอกหมู่บ้านที่มาเยี่ยมญาติ กล้าพูดเช่นนี้เลยหรือ” หลังจากที่พูดจบหลานหัวหน้าหมู่บ้านยกขาขึ้นหมายจะถีบนางออกไป โชคยังดีที่ลู่จานตอบสนองรวดเร็วยกขาขึ้นมาขัดไว้เสียก่อน “ทำอะไร แค่นี้ถึงกับต้องถีบลงไม้ลงมือกันเลยหรือ” โห หน้าตากลางๆ หุ่นธรรมดา การศึกษาดูไม่มี ชอบใช้ความรุนแรง มีดีแค่เป็นหลานหัวหน้าหมู่บ้านหรือเปล่าเนี่ย “ไม่เห็นต้องถึงกับลงไม้ลงมือกันเลย เอาเป็นว่าข้าขอโทษเจ้าก็แล้วกัน ต่อจากนี้ต่างคนต่างอยู่จะได้ไม่มีเรื่องผิดใจอีก” เสิ่นลี่อิงยอมเป็นฝ่ายขอโทษเพื่อไม่ให้มีใครต้องลงไม้ลงมือกัน หากมีเรื่องมีราวตอนนี้คนที่เสียเปรียบจะเป็นตัวนาง ลี่อิงต้องสร้างพรรคพวกในหมู่บ้านเสียก่อนถึงจะเริ่มมีปัญหาได้ “ลี่อิง เจ้าจะไม่เอาเรื่องที่ฉินเปาจะลงไม้ลงมือกับเจ้าหรือ” จินเหมยเอ่ยถามขึ้น “ดีนี่ รู้จักขอโทษ เช่นนั้นก็จำไว้ ข้าเป็นหลานหัวหน้าหมู่บ้าน จะทำสิ่งใดย่อมต้องได้รับการยินยอมจากข้าก่อน” เสิ่นลี่อิงไม่ตอบโต้สิ่งใดอีกเพียงแค่มองหน้าฉินเปานิ่งๆ ไม่ยอมพูดอะไร ตามหลักจิตวิทยา การไม่ตอบโต้สิ่งใดเลยสำหรับสมองแล้วถือเป็นการปฏิเสธเช่นเดียวกันกับการกล่าวคำว่าไม่ออกไป แม้นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดก็สามารถสร้างความหงุดหงิดใจเล็กๆ ให้กับเด็กหนุ่มคนนี้ได้ สิ่งนี้ยืนยันได้จากท่าทางหัวเสียของฉินเปาที่กำลังเดินจากไป “เจ้าไม่ต้องไปสนใจ เห้อ ฉินเปายกเท้าขึ้นมาใส่อาหารเช่นนี้กินไม่ได้แล้ว รีบเก็บของเถิด ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำ” พี่จินว่าพลางเก็บถ้วยชามและหม้อที่นำมา ปล่อยให้สามีและลูกกลับไปทำงานในไร่ต่อ “ข้าขอโทษนะพี่จิน ภายภาคหน้าข้าจะชดใช้ให้พี่แน่นอน” ลี่อิงขอโทษจินเหมยด้วยความรู้สึกผิด เหลืออาหารเพียงไม่มาก แต่ชีวิตในชนบทเช่นนี้อาหารคือสิ่งมีค่าอย่างแท้จริง “ไม่เป็นไรๆ เหลือไม่กี่คำเท่านั้น พวกนี้ไว้ให้ไก่กินได้” นางเก็บเศษอาหารทั้งหมดรวมไว้แล้วมุ่งหน้าเดินกลับบ้าน เสิ่นลี่อิงจ้องตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มผู้นั้นไป พลางส่ายหัวให้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอเมื่อครู่ นางนึกว่าจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านนี้อย่างสงบสุขแต่ดูเหมือนคนชนบทก็ไม่ได้จริงใจและนิสัยดีกันทั้งหมดสินะ เบื่อจริงๆ เป็นแค่หลานหัวหน้าหมู่บ้านมันจะยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น คอยดูเถอะจะหาวิธีแก้เผ็ดหยางฉินเปาให้ได้เลย ฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน เมื่อคาดโทษศัตรูคนแรกในหมู่บ้านไว้ในใจเรียบร้อยแล้วนางก็รีบสาวเท้าก้าวตามพี่จินเหมยไปทันที ก่อนจะเริ่มใช้ชีวิตด้วยตัวเอง นางต้องรู้ก่อนว่าคนหมู่บ้านนี้เขาทำกันอย่างไร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD