8
******ครึ่งปีศาจ
ทุกย่างก้าวของอาเป้ยอยู่ในประสาทสัมผัสของเทพปีศาจ เทพอู่เฉินรับรู้ถึงการมีชีวิตของเครื่องสังเวยได้เพียงปิดตาลง มองผ่านความมืดมิดด้วยนัยน์ตาเวทสีแดงฉาน ไม่ว่านางจะอยู่ใกล้หรือไกล หากเพ่งกระแสจิตอีกสักเล็กน้อย ยังมองเห็นว่านางกำลังทำอะไร ผ่านทิวทัศน์โดยรอบเบื้องหน้าสายตาของนาง ราวจ้องมองภาพเหล่านั้นด้วยดวงตาของตน
อาเป้ยเป็นหญิงช่างสงสัย นางมักมองไปรอบ ๆ กาย เพ่งสายตาจับจ้องทุกสิ่งอย่างด้วยความใคร่รู้ว่ามันคืออะไร นางมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นยังแสนจะซุกซน แตกต่างจากเหล่าเทพบนสวรรค์
เมื่อวานนี้นางคงคิดถึงมารดาเป็นอย่างมากจึงไม่ค่อยสนใจสิ่งใด นางสวมอาภรณ์สีขาว นั่งเหงาหงอยอยู่ในป่าไผ่ด้านหลังเรือนไม้ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเวทสวรรค์ ติดกับแม่น้ำสีมรกต พิงแผ่นหลังไว้กับต้นไม้ท่ามกลางบรรยากาศแสนสงบร่มเย็น ลมพัดผ่านใบหน้าของนางในยามซื่อ จนล่วงเลยเวลาไปมาก นางจึงไปเดินเล่นรอบ ๆ สวนหย่อม กระโดดขึ้นเด็ดผลของต้นส้ม นำผลไม้ใส่ตะกร้าสานไปนั่งหลับอยู่ใต้ต้นสน
วันนี้นางได้รับอนุญาตให้เข้าไปนั่งอ่านหนังสือในห้องหนังสือห้องใหญ่ในเรือนเทพอู่เฉิน เครื่องเรือนทุกอย่างเป็นสีนิลสนิทแม้แต่ตู้หนังสือ ตั่งนั่งก็มี เก้าอี้ในเรือนท่านก็มี เฉกเช่นเดียวกับบนโลกมนุษย์ทุกสิ่งอย่าง คล้ายกับว่าจะเป็นจวนท่านเจ้าเมืองผู้มียศถาบรรดาศักดิ์อันยิ่งใหญ่
อาเป้ยกำลังสำรวจรอบห้อง นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อเทพอู่เฉินเข้ามานั่งลงในฝั่งตรงกันข้าม นางกลับมาพูดจามากความขึ้น
“ข้าไม่คิดว่าบนเทวโลกจะมีฤดูกาล มีกลางวันกลางคืน หมู่มวลบุปผาล้วนสวยงามยิ่งนัก พวกมันผลิดอกออกผลโดยไม่ต้องรดน้ำพรวนดิน”
“มีอยู่ดังที่เจ้าเห็น แต่ทุกกาลนั้นไม่แน่นอน ทุกสิ่งรอบกายล้วนสมบูรณ์ ส่งผลต่อโลกมนุษย์ทุกแห่งหนในทิศอุดรด้วยเช่นกัน”
“ข้ากำลังสงสัยเรื่องบุตรชายของใต้เท้าจีกง”
ไม่ขาดคำดี นัยน์ตาสีแดงก่ำของบุรุษเทพในฝั่งตรงกันข้ามฉายแววเกรี้ยวกราด เทพอู่เฉินเพิ่งออกคำสั่งกับนางว่าไม่อนุญาตให้เดินหมากเซี่ยงฉีกับผู้ใดอีก นางยังต้องอยู่แต่ในเรือนนี้เท่านั้น
“เทพอู่เฉินจะโกรธกริ้วข้าไปไย ข้าเพียงอ่านตำราเก่าแก่โบราณมา เรื่องเหล่าเทพไม่เสพเมถุน หากไม่บำเพ็ญเพียรเพื่อสำเร็จเป็นเซียนผู้แก่กล้าวิชาเวท จะหาเรื่องบันเทิงใจทั่วไปทำอย่างเช่นวาดรูปด้วยพู่กัน บรรเลงเพลงพิณไพเราะ ราวเสียงของวิหคประสานเสียง...”
“เจ้าบอกว่าเป็นข้ารับใช้ เหตุใดจึงได้ฝึกวิชาและอ่านตำรา”
“อาจารย์ฮุ่ยหมิงให้คำอนุญาตข้า วันไหนข้าได้เข้าไปทำความสะอาดห้องหนังสือ ท่านจะให้เวลาข้าทำปัดกวาดเช็ดถูหลายวันหลายคืนทีเดียว ส่วนเรื่องฝึกวิชา กลางคืนข้าไม่ค่อยได้นอนหลับเต็มตานัก ยังมี... ช่วงที่ข้า เอ่อ...” นางเงียบไป ด้วยท่าทีเก้อเขินเมื่อพูดถึงเรื่องของสตรี
“มีระดู ข้ามักใช้ข้ออ้างว่าข้าไปเยี่ยมเยียนท่านแม่และญาติ ๆ ของข้า ขอให้เป็นวันพักผ่อนของข้าบ้าง จะมีชาวบ้านมาทำหน้าที่แทนข้า แต่บนเทวโลกนี่... ข้าไม่มีระดู ข้าจึงเกิดความสงสัยว่าใต้เท้าจีกงมีบุตรได้อย่างไร”
“หากเจ้าหมายถึงเรื่องนั้น ข้าเคยได้ยินมาว่าใต้เท้าจีกงลงไปเผชิญด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์กับภริยาของท่าน” อู่เฉินตอบนาง แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“นั่นก็... เมื่อสองพันปีที่แล้ว”
“ท่านมีความคิดเช่นข้าหรือไม่... ใต้เท้าจีกงอาจหนีลงไปเที่ยวบนโลกมนุษย์”
เหล่าเทพต่างไม่มีคาดคิดเรื่องนี้มาก่อน การที่สองเทพแห่งสายน้ำถือกำเนิดมาตอนไหน คงเป็นการเสียมารยาทหากไปพูดถามใต้เท้าจีกง
“หาได้มีใครรู้เรื่องนี้ไม่ แถมเรื่องมันก็นานมากจนลืมเลือนกันไป เทพเซียนยังไม่มีผู้ใดได้เป็นผู้เยาว์นาน เพียงไม่กี่วันก็กลายเป็นบุรุษเทพแล้ว ตัวข้าเองไม่เคยจะได้พบเห็นเทพเซียนเด็กมานานนับหลายพันปี”
ใครเล่าจะมานั่งจดจำเรื่องเล็กน้อย พวกช่างสงสัยก็มีแค่นางนี่แหละ ทำไมถึงได้ชอบจุ้นจ้านเรื่องคนอื่นไปทั่ว นิสัยเหมือนตาเฒ่าฮุ่ยหมิงไม่มีผิด
เทพอู่เฉินหาได้รู้ว่านางมีจุดประสงค์บางอย่างหากว่านางไม่พูดขึ้นมา
“เทพอู่เฉิน... หากท่านมีธุระบนโลกมนุษย์ จะพาข้าไปพบท่านแม่บ้างได้หรือไม่?”
“อ้อ... ที่แท้เจ้าก็มีแผนการ อาเป้ย เจ้าช่างร้ายกาจนัก เอาเป็นว่าข้าจะลองพิจารณาดูจากพฤติกรรมว่านอนสอนง่ายของเจ้า ข้าค่อยตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง”
เทพอู่เฉินให้ความหวังนาง พลันตัดทุกสิ่งให้ขาดสะบั้นลงตรงนั้น
“แต่โดยธรรมเนียมแล้วเหล่าเทพเซียนบนเทวโลกไม่ติดต่อกับมนุษย์”
“แต่ข้าได้ยินมาว่ามีผู้คนบนโลกเคยไปขอพรกับเทพ ได้สำเร็จดังใจหลายข้อ เหล่าเทพต่างสนับสนุนผู้มีศีล มนุษย์บางคนสามารถติดต่อกับเทพได้ มีตำนานเล่าขานว่าเทพเซียนบนสวรรค์แอบหนีไปอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์เมื่อพบรักกับหญิงสาวผู้หนึ่ง...”
“เจ้าไม่ควรเป็นสตรีที่รู้มากเกินไป”
คราวนี้เทพอู่เฉินดุนางด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น อาเป้ยก้มหน้าลงมองหนังสือบนโต๊ะไม้สลักมุก นางเปิดมันทิ้งเอาไว้ไม่ได้อ่านเสียที นางยอมอ่อนข้อลง แต่ไม่ยอมละความพยายามเรื่องมารดา
“ข้าไม่อยากแทรกแซงกฎสวรรค์ กฎแห่งกรรมยังต้องเป็นไปตามธรรมดา ท่านแม่ของเจ้าอาจพรากสามีของผู้อื่นมาด้วยงานไม่สุจริตนัก แม้ทำไปโดยไม่ได้มีเจตนา แต่เพื่อทำงานเลี้ยงชีพ นับเป็นวิบากกรรมอยู่ดี นางจำต้องถูกพรากจากสิ่งที่ตนรักและหวงแหนเป็นที่สุด ท่านแม่ของข้าก็เช่นกัน ด้วยสองมือของข้ายังไม่สามารถช่วยเหลือนางได้ ข้าไม่สามารถเข้าพรรคพวกกับปีศาจ”
“แล้วท่านล่ะ... มีวิบากกรรมหรือไม่? ท่านสังหารสตรีไปถึงสิบสองคน โดยที่พวกนางไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย พวกนางเป็นผู้บริสุทธิ์”
“ก็คงจะมี... บ้าง... กระมัง”
เพราะลืมเรื่องของตนไปสนิท ทว่าฉุกใจนึกขึ้นได้ในเรื่องที่นางพูดขึ้นมาว่าการกระทำผิดด้วยการคร่าชีวิตเป็นวิบากกรรมอันใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเครื่องสังเวยต่างเหลือเพียงเศษซากกระดูก และโลหะซึ่งติดร่างมากับพวกนาง น้อยชิ้นจริง ๆ จะไม่ละลายหายไปกับพิษ
กเฬวรากซากศพของพวกนางเป็นภาพจำติดตาของเทพอู่เฉิน ในทุกสิบสองปีบนโลกมนุษย์
หนึ่งปีบนโลกมนุษย์เท่ากับหนึ่งร้อยปีบนเทวโลก หนึ่งร้อยปีก็เท่ากับหนึ่งพันปี เทพอู่เฉินมีหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายคือไม่ให้เฟยอี๋ลงไปรับเครื่องสังเวย
เทพอู่เฉินแทบไม่เคยเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิต นอกเสียจากสัตว์เพื่อมาประกอบอาหาร นั่นก็ยังนาน ๆ ครั้ง ด้วยความที่เหล่าเทพต่างอิ่มทิพย์บนเทวโลก
“หากว่าข้าเป็นท่าน ข้าคงอยากล่วงรู้กรรมของตน เผื่อว่าพอมีหนทางแก้ไข ผ่อนหนักเป็นเบาได้ ให้วิญญาณของพวกนางไม่คิดอาฆาตแค้นข้า ข้าว่านางคงเจ็บปวดทรมาน แสบร้อนเพราะพิษของท่านน่าดูกว่าที่พวกนางจะตาย”
“พวกนางรู้ตนดีว่าจะต้องเป็นเครื่องสังเวยอย่างเต็มใจ พวกนางคิดว่าตนเป็นเจ้าสาวด้วยแผนการของเจ้าเมืองหลงอี้จิน ข้าคิดว่าท่านเจ้าเมืองน่าจะผู้ที่ต้องประสบกับเคราะห์กรรมมากที่สุด มากกว่าข้าเสียอีก”
“ข้าพูดถึงกรรมของท่านต่างหากเล่า ไม่ได้สนใจผู้อื่นเสียหน่อย วิบากกรรมท่านเจ้าเมืองก็เรื่องของท่านซี แล้วข้าว่าอีกไม่กี่ปี ประเดี๋ยวท่านก็คงจะแก่ตายแล้วกระมัง”
นางตอบแล้วลุกขึ้นเดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ พอได้พูดถึงท่านเจ้าเมืองผู้จับตัวนางมา อย่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย แต่เทพอู่เฉินยังนั่งอยู่ในห้องหนังสือเช่นเดิม ไม่ได้ตามนางไป
ก็คงจะสาแก่ใจนาง ผู้ทำให้บุรุษเทพปีศาจอู่เฉินเกิดสำนึกผิดขึ้นมา