เทพเจ้าสายน้ำแห่งทิศประจิมไม่เกี่ยงงานต้อนรับแขก แม้แหล่งน้ำโดยรอบซึ่งเคยปกคลุมด้วยไอเย็น ปรากฏเป็นกลุ่มไอสีดำอยู่สองชั่วยาม หมู่ปทุมมาลย์และเหล่ามัจฉากลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะนำมาประกอบอาหารคงไม่สะดวกนัก ข้ารับใช้ประจำเรือนต่างมีความเห็นว่าคงต้องไปใส่หม้อต้มตุ๋นรวมกันให้หมด จึงจะนำมารับประทานได้ ไม่สูญสิ้นชีวิตสัตว์ในเมืองเทพไปโดยเปล่าประโยชน์
“ข้าไม่เสียดายหมู่มัจฉาและบ่อบัวอันงดงาม ข้าเลี้ยงพวกมันให้เติบโตขึ้นใหม่ได้ เพียงแต่... เทพอู่เฉินอาจใจร้อนไปเสียหน่อย”
“ข้าขออภัยใต้เท้าจีกง อย่างไรเสียข้าจะจัดการทำความสะอาดเรือนของท่านให้เรียบร้อยสวยงามดังเดิม”
เทพอู่เฉินยกมือคารวะ รู้สึกตัวว่าเสียมารยาทกับเทพผู้มีอายุถึงหมื่นปี เขาไม่ควรทำตัวไร้เหตุและผล เฉกเช่นมารดาผู้ซึ่งเป็นปีศาจอย่างนางเฟยอี๋
ส่วนทางด้านพยัคฆ์อัคคีถูกมารดาตำหนิเพราะเป็นต้นเหตุให้ผู้อื่นวุ่นวายกันไปหมด มันหมอบลงบนพื้นข้างมารดาของมัน ยอมก้มศีรษะให้เทพเป็นครั้งแรก ทั้งที่เป็นปฏิปักษ์กันมาโดยตลอด
“พวกท่านมีเมตตาแม้กับศัตรู ข้าขอบใจ”
“ไม่เป็นไร ๆ หามิได้เลย เจ้าควรต้องขอบคุณเหล่าเทพเสียมากกว่าข้าที่มิได้ทำอะไร”
ใต้เท้าจีกงหัวเราะอย่างใจดี ในความเป็นจริงแล้วท่านเพียงมองการณ์ไกล หวังสงบศึกระหว่างเทพกับปีศาจ หากมารดาพยัคฆ์คาบข่าวเรื่องหยกพันปีไปบอกพรรคพวกเสียว่ามันไม่ได้อยู่ที่เกาะเทพอุดร เหล่าเทพยังต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อช่วยเหลือเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อย เทพอู่เฉินอาจไม่ต้องวุ่นวายกับงานสู้รบ
“เจ้าตัวเล็กอยากอยู่วิ่งเล่นในเรือนข้าไหมเล่า ท่านแม่ของเจ้าจะได้ไปจัดการธุระกงการเสียให้เรียบร้อย”
“ไม่... ข้าจะไปกับท่านแม่”
“เจ้าไม่ได้เป็นใบ้หรอกหรือ? ข้านึกว่าท่านแม่ของเจ้าไม่ได้สอนให้เจ้าพูดเสียอีก”
พยัคฆ์อัคคียังตัวเล็กนัก มันอ่อนต่อโลกเกินกว่าจะติดตามมารดาของมันไป และสัญชาตญาณของสัตว์อสูรเติบโตด้วยตัวของมันเอง
“ต่อแต่นี้ไป เจ้าต้องเอาตัวรอดด้วยตัวของเจ้าเอง ไม่มีแม่คอยคุ้มกันภัยอีก พวกเราเหล่าอสูรเป็นเช่นนี้ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ไร้ซึ่งความผูกพันใด ๆ ข้าลา...” พูดจบ ผู้เป็นแม่เพียงเดินไป ปล่อยลูกน้อยไว้ในเรือนใต้เท้าจีกง
มันไม่แม้แต่จะกอดลาลูกด้วยซ้ำ หันมาคำรามลั่นเมื่อบุตรชายวิ่งตามหลังมัน นั่นหมายความว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ตามไป มันจะถูกทิ้่งเอาไว้ที่นี่ หาใช่ว่ามารดาโกรธมันเพราะทำตัวซุกซน แต่นี่เป็นสัญชาติของอสูรและปีศาจ
พวกเขาเหล่านั้นต่างจากเทพโดยสิ้นเชิง
ในสายตาของเทพอู่เฉิน มารดาพยัคฆ์อัคคีไม่ต่างจากมารดาของเขาสักเท่าไร วันที่นางจากไปก็พูดเช่นนี้ ลาก่อนเจ้าลูกชาย เจ้าต้องอยู่ด้วยตัวของเจ้าเอง ถึงมารดาปีศาจจะไม่ได้ทิ้งเขาไปจริง ๆ นางยังคงเหลือเยื่อใยต่อเขาอยู่เสมอ กลายเป็นเขาและเหล่าเทพเสียอีก ไม่มีผู้ใดใคร่อยากจะพบนาง
“ข้าขอ ๆ!” เสียงแหบพร่าตะโกน อาเป้ยเดินกระย่องกระแย่งมาคว้าเจ้าตัวเล็กขึ้นอุ้ม มันพยายามดิ้นรนจากอ้อมแขนเล็ก ๆ ด้วยความโศกเศร้าอาลัยอยากตามมารดาของมันไป แม้รู้ดีว่าสี่เท้าที่เหยียบย่างไปพร้อมเปลวไฟสีน้ำเงินหมายความว่าคำไหนคำนั้น
“ข้าชอบเจ้าตัวเล็กนี่เหลือเกินใต้เท้า ข้าเกรงว่าเรือนท่านจะไม่มีสถานที่ดูแลสัตว์อสูร ท่านคงยุ่งวุ่นวายกับงานปลูกบัวปลูกต้นไม้เป็นแน่ ให้ข้าดูแลเจ้าพยัคฆ์น้อยเถิด”
“จริงอย่างที่เจ้าว่านะอาเป้ย ข้ามีธุระประปรังต้องจัดการมากมาย ทั้งเรื่องวุ่นวายบนโลกมนุษย์ก็ยังไม่ได้สะสาง”
มีผู้หนึ่งไม่เห็นด้วยกับนาง เทพอู่เฉินถอนหายใจออกมา “อาเป้ย... ไยเจ้าแสนดันทุรังไม่รู้จักเจียมสังขาร สภาพของเจ้าตอนนี้ยิ่งเสียกว่ามนุษย์ใกล้ตาย เจ้าควรรักษาตนให้รอดก่อน”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าเดินไหวแล้วเห็นไหมเล่า?”
ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ริมฝีปากสั่นระริกของนาง เปล่งเสียงออกมาแต่ละคำแผ่วเบาราวกระซิบ ทำให้เทพอู่เฉินพยายามยื้อแย่งเจ้าพยัคฆาน้อยจากนาง แต่นางกลับไม่ยอมอ่อนข้อต่ออีกฝ่าย สะบัดชายอาภรณ์รัดเจ้าตัวเล็กไว้กับมือของนางด้วยเชือกสีเหลืองทอง
“อาเป้ย! เจ้ายังไม่หายดีห้ามใช้เวทเซียนโดยเด็ดขาด”
“ก็ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าขอเจ้านี่ ท่านไม่มีสิทธิ์มาแย่งชิงพยัคฆ์อัคคีไปจากข้า ข้าพบมันก่อนท่าน ครานี้ข้าจะชักดาบออกจากฝักมาต่อสู้กับท่านแน่...”
“อาเป้ย...”
ในน้ำเสียงเคร่งขรึมปราม ทั้งสีหน้าท่าทางเทพอู่เฉิน ผู้ใดมองก็รู้ว่ากำลังหวงแหนนางแม้กระทั่งกับอสูร แต่พอถูกทำหน้าตาเกรี้ยวกราดใส่ ประหนึ่งว่าพร้อมประกาศตัวเป็นศัตรู กลับไม่กล้าขัดใจนาง
“ข้าจะตามใจเจ้าสักครั้ง แต่อย่าให้มีปัญหามาถึงข้า มิฉะนั้นข้าจะขังทั้งเจ้า ทั้งอสูรกำพร้านี่เอาไว้ไม่ให้เห็นแม้แสงตะวันทีเดียว”
อาเป้ยวางพยัคฆ์อัคคีเอาไว้บนพื้นไม้กลางห้องพัก นั่งยองลงพูดกับมันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและให้เหตุผล ด้วยลักษณะนิสัยของนางมักพูดจาด้วยเหตุผลเสมอ เจ้าตัวเล็กจึงยอมฟังนาง บอกกับมันว่าถึงเวลาเติบใหญ่เมื่อใดค่อยไปก็ย่อมได้ มันคงไม่มีทางเลือกนักหากออกไปเผชิญเทวโลกเพียงลำพัง มารดาของมันเป็นอสูรสร้างศัตรูไว้มาก ตัวมันมีแต่ตายกับตาย มันจำเป็นต้องอยู่กับนางก่อน เพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตและเอาตัวรอด
นางทิ้งตัวลงนอนได้สักพักหนึ่ง ลืมตาตื่นแล้วจึงลุกขึ้นจากที่นอน ชะโงกคอมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นเหล่าเทพกำลังช่วยกันซ่อมแซมเรือนใต้เท้าจีกงให้กลับมางดงาม บ่าวเทพงูของเทพอู่เฉินตามมาสมทบ เหล่าเทพแห่งสายน้ำช่วยกันใช้เวทเซียนฟื้นฟูบ่อบัว สำเร็จไปเกินกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
กำไลบนข้อมือนางยังถูกทำให้กลายเป็นกำไลหยินหยาง มีทั้งลูกประคำสีดำและสีขาวสลับกันไปตอนไหนไม่รู้ได้
อาเป้ยคงไม่ได้โกรธอะไรเทพผู้แสนดีต่อนางถึงเพียงนี้ แต่ปากว่านินทาเป็นปกตินาง
“เป็นเทพประสาอะไร กิริยามารยาทก็ไม่ดี มาว่าผู้อื่นกำพร้า ข้าเองก็กำพร้าพ่อ ข้าอยู่เป็นข้ารับใช้นักพรตมาทั้งชีวิต เจ้ารู้ไหม?”
พยัคฆ์อัคคีนอนนิ่งบนพื้นไม้ นางมองมันทำหน้าตาเอื่อยเฉื่อย เผลอคิดอยู่ว่านางทำให้มันสะดวกสบายจนเคยตัวไปหรือเปล่า
“ข้าหายดีเมื่อใด เจ้าต้องดูแลตัวเอง ข้าจะไม่หาอาหารให้เจ้าทุกมื้อหรอกนะเจ้าพยัคฆ์ เจ้าชื่ออะไรล่ะ?”
พยัคฆ์อัคคีไม่ตอบนาง มันกำลังเศร้าหมองจึงมีเปลวไฟสีน้ำเงินห่อหุ้มอยู่ตลอด หน้าตาของมันบอกว่าไม่อยากรับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น
“ตัวเจ้าสว่างไสวดีนัก ซ้ำร้ายวีรกรรมของเจ้าคือพังบ่อบัวเสียราบคาบ เจ้าดอกบัว **ข้าจะเรียกเจ้าว่าเหลียนเหลียนก็แล้วกัน ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอกชื่อข้า เชิญพักผ่อนตามสบายนะเจ้าเหลียนเหลียน”
อาเป้ยเห็นว่าเจ้าตัวเล็กไม่ยอมคุยกับนาง จึงเดินออกไปรับอากาศเสียบ้าง แต่ไม่ทันจะได้ออกไปไหนไกล นางเดินไปเพียงหน้าประตูห้อง ประจวบเหมาะพอดีกับที่ภริยาของใต้เท้าจีกงนำเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้นาง ต้องกลับเข้าห้องมาเสียก่อน
**********“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ข้านำเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามมาให้เจ้าหลายชิ้น” นางฟางเหนียงยกมือปรามอาเป้ยไม่ให้ยกมือคารวะก้มศีรษะ หันไปบอกสตรีให้ส่งของเหล่านั้นให้นาง
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า ทั้งหมดนี่เป็นของเทพอู่เฉินนำไข่มุกทะเลทักษิณมาแลกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เจ้า”
“ข้ารู้สึกไม่เหมาะสมกับสมบัติสวยงามของท่าน ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
“ดีแล้ว เพราะว่าเจ้าควรรับเอาไว้ ข้าได้ยินว่าเจ้าเกือบตายเพราะเทพอู่เฉินคาบเจ้าขึ้นมาจากโลกมนุษย์ วิสัยท่านไม่สนใจไยดีผู้ใด ท่านคงอยากไถ่โทษด้วยการตอบแทนเจ้ากระมัง”
มารดาแห่งสายน้ำพูดพลางสะบัดมือ เปลี่ยนชุดสีสันสดใสให้กับอาเป้ย ทั้งสีฟ้าครามสดสวย สีเขียวมรกตดังสายน้ำในภพภูมิบาดาล เสื้อผ้าอาภรณ์คล้ายคลึงกับผู้คนที่นี่ รวบถักเปียและปิ่นปักผมมุกทะเลลึกให้นางด้วยแววตาเอ็นดู ราวกับว่านางเป็นบุตรสาว แต่แล้วก็เปลี่ยนกลับเป็นชุดสีดำให้นางดังเดิม
“เจ้ามีใบหน้าหมดจดงดงาม มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อาเป้ย น่าเสียดายสำหรับข้าผู้ยังไม่มีสะใภ้สักคน เพราะเจ้าดันเป็นสมบัติของเทพอู่เฉิน...”
อาเป้ยถึงมีปัญญาฉลาดหลักแหลมเท่าไร คงไม่เข้าใจความหมายเรื่องสมบัติของเทพ นางยังสงสัยว่าเทพฟางเหนียงนำเสื้อผ้าสวยงามมาตั้งมากมาย เหตุใดท่านกลับส่งอาภรณ์และเครื่องประดับสีดำให้นางสวม ยังบอกกับนางว่านางเหมาะสมกับสีดำเพียงเท่านั้น