***อาเป้ย...
****ǎobèi (เป่าเป้ย)
ลูกรัก ที่รัก...
ชื่อของนางคงมีรากฐานมาจากคำในความหมายว่านางคือผู้เป็นที่รักต่อทุกสรรพสิ่ง
เทพอู่เฉินมองเห็นความไม่น่าไว้วางใจของเทพเฟยหลิงและเทพฟางหรง เทพเจ้าแห่งสายน้ำทั้งผู้พี่ผู้น้องอาจไม่ได้พบเจอสตรีในเทวโลกบ่อยนัก ถึงได้ทำตัวเป็นบุรุษเทพเจ้าชู้ชีกอ เล่นหูเล่นตากับนาง แต่นางก็หาได้รู้สึกตัวไม่
อาเป้ยไม่มีจริตมารยาเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำไป ไม่ว่านางจะอ้าปากพูดจาห้าวหาญ กระโจนกายขึ้นเวหาด้วยกำลังภายในหรือนางจะทำอะไร ท่วงท่าสง่างามแข็งแรงเหล่านั้นเฉกเช่นบุรุษนักปราชญ์ อย่างที่นางว่าประพฤติตนเป็นบุรุษมาทั้งชีวิต
เทพอู่เฉินทราบดีทุกเรื่องในระหว่างจำศีล ราวสองตาเห็นโดยแจ่มแจ้ง! จึงไม่ใคร่พอใจนัก เมื่อเหยียบย่างลงบนไอน้ำสีขาวด้วยเท้าทั้งสี่ จำแลงกายกลับร่างเดิมในอาภรณ์สีดำ พร้อมกับมนุษย์และสัตว์อสูร มาถึงไล่เลียกันกับบุตรชายของเทพเจ้าแห่งสายน้ำซึ่งเดินทางมาทางน้ำ ทั้งสองรีบปรี่เข้ามาหานาง
“บัวสีทองมีไม่มาก เบ่งบานเพียงปีละครั้ง ข้าจะลองเข้าไปถามท่านพ่อดู” เทพเฟยหลิงอาสาเป็นธุระให้นางอย่างเต็มใจ อาจเป็นเพราะได้ประลองฝีมือหมากเซี่ยงฉี พูดคุยกันหลายวันจนรู้สึกสนิทสนม
นางยกมือคารวะเทพแห่งสายน้ำเพื่อขอความช่วยเหลือ รบกวนเป็นธุระให้นางด้วย
หากไม่เป็นเพราะว่านางเป็นคนเอ่ยปาก สถานที่แห่งนี้ไม่ต้อนรับอสูร ปีศาจตนไหนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบแม้กระทั่งพื้นหินดินทรายในเขตของใต้เท้าจีกง
แต่คงจะต้องละเว้นเอาไว้หนึ่งซึ่งเป็นเพียงครึ่งปีศาจ หน้าตาดูเกรี้ยวกราดตลอดเวลา เทพอู่เฉินเห็นอยู่ว่าบุรุษเทพทั้งสองลอบยิ้มกรุ้มกริ่มให้นาง
“สำรวมกิริยาเสียบ้างนะอาเป้ย ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจไม่ช่วยเจ้าอสูรตนนี้”
อาเป้ยมีสีหน้างุนงง นางไม่ทราบว่าเทพอู่เฉินพูดถึงเรื่องอะไร นางเดินตามเข้าไปในเรือนกว้าง ข้างใต้เรือนล้อมรอบด้วยลำน้ำที่มีไอควันสีขาวลอยไปทั่ว
ใต้เท้าจีกงได้รับสารจากบุตรชายมาก่อนหน้านี้ จึงเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี
“ข้าไม่อยากจะมีปัญหาสักเท่าไร ด้วยเหตุว่าหากข้าได้ให้ความช่วยเหลือปีศาจสักตนหนึ่ง อีกมากมายก็จะตามมาขอให้ข้าเป็นธุระช่วยเหลือบ้าง”
“ข้าขออภัยเถิดใต้เท้า อาจารย์ข้าเคยได้เปรยคำหนึ่งกับข้าว่า ‘เมตตาธรรมค้ำจุนโลก’ พระโพธิสัตว์ยังหาได้ย่อท้อ ถดถอยต่องานช่วยเหลือทุกสรรพสิ่งแม้สักชีวิตหนึ่งเลย ข้ามีความเห็นว่าความเสียสละอันยิ่งใหญ่นี้ คงเป็นเช่นเดียวกับผู้มีเมตตาเยี่ยงเทพ ย่อมยินดีช่วยเหลือผู้เดือดร้อนอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง”
ใต้เท้าจีกงหัวเราะเสียงดัง เมื่อสตรีนางหนึ่งแย่งเทพอู่เฉินพูดด้วยกลัวว่าท่านจะเปลี่ยนใจไม่ช่วยเหลือพยัคฆ์อัคคี จนทุกคนมีสีหน้างุนงงไปเสียหมด
“แต่ข้าหาใช่พระโพธิสัตว์ไม่ ข้ามิบังอาจเทียบเท่าท่านได้ อืม... ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าจากตาเฒ่าฮุ่ยหมิงมามาก อาเป้ย”
“ใต้เท้ารู้จักอาจารย์ข้าด้วยหรือ?”
อาเป้ยท่าทางดีใจ เมื่อใต้เท้าจีกงก้มหน้าลงมองสตรีตัวเล็กเพียงระดับบ่าของเหล่าบุรุษด้วยแววตาเอ็นดู นึกถึงสหายเก่าขึ้นมา
“เจ้าฮุ่ยหมิงน่ะ รู้จักกับข้าเป็นอย่างดี เทพเซียนนักพรตผู้แก่กล้าวิชา เคยข้ามมายังเทวโลกเพื่อบำเพ็ญเพียรจนบรรลุถึงนิพพาน ถึงมนุษย์จะไม่มีใครชอบตาเฒ่านักเพราะชอบจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้าน”
เมตตาธรรมค้ำจุนโลกอย่างที่ว่า เซียนฮุ่ยหมิงจึงถูกเรียกว่าหลวงจีนนอกรีบ้าง ตาเฒ่าบ้าง อีกสารพัดฉายาเพราะดันชื่นชอบการความดีเกินตัวไปสักหน่อย
ใต้เท้าจีกงยอมโอนอ่อนตามนางเพราะเป็นศิษย์ของสหาย
“เอาเถิด... ข้าเห็นแก่เรื่องเมตตาธรรมค้ำจุนโลกอะไรนั่น และเพื่อช่วยชีวิตเจ้าพยัคฆาตัวน้อย ข้าคงมิอาจห้าม แต่พวกท่านจะต้องลงมือเอง”
ปลายเสียงหนักแน่นบอก นัยน์ตาสีมรกตงดงามของเทพเจ้าแห่งสายน้ำฉายประกายมาดมั่น วาดฝ่ามือไปทางบ่อบัวไม่ไกลจากด้านหน้าเรือนไม้กว้างขวางของท่านมากนัก
“จากตรงนี้ มองตรงไป ดอกบัวสีทองเบ่งบานอยู่กลางเกาะน้ำ จะเดินไปไม่ได้ ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามไปก็มิได้เช่นกัน”
“ประการแรก... ฝูงปลาเหล่านี้ก้าวร้าวดุดัน กินทุกสิ่งเป็นอาหารแม้แต่เทพหรือปีศาจก็ไม่เว้น ประการที่สอง... เพียงฝ่าเท้าแตะลงบนพื้นน้ำหรือกระโดดข้ามอากาศก็ตาม จะถูกแรงลมมหาศาลดูดลงไปในค่ายกลทันที ซึ่งข้าเกรงว่าค่ายกลนี้จะไม่มีทางออก ต่อให้มี ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจะออกมาเยี่ยงไร ไม่เคยมีใครเคยตกลงไปในค่ายกลเทพแห่งสายน้ำแห่งนี้แม้แต่ตัวข้าเอง”
ปัญหาใหญ่ทว่าหากชักช้าไปจะไม่ทันการ พยัคฆ์อัคคียอมปล่อยลูกของตนออกจากหน้าท้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อย
กายพยัคฆ์ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคีครึ่งหนึ่งถูกพิษสีเขียว หนอนพิษชอนไชจนเห็นกระดูก นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมันเอ่อคลอหยดน้ำใส ทว่ามันไม่แม้จะส่งเสียงร้องออกมา
เหล่าเทพถึงจะไม่ชอบสัตว์อสูรสักเท่าไร ก็อดไม่ได้ที่จะสงสารเวทนาเจ้าพยัคฆ์ตัวกระจ้อยร่อย
“ตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าสัตว์อสูรจำพวกพยัคฆาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด นิสัยของท่านช่างคล้ายคลึงกับตัวข้านัก...”
“ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”
เทพอู่เฉินเอ่ยขึ้น ชิงลงมือนำหน้า วาดวงเวทสีดำเสกสายน้ำเป็นระลอกคลื่น ดึงแผ่นน้ำขึ้นสูงเพื่อจัดการกับมัจฉาก้าวร้าวให้ขาดอากาศหายใจไปเสีย ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักน้อย
ใต้เท้าจีกงรีบปราม “ระวังด้วยเทพอู่เฉิน ดอกบัวสีทองจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงรากไม่ได้เป็นอันขาด จะแห้งตายในทันที”
“ข้าว่าไม่ง่าย... ต้องร่วมใจเป็นหนึ่ง”
อาเป้ยสะบัดปลายเท้า กระโดดข้ามอากาศไปยืนถัดจากเทพอู่เฉินในระยะห่างพอสมควร เพื่อมองทิศทางน้ำในอีกด้านหนึ่ง เทพแห่งสายน้ำทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน รีบไปยืนคนละทิศ ทั้งสี่มุมสระบัว ประสานสายตาเข้าหากันโดยรอบบริเวณ
ทั้งสามบุรุษเทพและหนึ่งเซียนหญิง วาดวรยุทธ์คนละสายวิชา ช่วยกันโจมตีมัจฉาดุร้าย ซึ่งปรากฏตัวออกมามากมาย นับได้เป็นร้อย ๆ ตัว
ฟันแหลมคมไล่กัดน้ำอย่างบ้าคลั่ง พวกมันพยายามปกป้องดอกบัวสีทองไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ได้แม้สักน้อย ต่อให้เป็นสายน้ำที่มันอยู่อาศัย สาดกระเซ็นออกเป็นสาย กลายเป็นหยดหย่อม คมกริบราวใบมีด
พวกมันพร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องดอกบัวสีทอง
ชลธารอันเงียบสงบซึ่งถูกบังคับจากบุคคลภายนอก ผู้ใช้พลังภายในดันสายน้ำให้กลายเป็นใบมีด เหล่ามัจฉาเริ่มล่วงรู้ว่ามีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสีส้มนับหลายสิบตัวและสีขาวอีกจำนวนมากจึงกระโดดออกมานอกอาณาเขตเพื่อโจมตี แต่พอออกมานอกสระบัวก็ถูกสังหารด้วยน้ำรูปทรงแหลมทะลวงเข้ากลางลำตัว
ศพมัจฉาเกลื่อนกลาด ทว่าสังหารไปสักเท่าไร ก็ยิ่งงอกเงยออกมาใหม่ หากนำมาประกอบอาหารอาจเลี้ยงใหญ่ได้ทั้งเกาะเทพทีเดียว
“นาน ๆ ครั้งเรือนข้าจะครึกครื้นเอิกเกริก เต็มไปด้วยเทพเซียนเยี่ยงนี้ ดี ๆ ข้าชื่นชมพวกท่าน วิทยายุทธ์เป็นเลิศ นับเป็นบุญตาของข้ายิ่งนัก”
ใต้เท้าจีกงยืนหัวเราะชอบใจ ชื่นชมอยู่ข้างหลัง เคียงข้างภริยาของท่าน
แม้นบ่อน้ำกำลังจะไร้เหล่ามัจฉา ยังเหลือค่ายกลอีก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่
เทพอู่เฉินเร่งทำเวลา ลงมืออย่างระวัง ใช้ช่องว่างของหมู่ปลาแทรกเข้าไปตัดเฉือนรากบัวแข็งแกร่ง
อาเป้ยคาดการณ์ว่าเทพสักคนหนึ่งคงสามารถนำดอกบัวออกมาจากบ่อพร้อมกับสายน้ำ หล่อเลี้ยงดอกบัวสีทองไว้ไม่ให้มันตาย
ปัญหาอยู่ที่ตัดรากบัวสักกี่ครั้ง กลับประสานเข้าด้วยกันเช่นเดิม
“รากบัวสีทองหยั่งลึกลงไปถึงค่ายกล สายน้ำเกรี้ยวกราดไม่ให้ความร่วมมือ”
อาเป้ยได้ยินเทพอู่เฉินพูดดังนั้นก็ใจเสีย นางหันไปมองลมหายใจรวยรินของพยัคฆ์ตัวน้อย ตัดสินใจใช้อาวุธชิ้นสุดท้ายของอาจารย์ฮุ่ยหมิงซึ่งนางได้แอบนำติดตัวมาด้วยตอนลงเรือ แอบซ่อนเอาไว้บนข้อมือนางเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง
นางพลิกฝ่ามือและปลายนิ้วทั้งสอง หมุนตัวครั้งหนึ่งเพื่อปลดลูกประคำสีน้ำขาวราวมุกสว่างใสออกจากข้อมือ ด้วยท่วงท่าสง่างามราวการร่ายรำของนกกระเรียน คุกเข่าข้างหนึ่งลงแตะพื้น วาดฝ่าเท้าตีลังกา ซัดพาคลื่นน้ำระลอกใหญ่ไปพร้อมลูกประคำ
ลูกประคำใหญ่โตโอฬารสลักด้วยอักษรสีทอง เทียบเท่าครึ่งหนึ่งของร่างเทพอู่เฉิน มุ่งตรงไปทุบค่ายกลใต้น้ำนั้น อย่างระวังไม่ให้ถูกดอกบัวสีทอง
ทันใดนั้นเอง... ความเจ็บปวดราวราวถูกเข็มสักล้านเล่มทิ่มแทงแล่นขึ้นปักอกนาง ทรุดลงไปกองกับพื้น!
“อาเป้ย...!”
เทพแห่งสายน้ำผู้พี่ปรี่เข้ามาประคองร่างบาง กระชับนางไว้ในอ้อมแขน นางไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้อีก สายโลหิตไหลทะลักออกจากริมฝีปากนางราวสายน้ำ
“ลูกประคำหยางของตาเฒ่าฮุ่ยหมิง ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะใช้ได้ในร่างนี้ เจ้าเป็นสมบัติของเทพอู่เฉินผู้มีพลังด้านหยิน พลังของท่านส่วนใหญ่แล้วเป็นพลังแห่งการทำลายล้างเช่นพลังของนางเฟยอี๋ เจ้าจะต้องใช้พลังร่วมกัน พร้อมกัน ทั้งหยินและหยาง เพื่อรักษาสมดุลในกาย”
“กายเทพมิใช่ถาวรยั่งยืน แม้นเป็นอมตะ ก็ดับสิ้นลงได้เช่นกัน”
ใต้เท้าจีกงลูบเคราหงอกขาว ยืนชมเหล่าเซียนวาดวิชา ชิงดอกบัวสีทองอย่างตั้งใจ ไม่สนใจนางด้วยซ้ำ ยังส่งเสียงหัวเราะคล้ายเสียงของอาจารย์ฮุ่ยหมิง
“ท่าน... อาจารย์”
“ใช่ที่ไหนกันเล่าอาเป้ย ข้าใต้เท้าจีกง แต่เสียงคลับคล้ายคลับคลาใช่ไหม?”
ก็ไม่แปลกว่าทำไมถึงเป็นมิตรสหายกันได้ ทั้งที่ไม่มีใครอยากคบหานักพรตนอกรีด
อาเป้ยไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนหากว่าใต้เท้าจีกงไม่บอกนาง!
ธาตุหยินหยางในร่างกายต่อต้านกันเกินกว่าร่างบอบบางของนางจะรับไหว ยิ่งธาตุหลักในร่างของนางบัดนี้ ต้นกำเนิดมาจากปีศาจผู้ทรงพลังมาก อาจถึงขั้นทำลายเทวโลกราบคาบได้ทั้งชั้น นางจึงหมดสติไปในอ้อมแขนของเทพแห่งสายน้ำ
หากทว่า... สายตาอีกคู่หนึ่งนั้นทอประกายกร้าว ไม่เหลียวคอมองทั้งสอง เพ่งสติอยู่กับการดึงดอกบัวสีทองออกมาให้จงได้
เทพอู่เฉินวาดวงเวทสีดำขนาดใหญ่ หลายเท่าตัวของลูกประคำหยาง อาวุธเวทของนักพรตระดับปรมาจารย์ ไม่อาจเทียบเท่าเทพผู้มีพลังปีศาจเต็มกายยามบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า
บรุษรูปงามกลายร่างเป็นปีศาจอสรพิษกายายิ่งใหญ่โอฬาร เอ่ยวาจาบันดาลโทสะเสียงดังคับฟ้า
“ปล่อยมือจากนางเสียเทพเฟยหลิง นางมิใช่ธุระกงการอะไรของท่าน นางเป็นสมบัติของข้า!”
------------------------------
อยากให้ลองติดตามกันไปนาาา ตอนนี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเขียน คือเขียนไปก็รู้สึกว่าสนุก ตัวละครมีมิติ มีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ แม้แต่ที่พระเอกหวงนาง ล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ก็ค่อยๆ คลายไปเรื่อย ๆ ทั้งความเป็นเทพ เป็นปีศาจ จะทำให้พระเอกสับสนในชีวิต ต้องผ่านอะไรๆ ที่เป็นบททดสอบครั้งสำคัญ แวะมาให้กำลังใจกันได้นะจ้าา เล่มนี้ไรท์ตั้งใจมากก
ขอบคุณที่เข้ามาให้กำลังใจกันนะจ้าา