3-3 *******เทพผู้แสวงหาความสงบ

863 Words
แสงแดดและสายลมพัดอ่อนให้ความรู้สึกสงบร่มเย็น อาเป้ยเงยหน้าขึ้นมองดอกเหมยร่วงหล่นลงจากต้นสูงใหญ่ แผ่ฝ่ามือออกรับกลีบดอกไม้สีชมพูอันให้ความรู้สึกนุ่มนวล ชื่นชมมันด้วยสีหน้าผ่อนคลาย นางลืมตาตื่นแต่เช้ามืดหลังผล็อยหลับไปทั้งที่จะไม่นอนก็ได้ นางไม่รู้สึกง่วงนอนหากไม่ออกแรงทำอะไรให้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท้องไม่หิวเหมือนกระเพาะถมไม่เต็ม รับประทานผลไม้ อาหารในเทวโลกเข้าไปเพียงย่อยสลายหายไปเสียเฉย ๆ เมื่อเช้านี้นางสะบัดมือเบา ๆ ใช้เวทเซียนในการเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดแจงทรงผมให้สวยงาม ติดเครื่องประดับเป็นช่อดอกไม้สีขาวเล็กจิ๋วซึ่งเบ่งบานอยู่เป็นกลุ่มบนศีรษะของนางอย่างงดงาม มอบรางวัลให้กับตนเอง นางไม่มีโอกาสใช้วิชาเซียนบ่อยนักหากไม่ใช่เวลาฝึกในช่วงกลางคืน เพราะต้องทำทุกอย่างด้วยสองมือเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพื่อปกปิดสถานะของตนเอาไว้ ตั้งแต่ขึ้นเมืองเทพมานางแค่กะพริบตาก็สั่งได้สมใจ ได้เป็นตัวของตัวเอง เวทอะไรที่ว่ายาก เวลานี้ราวกับว่านางเป็นผู้มีพลังขึ้นมาในระดับเทพเซียนซึ่งได้รับพลังจากเทพบนสวรรค์ ผู้คนที่นี่ยังไม่มีใครนับว่านางเป็นภริยาท่านอู่เฉิน ก็เท่ากับว่านางมิได้ออกเรือน นางเป็นเครื่องสังเวยผู้รอดชีวิต ดวงวิญญาณประเภทหนึ่งบนเทวโลก ดีเสียจริง! โชคชะตาฟ้าเข้าข้าง ใจดีกับนาง ได้เที่ยวเล่นแล้วยังไม่ต้องมาปรนนิบัติสามี นางได้รับอิสรภาพอย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นสิ่งที่นางถวิลหามาตลอดลมหายใจของนาง ซื่อหยูอี้ ข้ารับใช้คนสนิทของเทพอู่เฉิน ส่งเสื้อผ้าอาภรณ์สีดำให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตอนนี้กลับมองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ อะไรทำให้นางใจเย็นถึงเพียงนี้ “ท่านอู่เฉินไม่ได้ห้ามเจ้าไม่ให้ออกมา แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะได้รับอันตรายเมื่อศัตรูมาเยือน” “ข้ารึ? ท่านพูดกับข้ารึ” นางหันไปถาม แต่ไม่ยอมให้เขาตอบ โบกมือไปมา “คิดมากน่า... ท่านซื่อหยูอี้ก็... เรือนอันสวยงามของเทพอู่เฉินออกจะเงียบสงบเท่านี้ ศัตรูที่ไหนจะมา ข้าว่าไม่มี...” ตูม! พื้นหินซึ่งเรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นทางเดินเข้าบ้าน ด้านหน้าเรือนไม้เกิดหลุมขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตบางอย่างหล่นลงมาจากฟากฟ้าอย่างแรง อาเป้ยกระโดดหลบอย่างทันท่วงที แตะปลายเท้ายืนบนสะพานไม้ ทางด้านหนุ่มร่างอ้อนแอ้นเหยียบพื้นที่พังราบยืนในฝั่งตรงกันข้ามกับนาง ด้วยใบหน้าซีดเผือด เมื่อก้มหน้าลงมองพื้นอันสวยงามของเทพอู่เฉินถูกทำลายไม่มีชิ้นดี ก็เข้าห้ำหั่นกับพลธนูในร่างยักษา “พวกเจ้า! บังอาจนัก” ไม่ทันไร เซียวอี้หรูตามมาสบทบพอดี สองพี่น้องงูขาวและงูเขียวเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างมากด้วยความโมโหที่ตนรักษาคำพูดเอาไว้ไม่ได้ แต่อาเป้ยหันไปทางสัตว์อสูรหนึ่งตน... พยัคฆาสีขาวร่างกายห่อหุ้มด้วยลูกไฟ มองหน้านางอย่างหยิ่งผยอง เขี้ยวแหลมคมยาวยื่นออกมาพ้นปาก ขูดไปกับพื้นจนเป็นรอย กำลังย่างกรายเข้ามาหานาง อาเป้ยประหลาดใจและตื่นเต้นเสียมากกว่าที่นางจะหวาดกลัว นางไม่รู้สึกเกรงกลัวมันเลยต่างหาก “พยัคฆาอัคคี... ข้าเคยอ่านจากตำราเล่มหนึ่งว่าท่านกินเนื้อมนุษย์ด้วย อย่ากินข้าเลยนะ ข้าไม่อร่อยแน่นอน หากว่าท่านไม่เชื่อ ลองถามท่านอู่เฉินได้ ข้าอยู่ในปากงูมาก่อน เห็นว่าข้าจะไม่อร่อยจริง ๆ” “เจ้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปเมื่อมาเยือนเทวโลก กายของเจ้าคือสมบัติของเทพอู่เฉิน แต่ข้าไม่สนใจเจ้า ข้าต้องการหยกพันปี” “ท่านต้องการหยกพันปีไปเพื่อการใด?” “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” “มันต้องเป็นเรื่องของข้าซี ข้าเป็นผู้พักอาศัย จะให้ข้ากิน ๆ นอน ๆ อยู่เฉย ๆ ทำตัวเปล่าประโยชน์ ****ได้ยังไง แล้วข้าเห็นว่าท่านดูจะเป็นอสูรที่พูดจารู้เรื่อง ท่านลองตรึกตรองดูว่าเราควรพูดคุยกัน หรือจะสู้กันเสียให้หมดแรงทั้งสองฝ่าย” “เจ้า! บังอาจบุกรุกทำลายอาณาจักรเทพ” กลายเป็นเทพที่พูดจาไม่รู้เรื่อง งูเขียวคนพี่ดึงกระบี่ออกจากคมฝักแล้วเข้าต่อสู้ บ่าวลูกสมุนอีกห้านายเป็นงูออกมาปกป้องเรือน ด้วยวิสัยของปีศาจพอได้กางกรงเล็บก็คงจะไม่ฟังนางอีกต่อไป ต่างฝ่ายเข้าห้ำหั่นกันด้วยความโกรธแค้น ฝ่ายหนึ่งอยากได้หยกพันปี อีกฝ่ายหนึ่งปกป้องที่พักอาศัยด้วยการทำลายมันเสีย ส่วนตัวนาง... ไม่เอาด้วยดีกว่า นางขี้เกียจฟาดฟันกับใคร “เชิญท่านทั้งหลายตามสบาย ข้าไปก่อนล่ะ สู้กันให้หมดเรี่ยวแรง ฆ่าให้เกลี้ยงนะ ****”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD