แสงแดดและสายลมพัดอ่อนให้ความรู้สึกสงบร่มเย็น อาเป้ยเงยหน้าขึ้นมองดอกเหมยร่วงหล่นลงจากต้นสูงใหญ่ แผ่ฝ่ามือออกรับกลีบดอกไม้สีชมพูอันให้ความรู้สึกนุ่มนวล ชื่นชมมันด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
นางลืมตาตื่นแต่เช้ามืดหลังผล็อยหลับไปทั้งที่จะไม่นอนก็ได้ นางไม่รู้สึกง่วงนอนหากไม่ออกแรงทำอะไรให้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท้องไม่หิวเหมือนกระเพาะถมไม่เต็ม รับประทานผลไม้ อาหารในเทวโลกเข้าไปเพียงย่อยสลายหายไปเสียเฉย ๆ
เมื่อเช้านี้นางสะบัดมือเบา ๆ ใช้เวทเซียนในการเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดแจงทรงผมให้สวยงาม ติดเครื่องประดับเป็นช่อดอกไม้สีขาวเล็กจิ๋วซึ่งเบ่งบานอยู่เป็นกลุ่มบนศีรษะของนางอย่างงดงาม มอบรางวัลให้กับตนเอง
นางไม่มีโอกาสใช้วิชาเซียนบ่อยนักหากไม่ใช่เวลาฝึกในช่วงกลางคืน เพราะต้องทำทุกอย่างด้วยสองมือเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพื่อปกปิดสถานะของตนเอาไว้
ตั้งแต่ขึ้นเมืองเทพมานางแค่กะพริบตาก็สั่งได้สมใจ ได้เป็นตัวของตัวเอง เวทอะไรที่ว่ายาก เวลานี้ราวกับว่านางเป็นผู้มีพลังขึ้นมาในระดับเทพเซียนซึ่งได้รับพลังจากเทพบนสวรรค์
ผู้คนที่นี่ยังไม่มีใครนับว่านางเป็นภริยาท่านอู่เฉิน ก็เท่ากับว่านางมิได้ออกเรือน นางเป็นเครื่องสังเวยผู้รอดชีวิต ดวงวิญญาณประเภทหนึ่งบนเทวโลก
ดีเสียจริง! โชคชะตาฟ้าเข้าข้าง ใจดีกับนาง ได้เที่ยวเล่นแล้วยังไม่ต้องมาปรนนิบัติสามี นางได้รับอิสรภาพอย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นสิ่งที่นางถวิลหามาตลอดลมหายใจของนาง
ซื่อหยูอี้ ข้ารับใช้คนสนิทของเทพอู่เฉิน ส่งเสื้อผ้าอาภรณ์สีดำให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตอนนี้กลับมองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ อะไรทำให้นางใจเย็นถึงเพียงนี้
“ท่านอู่เฉินไม่ได้ห้ามเจ้าไม่ให้ออกมา แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะได้รับอันตรายเมื่อศัตรูมาเยือน”
“ข้ารึ? ท่านพูดกับข้ารึ” นางหันไปถาม แต่ไม่ยอมให้เขาตอบ โบกมือไปมา “คิดมากน่า... ท่านซื่อหยูอี้ก็... เรือนอันสวยงามของเทพอู่เฉินออกจะเงียบสงบเท่านี้ ศัตรูที่ไหนจะมา ข้าว่าไม่มี...”
ตูม!
พื้นหินซึ่งเรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นทางเดินเข้าบ้าน ด้านหน้าเรือนไม้เกิดหลุมขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตบางอย่างหล่นลงมาจากฟากฟ้าอย่างแรง อาเป้ยกระโดดหลบอย่างทันท่วงที แตะปลายเท้ายืนบนสะพานไม้
ทางด้านหนุ่มร่างอ้อนแอ้นเหยียบพื้นที่พังราบยืนในฝั่งตรงกันข้ามกับนาง ด้วยใบหน้าซีดเผือด เมื่อก้มหน้าลงมองพื้นอันสวยงามของเทพอู่เฉินถูกทำลายไม่มีชิ้นดี ก็เข้าห้ำหั่นกับพลธนูในร่างยักษา
“พวกเจ้า! บังอาจนัก”
ไม่ทันไร เซียวอี้หรูตามมาสบทบพอดี สองพี่น้องงูขาวและงูเขียวเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างมากด้วยความโมโหที่ตนรักษาคำพูดเอาไว้ไม่ได้ แต่อาเป้ยหันไปทางสัตว์อสูรหนึ่งตน...
พยัคฆาสีขาวร่างกายห่อหุ้มด้วยลูกไฟ มองหน้านางอย่างหยิ่งผยอง เขี้ยวแหลมคมยาวยื่นออกมาพ้นปาก ขูดไปกับพื้นจนเป็นรอย กำลังย่างกรายเข้ามาหานาง อาเป้ยประหลาดใจและตื่นเต้นเสียมากกว่าที่นางจะหวาดกลัว นางไม่รู้สึกเกรงกลัวมันเลยต่างหาก
“พยัคฆาอัคคี... ข้าเคยอ่านจากตำราเล่มหนึ่งว่าท่านกินเนื้อมนุษย์ด้วย อย่ากินข้าเลยนะ ข้าไม่อร่อยแน่นอน หากว่าท่านไม่เชื่อ ลองถามท่านอู่เฉินได้ ข้าอยู่ในปากงูมาก่อน เห็นว่าข้าจะไม่อร่อยจริง ๆ”
“เจ้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปเมื่อมาเยือนเทวโลก กายของเจ้าคือสมบัติของเทพอู่เฉิน แต่ข้าไม่สนใจเจ้า ข้าต้องการหยกพันปี”
“ท่านต้องการหยกพันปีไปเพื่อการใด?”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“มันต้องเป็นเรื่องของข้าซี ข้าเป็นผู้พักอาศัย จะให้ข้ากิน ๆ นอน ๆ อยู่เฉย ๆ ทำตัวเปล่าประโยชน์ ****ได้ยังไง แล้วข้าเห็นว่าท่านดูจะเป็นอสูรที่พูดจารู้เรื่อง ท่านลองตรึกตรองดูว่าเราควรพูดคุยกัน หรือจะสู้กันเสียให้หมดแรงทั้งสองฝ่าย”
“เจ้า! บังอาจบุกรุกทำลายอาณาจักรเทพ”
กลายเป็นเทพที่พูดจาไม่รู้เรื่อง งูเขียวคนพี่ดึงกระบี่ออกจากคมฝักแล้วเข้าต่อสู้ บ่าวลูกสมุนอีกห้านายเป็นงูออกมาปกป้องเรือน
ด้วยวิสัยของปีศาจพอได้กางกรงเล็บก็คงจะไม่ฟังนางอีกต่อไป
ต่างฝ่ายเข้าห้ำหั่นกันด้วยความโกรธแค้น ฝ่ายหนึ่งอยากได้หยกพันปี อีกฝ่ายหนึ่งปกป้องที่พักอาศัยด้วยการทำลายมันเสีย
ส่วนตัวนาง... ไม่เอาด้วยดีกว่า นางขี้เกียจฟาดฟันกับใคร
“เชิญท่านทั้งหลายตามสบาย ข้าไปก่อนล่ะ สู้กันให้หมดเรี่ยวแรง ฆ่าให้เกลี้ยงนะ ****”