บทที่3
โอวหยางเจิ้งหัวกัดขนมเข้าปากคำโต ความหอมของมันตีตื้นขึ้นจมูก น้ำตาที่หยุดไหลกลับมาไหลอีกรอบ เด็กชายทำได้เพียงกัดขนมเคี้ยวไปร้องไห้ไปเงียบๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาเร่ร่อนติดตามบิดาและมารดา มาตลอด หลังมากบิดาเสียชีวิตเขายิ่งลำบากมากขึ้น อดมื้อกินมื้อ อย่าว่าแต่ขนมเลยแค่ข้าวจะกินในแต่ละมื้อยังแทบจะไม่มี เขาจึงเข้าใจที่มารดาเลือกที่จะทิ้งเขาไว้ที่อารามแห่งนี้ ไม่ผิดที่มารดาของเขาจะอยากมีชีวิตที่สุขสบาย
“อร่อยไหม” เลี่ยงหลิงเอียงคอถามเจื้อยแจ้วภายในใจก็นึกสงสารเพื่อนใหม่ไม่น้อย นิ่งเห็นเขาเคี้ยวขนมไปร้องไห้สะอึกสะอื้นไปนางยิ่งสะท้อนใจ เขาคงผ่านความยากลำบากมามากมาย ต่างจากนางที่มีคนคอยดูแลตลอด มดไม่ให้ไตร่ไรไม่ให้ตอม ยิ่งตอนอยู่วังเสด็จพ่อแค่จะออกไปวิ่งเล่นกับลูกๆ ของบ่าวรับใช้ในวังเสด็จพ่อยังห้าม นางอาศัยอยู่ในวังรัชทายาทมาตั้งแต่เกิดชีวิตสุขสบายรายล้อมไปด้วยข้ารับใช้ แต่นางนั้นกลับโดดเดี่ยวไร้เพื่อนฝูง มีเพียงแม่นมหนิงอันที่เลี้ยงอยู่ใกล้ชิดมากาี่สุดเป็นเพื่อนคุย แต่มันคงจะดีกว่าหากมีสหายอายุราวคราวเดียวกัน
โอวหยางเจิ้งหัวพยักหน้าทั้งน้ำตา เมื่อมองดีๆ เด็กผู้หญิงคนนี้คงไม่ใช่คุณหนูธรรมดา จากการแต่งกายสีของผ้าเครื่องประดับบนศีรษะนั้นอีก นางคงเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่สักตระกูล คงจะขึ้นเขามากับคนในครอบครัวเพื่อมาทำบุญบนอารามแห่งนี้ เด็กน้อยเพิ่งสังเกตเห็นว่าตนเองนั้นนั่งห่างกับนางเพียงจั่ง จึงรีบถอดกายหนี กลัวว่าเสื้อผ้าของเขาจะทำให้ชุดสวยๆ ของนางเลอะ
“จะถอยไปไหนเล่า” เลี่ยงหลิงถามแว๊ดเสียงสูงใส่
“ข้ากลัวชุดของคุณหนูเลอะ” โอวหยางเจิ้งหัวตอบเสียงอ้อมแอ้มก้มมองสภาพมอซอของตน ให้นางเข้าใจว่าเขาละนางแตกต่างกันมากขนาดไหน
“ข้ากับเจ้าเป็นสหายกันแล้ว จะสนใจทำไมกับเพียงแค่ชุดเปื้อนกันเล่า เลอะก็แค่ซัก” นางยักไหล่
เป็นสหาย เป็นสหายกันต่อไหน โอวหยางเจิ้งหัวทำหน้าเซ่อ แค่รับขนมจากนางก็กลายเป็นสหายกันแล้วเหรอ เขาก็ไม่เคยมีสหายซะด้วยสิ ไม่เคยอยู่ที่ไหนเกินหนึ่งเดือนเลย ไม่เคยมีเพื่อนเล่น ไม่เคยได้ใช้ชีวิตเช่นเด็กในวัยเดียวกัน
เห็นอีกฝ่ายทำหน้างง เลี่ยงหลิงก็หลุดขำออกมา ใบหน้าของอี๋นั่วช่างตลกจริงๆ เขาทำให้นางลืมเรื่องภายในครอบครัวของนางได้พอสมควร เลี่ยงหลิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดความรักของเสด็จพ่อที่มีต่อเสด็จแม่ถึงได้จืดจางไป ถึงได้พาสตรีอื่นมาอยู่แทนที่ของเสด็จแม่เช่นนั้น ความรักเหตุใดถึงไม่เหมือนกับขนมกุ้ยฮวา หวานหอมอร่อยทุกครั้งที่กัดกิน เพราะมันทำจากดอกกุ้ยฮวา ดอกหอมหมื่นลี้ หากนางจะมีคนรักนางจะขอให้บุรุษผู้นั้นรักนางคนเดียวไม่มีวันจืดจางไปอย่างที่บิดานางเป็น
“ข้าจะย้ายมาอยู่หมู่บ้านตรงตีนอารามเพราะมารดาของข้ามาบวชศึกษาพระธรรมอยู่ที่นี่ การพบเจ้าในวันนี้คือโชคชะตา เจ้ารับขนมของข้าไปแล้ว ฉะนั้นนับจากวันนี้เจ้าจะต้องมาเป็นลูกสมุนของข้า”
เดี๋ยว! เมื่อกี้บอกว่าเป็นสหายไม่ใช่เหรอ หัวคิ้วขมวดแทบจะสำลักขนมที่ยังคาอยู่ในปาก
“หากเจ้ามาเป็นลูกน้องข้า ข้าจะดูแลเจ้าเอง เจ้าจะมีขนมอร่อยๆ กิน และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก ใครที่ทำเจ้าร้องไห้ ข้าเลี่ยงหลิงคนนี้จะไปจัดการเอง” เลี่ยงหลิงยกมือตบหน้าอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ หากนางได้เป็นหัวหน้านางจะดูแลอี๋นั่วอย่างดี ให้สมกับที่อี๋นั่วเป็นลูกสมุนหมายเลขหนึ่ง เอ้ยไม่ใช่สิ สหายหมายเลขหนึ่ง
โอวหยางเจิ้งหัวยังคงนั่งงง หากบอกว่า มารดาข้าเป็นคนทำให้ข้าต้องมานั่งร้องไห้ตรงนี้ นางจะวิ่งตามลงเขาไปตีมารดาของเขาอย่างนั้นหรือ แต่โอวหยางเจิ้งหัวทำได้เพียงแค่ถามในใจเท่านั้น เพราะพอจะอ้าปากพูดนางก็พูดแทรกขึ้นมาตลอด ดวงหน้ามอมแมมเต็มไปด้วยคราบน้ำตาตัดสินใจก้มลงกัดขนมกินต่อ กลัวนางเปลี่ยนใจเอาขนมคืนหากบอกว่าไม่ยอมเป็นลูกสมุนของนาง หากนางจะมาอยู่ที่นี่จริง อย่างไรตั้งแต่นี้ไปเขาก็ต้องทำงานต่างๆในอารามตามที่หลวงพ่อสั่ง ผูกมิตรนางไว้อย่างน้อยๆ ก็คงมีขนมอร่อยเช่นนี้กิน คนฐานะเช่นนางคงไม่ได้คิดจะคบหาเขาเป็นสหายหรือลูกน้องนานเท่าไหร่นักหรอก พอเล่นเบื่ออีกไม่นานนางก็คงจะเลิกสนใจเขาเอง