บทที่5
“เลี่ยงหลิงเจ้าก็ถึงวัยที่ต้องออกเรือนแล้ว เจ้าคิดอย่างไรกับอี๋นั่ว”
ร่างบางที่กำลังนั่งหวีผมหยุดชะงักกลางอากาศ วันนี้แม่ชีไอทั้งวัน นางเป็นห่วงจึงขอนอนที่อารามเพื่อเฝ้าดูอาการเพราะแม่นมหนิงอันบอกว่าจะให้หมอมาดูอาการแต่แม่ชียืนยันว่าไม่เป็นไร เลี่ยงหลิงเป็นห่วงคืนนี้จึงไม่ได้ลงจากเขากลับหมู่บ้าน
“คิดอะไรเล่า ข้ากับอี๋นั่วเป็นเพียงสหายกัน” นางนั่งหวีผมต่อ เสมองไปทางอื่นไม่ได้สบตาแม่ชีตอนตอบ
“ระวังเถอะ มัวแต่เล่นตัวหากเขาไปแต่งกับสตรีอื่นอย่าหาว่าแม่ชีไม่เตือน”
“อี๋นั่วไม่มีทางแต่งกับใครได้หรอกเจ้าค่ะ” นางเชิดหน้าบอก อี๋นั่วไม่มีทางแต่งกับใครได้หรอก นางไม่ยอม
“เอ้า ไหนเมื่อครู่บอกไม่ได้คิดอะไรกับอี๋นั่ว” แม่ชีเย้า เค้นขำในลำคอ เด็กหนอเด็ก
“ท่านแม่…แม่ชีไม่รังเกียจที่อี๋นั่วไร้หัวนอนปลายเท้าใช่ไหมเจ้าคะ”
“ไม่เลย ขอเพียงเจ้าสองคนรักชอบพอกันด้วยใจจริง ไม่ว่าจะแตกต่างกันเพียงใด ความรักจะลบความต่างขอพวกเจ้าทั้งสองนั้นทิ้งเอง มานอนเถอะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปสวดมนต์แต่เช้า เจ้าจะได้เห็นอี๋นั่วอีกมุมหนึ่ง ไม่ใช่เพียงสหายที่วิ่งเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเท่านั้น เขาตื่นก่อนใครมาหุงหาเตรียมอาหารให้คนทั้งวัด หากเจ้าแต่งให้เขา เจ้าจะสบายไปทั้งชีวิตเพราะไม่ต้องลงมือทำอาหารให้สามีกิน แต่เป็นสามีที่ทำให้เจ้ากินแทน”
“ท่านแม่ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะแต่งให้เขา” นางรีบทรุดตัวลงบนฟูกนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดทั้งดวงหน้าหลบซ่อนความเขินอาย
แม่ชีเฟยหย่าไอค่อก ๆ แค่ก ๆ อีกหลายที ก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างบุตรสาว ดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่มนิ่ม นางคิดถูกแล้วที่ละทางโลก เดินทางจากเมืองหลวงมาไกลให้เลี่ยงหลิงเติบโตท่ามกลางธรรมชาติไม่ต้องอยู่ในวังวนของการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
ยามโฉ่ว (คือ 01.00 - 02.59 น.) หัวคิ้วบางขมวดได้กลิ่นเหม็นไหม้ลอยมาเตะจมูก เลี่ยงหลิงปรือตาขึ้นในความมืดควานหามารดาที่นอนอยู่ข้าง ๆ
“ท่านแม่ แค่ก ๆ” เลี่ยงหลิงสำลักควันไฟ แสบไปทั้งคอ หายใจก็ลำบาก แต่นางก็ยังเขย่า ๆ ร่างที่นอนเคียงข้างอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
“แม่นม แค่ก ๆ” นางส่งเสียงเรียกแม่นมหนิงอันที่นอนฟูกอีกผืนที่ปูไม่ไกลกันเท่าไร แต่ไร้เสียงตอบรับเช่นเดิม นางยกมือขึ้นปิดจมูกเพื่อไม่ให้ตนเองสำลักควันไปมากกว่าเดิม มือบางอีกข้างควานหาคบไฟเพื่อจุด เมื่อเจอแล้วก็รีบจุดตะเกียงให้ภายในให้ห้องสว่าง แต่หมอกสีขาวหนาทึบจนแสงไฟมองเห็นแค่ในระยะใกล้ ๆ เท่านั้น เลี่ยงหลิงนำตะเกียงจ่อเข้าหาร่างของมารดา น้ำร่วงเผาะทันทีที่เห็นร่างของมารดาชัดเจน
ปัง!
โอวหยางเจิ้งหัวถีบประตูเข้ามาทันที เขาได้กลิ่นควันไฟ ในตอนแรกคิดว่าคงมีใครเผาอะไรสักอย่างแล้วลืมดับ เขาจึงลุกมาเพื่อจะดับไฟ แต่กลับว่าเป็นอารามที่พักของแม่ชีกำลังลุกไหม้อยู่ มีกลุ่มควันมากมายลอยออกมาจากห้องที่แม่ชีเฟยหย่านอนพัก คืนนี้เลี่ยงหลิงก็นอนพักที่ห้องนั้น
ร่างหนารีบเปิดหน้าต่างทุกบานถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ยกโบกสะบัดให้ควันไฟภายในห้องลอยออกไป
“เลี่ยงหลิงเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เมื่อแน่ใจว่าควันจางลงแล้ว โอวหยางเจิ้งหัวจึงหันไปถามเลี่ยงหลิงที่นั่งอยู่บนฟูกที่พื้นห้อง
“ท่านแม่…ฮึก กับแม่นม…ไม่หายใจแล้ว” นางตอบเสียงตะกุกตะกัก ก้อนสะอึกติดอยู่ตรงลำคอ สับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่ความจริงหรือนางกำลังฝันอยู่
โอวหยางเจิ้งหัวทรุดตัวลงดูอาการของแม่ชีเฟยหย่าและแม่นมหนิงอัน ทั้งสองไม่หายใจแล้วจริง ๆ
“เกิดอะไรขึ้น” เขาหันไปถาม
นางส่ายหน้า “ข้าตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็เป็นแบบนี้แล้ว อี๋นั่วนี่ความฝันใช่หรือไม่ ข้ากับเจ้ากำลังฝันอยู่ ท่านแม่กับแม่นมไม่ได้ตาย”
เสียงฝีเท้าของคนมากมายกำลังมุ่งมาทางนี้ หัวคิ้วหนาขมวด พระที่อารามนี้ทุกคนก้าวเดินอย่างสุขุม ไม่ได้ลงฝีเท้าเช่นนี้ หากจะมาช่วยกันดับไฟต้องส่งเสียงตะโกนเรียก แถมอยู่ ๆ ห้องที่เลี่ยงหลิงนอนก็มีกลุ่มควันไฟหนาทึบ ทั้ง ๆ ที่ต้นเหตุของเพลิงอยู่อีกฟาก
“ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไร รีบหนีก่อน ไฟกำลังลามมาทางนี้” โอวหยางเจิ้งหัวลุกขึ้น ฉุดร่างบางให้ลุกตาม ไม่ได้บอกเพียงเลี่ยงหลิงอย่าเพิ่งคิดอะไร เขาบอกตนเองด้วย ให้ผ่านพ้นขีดอันตรายไปเสียก่อนค่อยมาหาเหตุผลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้
“แล้วท่านแม่กับแม่นม” นางขืนตัวไว้ น้ำตาไหลเป็นทาง ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ไม่รู้ว่าตอนนี้ความจริงหรือความฝัน
“ข้าจะพาเจ้าไปอยู่ที่ปลอดภัยก่อน เมื่อไฟสงบแล้วข้าจะมาพาร่างของแม่ชีกับแม่นมออกไป ตอนนี้รักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ก่อน” เมื่อเห็นนางยังคงยืนร้องไห้เงียบ ๆ เสียงฝีเท้าเหล่านั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีเวลาแล้ว โอวหยางเจิ้งหัวตัดสินใจดึงร่างบางขึ้นพาดบ่า ปีนออกจากทางหน้าต่างห้อง เพราะหากออกทางประตูได้ประจัญหน้ากับคนพวกนั้นแน่ ๆ