เป็นเหมือนทุกครั้งในห้องอาหารของโรงแรมปริ้นเซส ลูคัสกำลังถูกแม่หม้ายสาววัยสี่สิบเจ็ดกะรัตกำลังลวนลามด้วยการลูบไล้ โอบกอด แต่ก็ผลักไสไม่ได้ เพราะหล่อนคือลูกค้าคนสำคัญ วันนี้เขามารับออเดอร์ใหญ่ ทางโรงแรมจะเปลี่ยนโซฟาในโรงแรมทั้งหมดและทุกสาขาด้วย จึงต้องมาเอง ส่วนโซฟาจะแบบไหนนั้นจะให้ทีมออกแบบมารับบรีฟงานอีกครั้ง วันนี้เขามาเซ็นสัญญาทางการค้าก่อนจะเริ่มงานในขั้นตอนต่อไป
ปิ่นปักมองพริ้งพราว เจ้าของโรงแรมที่กำลังลวนลามท่านประธานของตัวเองแล้วก็อดยิ้มขำและหัวเราะท่านประธานตัวเองไม่ได้ ก็สีหน้าของเขาตอนนี้มันดูตลกมาก พริ้งพราวเป็นแม่หม้ายลูกติด เพราะสามีได้ด่วนจากไปเพราะโรคไตเมื่อห้าปีก่อน โรงแรมจึงตกเป็นของหล่อนกับลูกชายวัยสิบสองขวบ และลูกชายก็ถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว
ลูคัสส่งสายตาให้เลขาคนเก่งของตนให้ช่วยเหลือ เพราะตอนนี้ไม่ไหวแล้ว มือของพริ้งพราวกำลังล้วงช่องกระดุมเสื้อเชิ้ตเข้ามาลูบไล้หน้าอกของเขา
“คุณพริ้งพราวคะ ท่านประธานยังมีประชุมที่บริษัทต่อค่ะ วันนี้เห็นทีเราต้องแยกกันแล้วค่ะ”
คำพูดของเลขาของลูคัสทำให้พริ้งพราวรีบดึงมือกลับ
“นึกว่าวันนี้คุณลูคัสจะอยู่กับฉันจนถึงมื้อเย็นซะอีก”
“ไว้โอกาสหน้านะครับ ขอตัวนะครับคุณพริ้งพราว” ลูคัสตอบแทนเลขาสาวแล้วลุกขึ้นยืนแล้วโค้งหัวให้แม่หม้ายสาว ก่อนจะเดินออกจากห้องอาหารไปทันที
ปิ่นปักรีบเก็บเอกสารใส่กระเป๋าแล้วก็ไหว้ลาพริ้งพราวแล้วรีบเดินสาวเท้าเร็วๆ ตามร่างสูงใหญ่ไป
“ต้องมีสักวันที่คุณจะเป็นของฉัน ลูคัส” แม่หม้ายสาวพึมพำ
“ไม่ต้อง พี่ขับเอง” พอเดินมาถึงรถยนต์ที่พนักงานโรงแรมไปขับมาจอดให้ก็บอกเลขาสาวให้ไปนั่งข้างคนขับ เพราะตัวเองจะขับเอง
“แต่...”
“คำสั่ง”
แล้วปิ่นปักก็เดินอ้อมไปทางฝั่งผู้โดยสาร
ลูคัสเปิดประตูไปนั่งบนรถรอรัดเข็มขัดนิรภัย แล้วคนตัวเล็กก็ขึ้นมาพร้อมรัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย
บรื้น!
แล้วรถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวออกจากโรงแรม
“ทำไมนั่งมองพี่ถูกแม่หม้ายนั้นลวนลามอยู่ได้ปิ่นปัก ไม่คิดจะช่วยพี่เลยรึไงฮึ”
“ทนหน่อยเถอะค่ะ เพราะมันคุ้มกับสัญญาที่เราได้มานะคะ”
“พี่ไม่อยากเอาตัวเข้าแลกเพื่อสัญญาหรอกนะ อีกอย่างอย่าทำแบบนี้อีก พี่ไม่ชอบ ถ้าพี่ถูกหญิงหม้ายคนนั้นจู่โจม ปิ่นปักต้องรีบช่วยเข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วค่ะท่านประธาน รอบนี้ดิฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ เอ๊ะ! ไม่ใช่ทางกลับบริษัทนี่คะ”
“ก็ใช่ไง ไม่ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว ไปจดทะเบียนสมรสกันมันวันนี้เลย”
“ไม่นะคะ เราต้องเซ็นสัญญาทำข้อตกลงกันก่อน”
“สัญญาอะไร พี่เตรียมมาแล้ว ที่ลิ้นชักหน้ารถข้างหน้าปิ่นปักน่ะ เปิดอ่านและเซ็นได้ ถ้าโอเคกับข้อตกลงที่พี่ทำมา”
แม้จะมึนงง แต่ก็รีบเปิดลิ้นชักด้านหน้าตัวเองหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาแล้วเปิดนำเอกสารออกมาอ่านดู เธอไล่สายตาอ่านข้อตกลงระยะเวลาของสัญญาแต่งงานโดยละเอียดแล้ว
“เรื่องนี้เป็นความลับนะคะ ที่บริษัทต้องไม่มีใครรู้ว่าเราแต่งงานกัน เวลาเราหย่ากันจะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากของทุกคน” ปิ่นปักเอ่ยกับคนที่กำลังตั้งใจขับรถ
“ได้!” ตอนนี้อะไรได้หมด ขอแค่ให้ได้ทะเบียนสมรสผูกมัดคนดื้อก่อน
“แล้วระยะเวลาสองปีเท่านั้น ถ้าครบกำหนดสองปี ปิ่นปักท้องหรือไม่ท้อง ยังไงเราก็ต้องหย่ากัน”
“ได้!”
“ห้ามแตะต้องกันและกัน เราจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันแค่ในนาม”
“ได้!”
“กับครอบครัวเราคงปิดพวกท่านไม่ได้ ให้พวกท่านรู้ได้ แต่เราจะไม่จัดงานแต่งงานกัน”
“ได้!”
“และระหว่างที่เราจดทะเบียนสมรสกัน เราจะรู้กันเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น แต่คนนอกไม่รู้ พี่ลูคัสสามารถออกไปข้างนอกกินดื่มเที่ยวเลาจน์ได้ตามสบายค่ะ เราจะต่างคนต่างอยู่”
“ได้! แล้วเราจะอยู่บ้านใคร เราจดทะเบียนสมรสกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกัน”
“บ้านของปิ่นปัก เพราะแม่ณีอยู่บ้านคนเดียว”
“ได้! พี่แต่งงานย้ายเข้าบ้านปิ่นปักได้ ปากกา” แล้วเขาก็ผละมือหนึ่งข้างออกจากพวงมาลัยรถยนต์มาล้วงหยิบปากกาที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในส่งให้คนที่นั่งเบาะข้างๆ ตน
“เซ็นสิ”
มันรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน แต่ปิ่นปักก็รับปากกามาเซ็นสัญญาแต่งงาน ที่พูดทวนข้อความในสัญญากับลูคัส เพราะอยากมั่นใจก่อนจะเซ็นสัญญาแต่งงานในครั้งนี้
แม้สายตาจะมองถนนตรงหน้า แต่หางตาของเขามองดูคนตัวเล็กข้างๆ ตลอด พอเห็นเธอจรดปลายปากกาลงบนสัญญาก็ยกยิ้มมุมปาก เพราะเขาได้เซ็นเอกสารไว้ก่อนหน้าแล้ว
“สัญญานี้พี่จะเก็บไว้” เขาบอกเธอ
“ค่ะ” แล้วปิ่นปักก็เก็บใส่ซองเอกสารแล้วใส่ไว้ในลิ้นชักเหมือนเดิม แล้วส่งปากกาคืนเจ้าของ
“จดทะเบียนสมรสกันได้ยัง”
“ค่ะ” เธอตัดสินใจเลือกเขาแบบงงๆ นั่นแหละ แต่จะว่าไปจริงๆ ก็ตัดสินใจแล้วว่าเป็นเขาที่จะเป็นพ่อของลูก หลังจากนอนคิดมาตลอดคืนวันเสาร์กับคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
‘ทุกอย่างในสัญญา พี่จะแหกให้หมด’ ลูคัสเอ่ยในใจเมื่อบรรยากาศในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง
เวลา 18.40 น.
ปราณี เอ็มม่าและเงินมองดูทะเบียนสมรสของลูกทั้งสองแล้วก็มองลูคัสกับปิ่นปักแล้วก็ถามเป็นเสียงเดียวกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ส่วนโอลิเวียที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเพื่อนรักจะเลือกพี่ชายตัวเองก็ได้แต่นั่งอมยิ้มไม่ปริปากพูดอะไร
“ลูคัสทำน้องท้องเหรอถึงได้รีบแบบนี้ฮึ” เอ็มม่าถามลูกชาย
“ยังครับ แต่ไม่นานก็ท้อง” ลูคัสตอบ
“นั่นสิลูก ไหนวันนั้นบอกแม่ว่าจะไม่แต่งงานอยู่เลยปิ่นปัก” ปราณีเองก็ไม่อยากเชื่อว่าลูกสาวจะจดทะเบียนสมรสกับลูคัส
“คือ...” ปิ่นปักหาคำตอบให้แม่ตัวเองไม่ได้
“เอาเถอะ จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมันเถอะ ไหนๆ ตอนนี้เด็กๆ ก็จดทะเบียนสมรสกันแล้ว แล้วงานแต่งงานจะจัดเมื่อไหร่ลูคัส หนูปิ่นปัก” เงิน ประมุขของบ้านเอ่ยถามลูกชายกับลูกสะใภ้ ดีที่ลูกชายเลือกปิ่นปักมาเป็นสะใภ้ไม่ใช่ผู้หญิงในเลาจน์ที่ไปหาประจำ
คู่สามีภรรยาใหม่พากันหันมาสบตากันแล้วเป็นสามีที่ตอบ
“เราสองคนตกลงกันว่าจะรอให้มีลูกก่อนค่อยจัดงานแต่งงานกันครับ ผมจะย้ายไปอยู่บ้านแม่ณีนะครับ เพราะถ้าปิ่นปักย้ายมาอยู่บ้านเราจะไม่มีใครอยู่บ้านกับแม่ณี” จากเคยเรียก ‘น้าณี’ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น ‘แม่ณี’ อย่างไว ก็แน่ล่ะ ตอนนี้เขาคือลูกเขยของท่าน
เอ็มม่าหันมาเงยหน้าสบตาสามีที่นั่งข้างตน พอเห็นสามีพยักหน้า นางก็เอ่ยขึ้น
“เอาแบบนั้นก็ได้ลูก แม่ดีใจนะที่ลูคัสเลือกหนูปิ่นปักมาเป็นเมีย แม่ปลื้ม” เอ็มม่าเอ่ยอย่างดีใจ
“แม่ก็ปลื้มที่ปิ่นปักเลือกพี่ลูคัสมาเป็นคู่ชีวิต” เพราะนางเชื่อว่าลูคัสจะดูแลลูกสาวตนได้เป็นอย่างดี
“เอาล่ะ มีเรื่องมงคลแบบนี้เราต้องฉลองว่าไหมคะพ่อ” เป็นโอลิเวียที่เงียบฟังมาตลอดเอ่ย
“มีเรื่องมงคลแบบนี้ต้องทานมื้อเย็นน้องบ้าน ไปร้านอาหารของณีไหมคะพี่เอ็มม่า” ปราณีถามเอ็มม่า
“ไปจ้ะ ไม่ต้องเลี้ยงนะ วันนี้พี่จ่ายเอง ของซื้อของขาย” เอ็มม่าเอ่ย
“ได้ไงคะ งานเลี้ยงฉลองที่เราสองคนเป็นทองแผ่นเดียวกันทั้งที อีกอย่างขนหน้าแข้งของณีไม่ร่วงหรอกค่ะ”
“งั้นก็ไปกัน ส่วนเราสองคนก็รีบมีหลานให้พ่อกับแม่เร็วๆ ล่ะ อยากอุ้มหลานแล้ว” คราวนี้เป็นเงินที่เอ่ย
ปิ่นปักหัวเราะแก้เขิน ส่วนลูคัสได้แต่พยักหน้ารับคำ
เรื่องดีๆ แบบนี้ปักมุกกับสามีจะพลาดได้ยังไงล่ะ ก็น้องสาวขายออกทั้งที แม้ไม่มีสินสอด แต่บ้านของเธอก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน อีกอย่างน้องเขยก็เป็นพี่ชายข้างบ้านที่ฐานะร่ำรวยติดอันดับของประเทศด้วย
“พี่วิทย์” ปักมุกเรียกสามีเสียงแข็งเมื่อสามีมองตามหลังพนักงานเสิร์ฟของร้าน
“จ๋า...” วิทย์ขานรับแล้วหันมาตักกับข้าวเอาใจภรรยา
คู่ของปักมุกกับวิทย์ทำให้ทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยพากันขำปนเอ็นดู เพราะเป็นแบบนี้ประจำเวลาสองคนนี้มาทานข้าวด้วย ปักมุกก็ขี้หึง ส่วนสามีก็เจ้าชู้ตัวพ่อ
เวลา 23.50 น.
ดึกแล้ว แต่ว่าคู่สามีภรรยาใหม่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน ลูคัสไม่ยอมกลับบ้านหลังจากมาส่งปิ่นปักกับแม่ยายที่บ้านก็ขอเข้าห้องภรรยาตัวเอง
“พี่ลูคัสกลับบ้านตัวเองได้แล้วค่ะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปทำงานนะคะ”
“พี่รู้ แต่พี่อยากนอนที่นี่”
“วันเสาร์ค่อยย้ายเข้ามานะคะ ปิ่นปักขอเวลาเป็นส่วนตัวอีกนิดได้ไหมคะ”
“ไม่! พี่จะนอนที่นี่”
“ทำไมดื้อด้านแบบนี้คะพี่ลูคัส”
“ก็ตอนนี้เราเป็นผัวเมียกันแล้วนะ”
“แค่ในนามค่ะ และคนข้างนอกก็ต้องไม่รู้ด้วยค่ะ ให้รู้เฉพาะครอบครัวเรา”
“รู้แล้วครับ ว่าแต่อยากไปฮันนีมูนที่ไหน”
“เราไม่ใช่ผัวเมียกันจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องฮันนีมูน กลับได้แล้วค่ะ ปิ่นปักง่วงแล้ว”
“ได้! แต่พรุ่งนี้พี่จะให้เด็กที่บ้านนำข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวพี่มาไว้ที่ห้องปิ่นปัก พี่ไม่รอถึงวันเสาร์หรอกนะ พี่ให้เวลาปิ่นปักอยู่คนเดียวแค่คืนนี้คืนเดียว พรุ่งนี้เราจะไปทำงานด้วยกัน”
“ที่นี่ไม่ใช่บริษัทนะคะ พี่ลูคัสไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ อีกอย่างไปทำงานเราแยกกันไปเหมือนเดิมดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนอื่นสงสัย”
“ใครกันแน่เอาแต่ใจตัวเอง กู๊ดไนท์แล้วกันเมียพี่” วันนี้เป็นในนามไปก่อนเถอะ วันต่อไปเขาไม่ปล่อยไว้แน่ เขาต้องได้ครอบครองร่างเล็กอ้อนแอ้นนี้
“กู๊ดไนท์ค่ะ” เธอบอกเขากลับพร้อมเดินมาส่งเขาที่หน้าห้อง แต่ก็ไม่คิดว่าลูคัสจะกล้าทำแบบนี้กับตน เมื่อเขาก้มโน้มหน้าลงมาฉวยโอกาส
ว้าย!
“ไปแล้วนะครับ” แล้วลูคัสก็รีบวิ่งจากไปเมื่อได้ฉวยโอกาสหอมแก้มนุ่มนิ่มก่อนกลับ
“คนเหลือทน!” เธอได้แต่ก่นด่าไล่หลังแล้วยกมือขึ้นลูบเช็ดแก้มตัวเองที่ถูกขโมยจุ๊บก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วปิดประตูห้องเต็มแรงโทสะ