บทที่ ๑
ทาสรักหัวใจทมิฬ
บทที่๑
สาธารณรัฐชาร์มา ประเทศที่มีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันมีเจ้าครองรัฐดำรงตำแหน่งประมุขเป็นทั้งกษัตริย์และประธานาธิบดี ซึ่งสืบทอดตำแหน่งกันมาหลายชั่วอายุคน โดยการรวบรวมแคว้นเล็กแคว้นน้อยภายใต้การปกครองของหัวหน้าเผ่าหรือชีคต่างๆ มารวมไว้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้การปกครองของส่วนกลางอันเป็นกษัตริย์ในราชสกุล อัลโซกียาห์ จวบจนบัดนี้มาถึงลำดับที่ยี่สิบ
ทรัพยากรอันเป็นน้ำมันดิบทั้งในทะเลและกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ ส่งให้ประเทศเล็กๆ แห่งนี้มั่งคั่ง ทำเงินได้เข้าสู่ประเทศด้วยการส่งออกน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดมากมายติดอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งยังมีสินแร่อันประมาณค่าไม่ได้อีกจำนวนมาก เหมืองเพชรขนาดใหญ่น้อยเป็นพระราชทรัพย์ของเจ้าผู้ครองรัฐแต่เพียงผู้เดียว ทว่าประชาราษฎรภายใต้การปกครองของชีคหนุ่มที่สืบทอดอำนาจมาจากพระบิดา ต่างอยู่เย็นเป็นสุขด้วยพระบารมี
ชายแดนทางด้านทิศเหนือซึ่งเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล เสียงการสู้รบด้วยอาวุธทันสมัยดังกึกก้อง พร้อมกลุ่มควันและเปลวเพลิงลุกโชน พายุทรายอันเกิดจากแรงระเบิดปลิวว่อน บนผืนทรายที่ร้อนระอุมีนักรบชุดดำปกปิดใบหน้าเหลือเพียงลูกตาเท่านั้นที่หลุดพ้นจากพันธนาการจำนวนหนึ่ง กำลังคืบคลานอย่างคล่องแคล่วว่องไวดุจงูเห่าทะเลทราย เพื่อเข้าโจมตีจุดหมายซึ่งเป็นนักรบในชุดสีเทาเข้มจนเกือบดำ จุดสังเกตที่เห็นได้ชัดคือผ้าพันคอสีแดง เมื่อสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากันในระยะการยิง เสียงอาวุธกราดใส่กันก็ดังขึ้นอีกระลอก ควันจากปากกระบอกและเขม่าดินปืนตลบอบอวล พร้อมละอองทรายฟุ้งกระจาย เสียงกองกำลังสนับสนุนดังใกล้เข้ามา ทั้งรถถังและเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนในระดับต่ำแล้วปล่อยให้พลร่มกระโดดลงมาเข้าสมทบ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดเคล้าเสียงดังกึกก้องของอาวุธสังหารนานาชนิด ไม่นานก็สงบเงียบ
“เห่าทะเลทราย เรียก เหยี่ยวเวหา” มันมิได้ดังมาจากวิทยุติดต่อสื่อสาร หากดังมาจากปากนักรบชุดดำที่กำลังเดินดุ่มๆ เข้ามาใกล้ ผ้าคลุมศีรษะสีดำที่สะบัดตามแรงลมถูกกระชากออกอย่างรวดเร็ว พร้อมโบกสะบัดเรียกลมเข้าใบหน้า
“เหยี่ยวเวหาปีกหักโว้ย บินไม่ขึ้น ร้อนฉิบหาย” นักรบในชุดเทาเข้มจนเกือบดำกระทำเช่นเดียวกัน คือกระชากผ้าคลุมหัวออก พร้อมเป่าปากฟู่ เหมือนไล่ลมร้อนออกจากร่างกาย
“แหม นานๆ ได้ลิ้มชิมรสอากาศร้อนตับแตกเสียทีทำเป็นบ่นนะอัคคี ประเทศไทยมีให้คุณไหมล่ะ ทะเลทรายนี่ อุณหภูมิสูง ๖๕ องศาเซลเซียสยังงี้ แถมกลางคืนยังลดต่ำกว่า ๒๕ องศาเซลเซียสอีก มีไหมครับ”
ชายคนพูดยิ้มหน้าชื่นทั้งที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ ยามเดินเคียงข้าง พันโทอัคคี อัศว์โยธิน นายทหารหนุ่มจากประเทศไทยที่นำกำลังพลไปร่วมฝึกการรบแบบระยะประชิด และการฝึกยุทธวิธีต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งทางรัฐบาลไทยและรัฐบาลชาร์มามีสนธิสัญญาต่อกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
พันโทอัคคีส่ายหน้ายามหลบเข้ามาในกระโจม ที่กางกั้นกันแสงแดดระอุที่แผดเผาลงมาแบบไม่เกรงอกเกรงใจ พร้อมถอดเสื้อตัวนอกออกพาดบนพนักเก้าอี้ที่กำลังนั่งลง เท้าใหญ่ในรองเท้าบู้ทหุ้มข้อสีดำยกขึ้นพาดบนโต๊ะ เหมือนชี้หน้าเพื่อนสนิทนายทหารชาวชาร์มาที่เดินมานั่งตรงข้ามอย่างช่วยไม่ได้ จนฝ่ายนั้นแทบผงะ แล้วค่อยๆ เลื่อนเก้าอี้ให้พ้นรัศมีการชี้ของฝ่าเท้าใหญ่ๆ นั่น
“ผมนะทนได้ เพราะเคยมาหลายครั้งแล้ว แต่นายทหารใหม่สิ น่าสงสารกว่าจะปรับตัวได้ ดีหน่อยที่คราวนี้ฝึกซ้อมไม่นาน เออ! ว่าแต่ คุณพูดจริงหรืออิสบาน ที่ว่าชีคอยากพบผมเป็นส่วนการตัว”
นายทหารไทยเอ่ยถามเพื่อนสนิทชาวชาร์มาพันโทอิสบาน อับเดล ฟาตีล ให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อได้รับแจ้งข่าวว่า ชีคกาเบรียน อัลชาร์มา อัลโซกียาห์ เจ้าผู้ครองรัฐเชิญเขาเข้าพบหลังภารกิจร่วมซ้อมรบของทั้งสองประเทศสิ้นสุดลง
“จริงสิ รับสั่งผ่านเลขาพระราชวังมา ว่าแต่คุณพร้อมเข้าเฝ้าเมื่อไหร่ จะได้แจ้งข่าวไปล่วงหน้า”
“พอจะรู้ไหม เรื่องอะไร” นายทหารไทยยังวางท่าทีสงบ หากในใจนั้นแทบกระโจนไปเข้าเฝ้าชีคกาเบรียน เสียทันทีที่ได้รับเชิญ ใบหน้าคมเข้มของเจ้าผู้ครองรัฐหนุ่มนั้น อัคคีจำได้แม่นยำ ไม่ใช่เพราะเคยพบเจอ แต่เพราะเคยเห็นในรูปที่ถ่ายคู่กับน้องสาวของเขา น้องสาวซึ่งมาฝึกงานที่บริษัทในเครือของตระกูลอัลโซกียาห์ แล้วไม่กลับเมืองไทยอีกเลย ทางครอบครัวได้แต่รับข่าวสารที่เธอส่งไปในระยะแรกเท่านั้น
ใบหน้าเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมของช่อดอกไม้ จนแทบมองไม่เห็นเรือนร่างบอบบางภายในชุดเสื้อครุยยาวสีประจำสถานบันการศึกษาที่สำเร็จมา เสียงแสดงความยินดีที่บ่งบอกว่าทั้งผู้พูดและผู้รับมีความสุขและภาคภูมิใจมากเพียงใด ที่เฝ้าเพียรศึกษาจนจบการศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นบัณฑิตใหม่ให้ครอบครัวได้ภูมิใจ
“ชิดๆ หน่อยครับกล้องเก็บไม่หมด” ชายหนุ่มในชุดนายทหารชั้นสัญญาบัตรของกองทัพไทยผู้ทำหน้าที่ตากล้อง ร้องสั่งพร้อมแสดงท่าบีบมือให้แถวที่ยืนรอถ่ายรูปชิดกัน เพื่อจะเก็บภาพบุคคลเหล่านี้ลงในรูปถ่ายให้ครบถ้วน
“พ่อนะตัวไม่ใหญ่ แม่น่ะแหละอ้วนกลมล้นเฟรมแล้ว”
ผู้เป็นบิดากระเซ้าศรีภรรยา ที่สวมชุดผ้าไหมไทยสีเหลืองทองเข้าสมัยนิยม ซึ่งใบหน้าอวบโผล่มาจากกองดอกไม้ เช่นเดียวกับบุตรสาวผู้เป็นคนเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรจนได้รับวงค้อน ก่อนนางค่อยๆ ขยับชิดเข้ามา ญาติๆ และเพื่อนๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดีต่างขยับชิดแม้จะเบียดแน่น และซ้อนกันหลายแถว ทว่าต่างหวังได้รูปหมู่ไปชื่นชมและเก็บไว้เป็นที่ระลึก
“โอเค พร้อมนะครับ หนึ่ง..สอง.”..แชะ!
“อ้าว! ตาอัคคี ทำไมไม่นับสามก่อนละ แม่ยังไม่ได้ยิ้มเลย เอาใหม่ๆ” ผู้เป็นแม่ประท้วงท่ามกลางช่อดอกไม้สีสด ที่ปกปิดลำตัวเหลือแค่ใบหน้าอวบที่มีแววบึ้งตึงเล็กน้อย เพราะกลัวภาพที่ไม่ยิ้มออกมาไม่สวยเท่าที่ควร
“คุณแม่ยิ้มจนเหงือกแห้ง แล้วปิดปากผิดจังหวะเอง มาโทษผมได้ไง” อัคคีเถียงออกไป แต่ตั้งท่าจดจ้องจะบันทึกภาพใหม่ตามคำขอของมารดา เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากแถวที่รอพร้อมถ่ายภาพหมู่อีกครั้ง ก่อนเงียบสนิทเมื่อคนถูกกระเซ้าส่งวงค้อนหว่านแหไปทั่ว
“เอาๆ ถ่ายใหม่ก็ได้ ยิ้มครับคุณแม่ ยิ้มหวานๆ ยิ้มสวยๆ พร้อมนะครับ หนึ่ง..สอง..สาม”...แชะ!
ครานี้คุณพิมพ์สมรยิ้มได้ทันเวลา
“คุณแม่ยิ้มหน้าบานกว่ายัยธารีเสียอีก” ไม่วายตากล้องยังเอ่ยแซว แต่คนได้รูปสวยไม่ทำท่าแง่งอนหรือค้อนส่ง กลับร้องเร่งให้บุตรชายถ่ายภาพแห่งความประทับใจต่อ ทั้งถ่ายให้น้องสาวกับเพื่อนๆ กับญาติเรียงคน แล้วถ่ายพร้อมหน้าครอบครัว จนเป็นที่พอใจ
“ไปเถอะหาอะไรกินกัน มื้อนี้แม่เป็นเจ้ามือ”
“แต่เงินคุณพ่อ” เสียงห้าวยังเอ่ยแซวมารดาไม่หยุดหย่อน จนท่านเบื่อที่จะค้อน
“ก็รอเงินคุณทหารไม่ไหวนี่ยะ ทำงานเงินเดือนตั้งมากมายแต่ไม่ยอมให้แม่สักแดงเดียว”
“อ้าว! ทำไมจะไม่ให้ ก็คุณแม่จะเอามากขนาดไหนเชียว เงินเดือนข้าราชการนะครับ ไม่ใช่พวกพ่อค้านักธุรกิจ อีกอย่าง” เขาชำเลืองไปทางหญิงสาวในชุดเสื้อและกระโปรงสีชมพูอ่อนที่ช่วยธารีหอบดอกไม้และของขวัญมาที่รถ ก่อนพูดยิ้มๆ
“ผมกำลังเก็บเงินขอเมีย”
ใบหน้าหญิงสาวที่อัคคีชำเลืองระเรื่อขึ้นมาจนสีเข้มพอๆกับดอกไม้ที่หอบ ไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ่ยเช่นนี้และไม่ใช่ระดับเสียงที่เบาเลย เพราะปกติอัคคีเป็นคนพูดเสียงดังอยู่แล้วด้วย แต่ประโยคแบบนี้ควรหรือประกาศเสียดังลั่น
สองผู้ให้กำเนิดชำเลืองมองปาริฉัตร เพื่อนสนิทของอัคคีหรือว่าที่ลูกสะใภ้คนสวย เพราะสองคนคบหาดูใจกันมานาน ท่านนั้นชาชินกับคำพูดโผงผางของบุตรชาย แต่ยังนึกเห็นใจปาริฉัตรที่อายจนแก้มแดง พลตรีอำนาจนายทหารนอกราชการบิดาของอัคคีและธารีจึงเอ่ยตัดบท
“ไปๆ ขึ้นรถ ใครไปรถคันไหน เร็วๆ เข้า เดี๋ยวร้านอาหารที่จองโต๊ะจะใจเสียคิดว่าเราไม่ไปกิน มาแม่มานั่งกับพ่อ ธารีเอาดอกไม้ใส่ไว้ในรถพ่อแล้วไปนั่งกับพี่เขา มาลูกเร็วๆ”