“เมียฉันเป็นยังไงบ้างเบิ้ม ปลอดภัยแล้วใช่ไหม”
คุณหมอหนุ่มวัยสามสิบแปดมองหน้าเพื่อนสนิทที่เคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมปลาย ก่อนจะแยกย้ายไปศึกษาต่อตามสาขาที่ใจตัวเองปรารถนามองใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาที่บัดนี้มีแต่ความคร่ำเครียดนั้นอย่างเห็นใจ
“ยาที่เมียนายกินออกฤทธิ์ทำลายการทำงานของระบบประสาทและร่างกายจนหมดแล้ว...”
“แล้วยังไง นายช่วยแก้วได้ใช่ไหมเบิ้ม”เสียงทุ้มหูสั่นเครือด้วยความรู้สึกกลัวจับใจ
“เสียใจด้วยนะราม ฉันช่วยเมียนายไม่ทันจริงๆ นายมาถึงช้าไป” ถึงแม้จะเห็นใจแต่เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป และยังสงสัยอยู่ว่าทำไมคนที่จิตใจดี อารมณ์ดีอย่างสิรินดาถึงได้คิดฆ่าตัวตาย “เข้าไปดูเมียนายได้นะราม”
“อย่าเพิ่งไป ช่วยเมียฉันให้ฟื้นก่อนเบิ้ม ได้โปรด” รามขวางทางเพื่อนสนิทไม่ให้เดินหนี น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาอย่างไม่อาย
“สงบสติอารมณ์แล้วเข้าไปดูคุณแก้วอีกสักครั้งนะราม เผื่อนายมีเรื่องที่อยากจะพูดอะไรกับเธอ” อติพลเห็นใจเพื่อนรักเหลือเกิน แต่เขาจะช่วยอะไรได้มากกว่านี้อีกล่ะในตอนนี้
“ได้โปรดเถอะเบิ้ม ช่วยเมียฉันด้วย เอาชีวิตฉันไปแทนก็ได้ แต่ได้โปรดให้เธอกลับมา ลูกของฉันเพิ่งจะสามเดือนเท่านั้น ฉันจะให้เขาขาดแม่ไม่ได้” ลูกผู้ชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาตลอดคุกเข่าขอร้องเพื่อนรักที่เป็นหมอพร้อมกับน้ำตาและเสียงคร่ำครวญด้วยความเสียใจสุดชีวิต
“ราม...” อติพลดึงไหล่เพื่อนรักขึ้นมาแล้วโอบกอดเพื่อปลอบใจ “ฉันเสียใจด้วยจริงๆ ฉันพยายามสุดความสามารถแล้ว”
“พี่รามคะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่นิ่งเงียบอยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอดเอ่ยขึ้นพร้อมกับประคองชายหนุ่มเอาไว้ “พี่รามกลับบ้านไปก่อนดีกว่านะคะ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพรเอง”
“พี่จะเข้าไปหาแก้ว พี่อยากคุยกับแก้ว”
“ถ้าอย่างนั้นแพรพาเข้าไปนะคะ”
“อย่าเลยแพร พี่จะเข้าไปคนเดียว เพราะแก้วคงไม่ชอบถ้าพี่พาแพรเข้าไป” รามดึงแขนออกจากการกอดประคองของหญิงสาวแล้วเดินเข้าไปในห้องที่อติพลออกมา
เมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
“ทำไมคุณแม่ต้องกลับเมืองไทยกะทันหันแบบนี้คะ” หญิงสาวที่ใกล้จะเป็นเจ้าของใบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของรัฐในนครซิดนีย์ถามมารดาด้วยความสงสัย เพราะเพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้านไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
“แม่ก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร ยายเพิ่งโทรมาบอกให้แม่รีบกลับไป” ดวงดาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลต่อหน้าลูกสาวคนเล็ก ถ้าไม่ติดว่าอีกสามวันเธอจะสอบนางคงบอกความจริงไปแล้ว
“ทำไมสีหน้าคุณแม่ไม่ดีเลย ญาติเราเสียเหรอคะ... ใครคะคุณแม่”
“เอาไว้แม่ถึงเมืองไทยแล้วจะโทรมาบอกนะลูก เมื่อกี้แม่ก็คุยกับยายยังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”
สิริญ่าเพียงแต่พยักหน้ารับ เข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวประมาณหนึ่งว่าคงเสียใจจนพูดไม่ออก
“ถ้านิดว่างนิดก็อยากจะไปด้วยนะคะ” ถึงแม้ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับญาติพี่น้องทางเมืองไทยอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่คุณยาย คุณตา หรือพี่สาว แต่เธอก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างคนไทยคนหนึ่ง และเคยเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่เมืองไทยอยู่เสมอก่อนจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย จึงอยากจะกลับไปร่วมงานพร้อมมารดาอยู่บ้าง
“ไม่ต้องหรอกลูก ตั้งใจทำข้อสอบให้ดีก็พอ แม่ไปก่อนนะลูก”
“หนูไปส่งนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกลูกนิด เดี๋ยวพ่อขับรถไปเอง หนูอยู่บ้านตั้งใจอ่านหนังสือสอบก็พอแล้ว” บิลบอกกับลูกสาวสุดที่รักแล้วลากกระเป๋าออกไป
“ค่ะคุณพ่อ ถึงแล้วโทรหานิดด้วยนะคะคุณแม่” หญิงสาวเข้าไปโอบกอดบิดามารดาและหอมแก้มพวกท่านก่อนลาจากกัน“ฝากบอกพี่แก้วด้วยนะคะว่านิดคิดถึงพี่แก้วมาก ถ้าสอบเสร็จแล้วจะรีบตามไปนะคะ นิดอยากเจอหน้าหลานตัวเป็นๆ มากเลยค่ะ”
“จ้ะลูกรัก” บิลตอบแทนภรรยาที่ได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกับอาการข่มกลั้นน้ำตา “พ่อไปก่อนนะ”
เมื่อรถยนต์ที่สามีเป็นคนขับพ้นออกจากรั้วบ้าน น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ของดวงดาวก็ล้นทะลักออกมาอย่างกับทำนบพัง เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นเจียนจะขาดใจเสียใจเหลือเกินที่ต้องสูญเสียลูกสาวคนโตไปอย่างไม่มีวันกลับแบบนี้
“ที่รัก ความตายเป็นเรื่องธรรมดาของทุกคนบนโลกใบนี้นะ” บิลพยายามปลอบใจภรรยาด้วยความสงสาร ด้วยอาชีพของหมอเขาก็ได้พบเจอกับญาติของผู้เสียชีวิตทุกวัน แต่เมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรไปดีกว่านี้
“ถ้าลูกฉันแก่ตายหรือป่วยตายฉันคงไม่เสียใจแบบนี้หรอกค่ะ แต่นี่ลูกฉันฆ่าตัวตาย ตายจากไปแบบไม่รู้สาเหตุว่าทำไม คุณจะไม่ให้ฉันเสียใจได้ยังไงกันคะ”
“ผมเข้าใจที่รัก ผมเข้าใจ” ถึงแม้สิรินดาจะไม่ใช่ลูกสาวที่เกิดจากเขา แต่เขาก็รักและเอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวแท้ๆ คนหนึ่งเพราะได้เลี้ยงมาตั้งแต่เธออายุห้าขวบจนถึงอายุยี่สิบสอง เขาเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“ฉันไม่น่าให้เธอกลับเมืองไทยเลย ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่กับเราเธอคงไม่ตาย”
“อย่าโทษตัวเองแบบนี้สิที่รัก คุณไม่ได้ไล่ลูกไปนะ ลูกเป็นฝ่ายขอกลับไปเองต่างหาก”
ดวงดาวไม่ได้กล่าวอะไรอีกนอกจากร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจกับข่าวการจากไปของลูกสาวคนโต
เมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์
“นิด พวกเราจะไปเที่ยวฉลองสอบเสร็จกันคืนนี้ ไปด้วยกันนะ”
“ขอโทษด้วยนะนิโคลฉันไปด้วยไม่ได้จริงๆ เพราะฉันต้องไปประเทศไทยคืนนี้”
“ทำไมถึงรีบนักล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“นิดหน่อยจ้ะ ญาติแม่ฉันเสียน่ะ”
“เสียใจด้วยนะ เอาไว้เจอกันหลังจากกลับมานะ”
“บาย” สิริญ่าโบกมือลาให้เพื่อนสนิท เดินไปที่จอดรถจักรยานแล้วปั่นกลับไปยังที่พักที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่ถึงห้ากิโลเมตร
“สวัสดีนิด”
“สวัสดีค่ะคุณโทรส” เธอทักทายตอบเจ้าของหอพักขณะกำลังจะเดินขึ้นบันได
“มีจดหมายถึงเธอนะ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวย้อนกลับไปยังตู้จดหมายของแต่ละห้อง หยิบจดหมายที่ใส่ไว้ในนั้นขึ้นมาดู
“แปลกนะ”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแล้วมองหน้าบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ในห้องกระจกใกล้ๆ “อะไรแปลกเหรอคะคุณโทรส”
“ก็แปลกที่ยังมีคนเขียนจดหมายอยู่น่ะสิ สมัยนี้การสื่อสารอยู่แค่ปลายนิ้วเท่านั้นไม่ใช่เหรอ” เขาพูดพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มๆ ไปบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อบอกใบ้
“พี่สาวฉันคงนึกสนุกก็เลยใช้วิธีโบราณแบบนี้ไงคะ ขอตัวก่อนนะคะ” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างแล้วสาวเท้าขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์