บรรยากาศหน้าร้านขายอาหารไทยสไตล์บุฟเฟต์เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่แห่แหนมาใช้บริการตั้งแต่เปิดบริการเก้าโมงเช้าจนถึงสองทุ่มของทุกวัน
ส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ อาจเป็นเพราะแรงดึงดูดจากตัวร้านที่คุมโทนสีขาวมีธีมผสมผสานกับธรรมชาติอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายตา ทั้งยังร่มรื่น เติมความสดชื่นแก่ชีวิตผู้คนกลางเมืองกรุงให้หายใจได้เต็มปอดตลอดช่วงที่ใช้เวลาอยู่ ณ ที่นี่
ในส่วนตัวอาคารนั้น ชั้นล่างเปิดเป็นบุฟเฟต์อาหารไทย และบริเวณชั้นสองเปิดเป็นโรงเรียนสอนทำขนม ซึ่งนอกเหนือจากลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารฝากท้องตอนเที่ยงวันไว้กับที่ร้านนี้แล้ว ก็ยังมีเด็กเล็กเด็กน้อยไปจนถึงผู้ใหญ่มาเรียนวิชาทำอาหารและขนมไทยกับ ‘พริมพิกา’ หรือ ‘ครูพริม’ เจ้าของร้านแห่งนี้อีกจำนวนหนึ่ง
พริมพิกาเปิดร้านได้ราวๆ ห้าปี หลังจากที่เรียนจบด้านการโรงแรม จากมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง เคยทำงานประจำเพื่อเก็บออมเงินอยู่ได้สักพักหนึ่ง ไม่นาน เธอก็สามารถทำตามความฝันคือเปิดร้านอาหารและขายขนมร่วมกันไปด้วย พอร้านเริ่มลงตัว หญิงสาวก็คิดว่าควรจะหาอีกอาชีพหนึ่งเพื่อหาเงินเลี้ยงดู ‘แพรวา’ ลูกสาวตัวน้อยของตนเองที่ตอนนี้อายุได้ห้าขวบ และกำลังเข้าเรียนชั้นอนุบาล ซึ่งหากเอาแต่เปิดร้านขายอาหารและขายขนมเพียงอย่างเดียวคงไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายแน่
เพราะแม้ร้านอาหารของพริมพิกาจะมีผู้คนมาใช้บริการจำนวนมากเพราะติดใจรสชาติและราคาที่ไม่แรงเกินไป แต่กำไรก็ไม่ได้มากมายนัก หญิงสาวจึงหันมาเป็นครูสอนทำขนมด้วย เพราะมักจะมีคนมาให้สอนบ่อยๆ จนระยะหนึ่งปีเศษที่ผ่านมาหลังจากเธอลองเปิดคอร์สเรียนทำขนมและอาหารไทย กระแสการตอบรับก็ดีเยี่ยมจนแทบจะไม่มีตารางว่าง
โชคดีที่นักเรียนส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับร้าน หรือคนที่เคยแวะเวียนมากินอาหารหรือขนมที่ร้านแล้วติดใจฝีมือเธอจริงๆ แต่ไม่สะดวกมาเรียนที่ร้านก็สามารถเรียนออนไลน์ได้
ตั้งแต่นั้นมาความเป็นอยู่ของพริมพิกากับลูกสาวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะต้องเหนื่อยมากขึ้น แต่อย่างน้อยก็เธอกับลูกก็ไม่ต้องลำบากเหมือนแต่ก่อน
ช่วงนี้เป็นช่วงที่โรงเรียนให้นักเรียนเข้าเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้แพรวาต้องอยู่ที่ร้านกับพริมพิกาทุกวัน แม้ว่าการเรียนออนไลน์อาจไม่ตอบโจทย์มากนัก แต่โชคดีที่หนูน้อยเป็นเด็กฉลาด หัวไว จึงมีพัฒนาการที่ไวกว่าเพื่อนในชั้นเดียวกัน คนเป็นแม่จึงไม่ต้องหนักใจเรื่องนี้มากนัก
“อ้ำ…อร่อยจังเลยค่ะคุณแม่ขา”
แพรวาพาร่างอวบๆ เดินเข้ามาในครัว ก่อนจะหยิบ ‘ขนมหันตรา’ ขนมไทยหากินยากขึ้นมาชิม ไส้ข้างในนั้นเป็นถั่วกวนชุบไข่แดงห่อด้วยไข่ที่โรยเป็นตาราง แม้จะมีขนมวางอยู่หลายอย่าง ทั้งสัมปันนี อาลัว เกสรลำเจียก แต่หนูน้อยเจาะจงขนมชนิดนี้ และเมื่อเห็นว่ารสชาติถูกปากคล้ายที่มารดาเคยทำให้กิน ก็หยิบขนมเข้าปากอีกหลายชิ้นเคี้ยวตุ้ยๆ ราวกับต้องการยืนยันกับผู้เป็นมารดาว่าขนมอร่อยจริงๆ
“อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอลูก กินไม่หยุด อีกหน่อย แม่ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นขนุนแล้วมั้ง เอ...แต่แบบนี้แปลว่า ที่แม่สอนนักเรียนไปก็คงได้ผล ถ้าแพรวาชอบ แปลว่าอร่อยจริงละเนาะ”
“ชอบมากค่ะ อีกสามจานก็ยังไหว” เด็กหญิงยิ้มเผล่ จนตาหยี ดวงหน้าจิ้มลิ้มสดใส
คนเป็นแม่ยิ้มเอ็นดูลูกสาวของตนเอง พร้อมกับนึกถึงผลงานของนักเรียนในคลาสวันนี้ เมื่อครู่นี้ พริมพิกาได้สอนให้นักเรียนทำหันตราซึ่งเป็นขนมที่น้อยคนจะรู้จัก แต่เธอมองว่าปัจจุบันนี้ผู้คนมีความโหยหาอดีต ขนมโบราณหากินได้ยากจึงขายดี และขนมชนิดนี้ยังเป็นของโปรดลูกสาว รวมถึง ‘เขา’ คนนั้นด้วย
“หนูชอบหันตรามากค่ะ ใครทำก็ว่าอร่อยทั้งนั้นแหละค่ะ แต่ก็ไม่มีใครทำอร่อยเท่าแม่พริมของหนูแน่นอนค่ะ” เด็กน้อยพูดเอาใจเสียจนผู้เป็นแม่อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปหยิกแก้มอ้วนๆ สีลูกพีชนั้นเบาๆ
“นี่แน่ะ ปากหวานจังนะเรา ฮึ นอกจากจะหน้าเหมือนกัน แล้วยังชอบกินอะไรเหมือนกันอีกนะ” พริมพิกามองขนมโบราณในมือลูกสาว พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะคิดถึงใครคนนั้น
“คุณแม่ว่าหนูเหมือนใครเหรอคะ?” แพรวาถาม พร้อมกับเอียงคอสงสัย
“เอ่อ จะเหมือนใครล่ะคะ ก็เหมือนแม่นี่ไง ลูกแม่ก็ต้องเหมือนแม่สิคะ ไหนแม่ลองชิมซิ” รีบเปลี่ยนเรื่องทันที ก่อนที่ลูกสาวจะสงสัยไปมากกว่านี้ เพราะอย่างที่บอกว่าแพรวาเป็นเด็กที่มีพัฒนาการค่อนข้างไวกว่าเด็กวัยเดียวกัน และเธอเองก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงกับลูกเรื่อง ‘เขา’ ตอนนี้
“หืม อร่อยจริงๆ ด้วย” หญิงสาวชิมขนมฝีมือลูกศิษย์ด้วยความภาคภูมิใจ
“ถ้าหนูโตกว่านี้ คุณแม่จะสอนหนูทำขนมหันตราไหมคะ หนูอยากเรียนทำขนมมากกว่าเรียนที่โรงเรียนอีก” เด็กน้อยร่างอวบพูดเจื้อยแจ้ว
“แม่สอนแพรวาได้เสมอค่ะ แต่แพรวาก็ต้องเรียนที่โรงเรียนด้วยนะ ช่วงนี้เรียนที่บ้านไปก่อน แต่อีกไม่นานก็จะได้ไปที่โรงเรียน มีเพื่อนเยอะๆ หนูไม่ชอบเหรอคะ?” พริมพิการีบพูดหว่านล้อมลูกสาว เธอกลัวว่าลูกจะไม่อยากไปโรงเรียนเพราะต้องห่างแม่ตามประสาเด็ก ก็ตั้งแต่แกลืมตาดูโลกก็มีกันสองคนแม่ลูกตามลำพัง เรียกได้ว่าตัวติดกันเกือบตลอดเวลา ยกเว้นเวลาที่แกไปโรงเรียน
“ก็ได้ค่ะ หนูอยากมีเพื่อนเยอะๆ” แพรวาพูดอย่างว่าง่าย หนูน้อยเป็นเด็กน่ารักเสมอ
“ดีมากค่ะ” ยิ้มพลางลูบหัวลูกสาวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“ครูขา มีคนมาสมัครเรียนค่ะครู”
เสียงนักเรียนสาวรายหนึ่งดังเข้ามาทำให้ทั้งพริมพิกาและแพรวาต้องหันไปมองทันที
“เดี๋ยวแม่ออกไปดูก่อนนะลูก พี่น้ำค้างมาเรียกแล้ว”
หญิงสาวเอ่ยถึง ‘น้ำค้าง’ เด็กสาววัยเพียงสิบแปดปีที่มาขอสมัครเรียนที่นี่พร้อมทั้งขอช่วยทำงานที่ร้านไปด้วย พริมพิกาเห็นว่าฝ่ายนั้นเป็นเด็กตั้งใจและนิสัยค่อนข้างดี มีความรับผิดชอบ จึงจ้างเป็นพนักงานรายวันให้มาช่วยบริการลูกค้าหน้าร้านในช่วงที่ตนเองต้องสอนนักเรียนคนอื่น