คนละฟากฟ้า (60%)

2154 Words
“ยังไงป๋าก็ยังเป็นห่วงหนูอยู่ดี ให้บอดี้การ์ดไปด้วยดีกว่านะลูก” นายบริรักษ์ยังไม่วางใจซะทีเดียว จึงเสนอทางที่จะทำให้ตัวเองบรรเทาความเป็นห่วงลงบ้าง   “ลุงหนวดน่ะเหรอคะ ไม่เอาหรอก ให้เขาอยู่ดูแลป๊ะป๋าเถอะ ลูกสามารถดูแลตัวเองได้ ป๊ะป๋าอย่าคิดมากไปเลย เชื่อมือด็อกเตอร์บุปผชาติเถอะค่ะ” ว่าพลางลูบไล้ตรงตำแหน่งหัวใจอันอบอุ่นของบิดาเพื่อให้ท่านคลายความกังวล   “งั้นก็ได้ ครั้งนี้ป๋าจะยอมให้แก้มไปทำตามฝัน แต่ถ้าหนูอยู่ไม่ได้ต้องโทรมาบอกนะ ป๋าจะได้รีบไปรับทันที โอเคไหม?” สุดท้ายคนเป็นพ่อก็ต้องยอมจำนน ด้วยรักถึงได้ยอมตามใจ และอีกอย่างเขาก็มั่นใจว่าลูกจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตน เพราะบุปผชาติไม่เคยมีนิสัยโกหก   “ด้าย…เลยค่ะ” สาวน้อยลากเสียงหยอกล้อบิดาอย่างน่ารักน่าชัง ยิ้มกว้างจนตาหยีทำเอาผู้เป็นพ่อต้องดึงแก้มใสๆ ด้วยความมันเขี้ยว ซึ่งนิสัยน่ารัก ชอบหยอกล้อ และทะเล้นนิดๆ ที่ได้มาจากผู้เป็นมารดาที่ล่วงลับไปแล้วมาเต็มๆ เป็นสิ่งที่เธอจะไม่แสดงออกกับใคร ยกเว้นบิดาและคนรับใช้เก่าแก่ในบ้านเท่านั้น   “ดีมากจ้ะ” ผู้เป็นพ่อยิ้มในหน้าด้วยความสมใจ “วันนี้คุณป๋าหล๊อหล่อ” ลำแขนเสลาสวมกอดเอวของอีกฝ่าย แล้วพูดเอาใจด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง “แล้ววันอื่นป๋าไม่หล่อรึไงฮึยัยแก้ม” ครั้นอดใจไม่ไหวกับความช่างอ้อนนายบริรักษ์ก็บีบสันจมูกเชิดรั้นด้วยความรักและเอ็นดู   “หล่อค่ะ ใครจะหล่อเหลาเอาการสู้คุณบริรักษ์ ดิลกรัตนกุล ได้ล่ะค่ะ ไม่มี๊…ไม่มี แต่วันนี้ใจคุณป๋าหล่อม๊ากมากค่ะ” ลูกสาวรีบประจบเอาใจยกใหญ่ด้วยดีใจที่พ่อยอมให้ไปทำตามฝัน “ฮ่าๆๆ ช่างประจบจริงนะเรา” เสียงกังวานหัวเราะให้กับคำพูดอันแสนฉอเลาะของบุตรสาว “อ้าว…ก็หนูเป็นลูกของป๊ะป๋ากับมาม๊านี่คะ ก็ต้องช่างพูดเหมือนป๋ากับม๊าสิคะ” พอบุปผชาติพูดจบเสียงหัวเราะสองพ่อลูกก็ดังขึ้นเป็นคำรบที่สองของเช้าวันนี้ จากนั้นทั้งสองก็จูงมือกันไปทานข้าวเช้า คุยกันอย่างออกรสตามประสาพ่อลูก บุปผชาตินั้นชอบหยอกล้อบิดาจนติดเป็นนิสัย เสียงหัวเราะครื้นเครงจึงเกิดขึ้นตลอดช่วงของการทานอาหารเช้า ใบหน้าของนายบริรักษ์ดูยิ้มแย้มแจ่มใสทว่า แท้จริงแล้วภายในกลับมีแต่ความกังวลเป็นห่วงลูกสารพัด อีกทั้งยังทำใจให้ลูกจากอกไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าให้อีกฝ่ายได้เห็น เพราะไม่อยากให้ลูกต้องคิดมาก   หลังจากแยกกับบิดา บุปผชาติก็มุ่งหน้าเข้าห้องนอน เพื่อเก็บของใส่กระเป๋า เตรียมตัวเดินทางไปฝรั่งเศสในอีกสามวันข้างหน้า ขณะที่หญิงสาวกำลังนั่งพับเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างขะมักเขม้นอยู่นั้นเสียงมือถือที่วางอยู่บนเตียงก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอยิ้มแป้นด้วยความยินดี ก่อนจะรีบกดรับสายทันที  “ฮัลโหล หวัดดีจ้ามณี เราคิดถึงเธอจังเลย โทรมาหาเรามีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?” บุปผชาติกรอกเสียงใสลงไปในสายด้วยความดีใจที่เพื่อนรักอย่างมณีญา ซองมิน สาวน้อยลูกครึ่งไทย-เกาหลี ซึ่งครอบครัวย้ายไปตั้งหลักปักฐานที่แดนกิมจิเมื่อสิบปีที่แล้ว โทรมาในเวลาที่เธอกำลังคิดจะโทรไปหาอีกฝ่ายอยู่พอดี  “เราโทรมาบอกว่าบริษัท Professional Enterprise and Development ติดต่อมาขอซื้อตัวเรา แล้วเธอล่ะเป็นไงทางนั้นติดต่อมาบ้างหรือยัง?” มณีญาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่ส่งโปรไฟล์ไปแนะนำตัว หลังจากนั้นเพียงสองอาทิตย์ทางบริษัทก็ติดต่อกลับมาว่าอยากได้เธอไปร่วมทีมด้วย   “ไชโย้! ดีใจจังเลย เราก็ได้เหมือนกัน แบบนี้ก็ดีน่ะสิ แก้มจะได้มีเพื่อน” บุปผชาติร้องตะโกนด้วยความยินดีที่ทั้งคู่จะได้ไปทำงานที่ตนใฝ่ฝันด้วยกัน  “เราจะนับวันรอได้เจอแก้มเลยล่ะ งั้นแค่นี้นะบ๊ายบายจ้ะ” มณีญาก็รู้สึกยินดีไม่ต่างจากเพื่อนรัก เพราะเธอรอเวลาที่จะได้เจอกับบุปผชาติมานานนัก ที่ผ่านมาจะได้คุยกับเพื่อนสาวเพียงทางโทรศัพท์ แต่ครั้งนี้จะได้เจอหน้า เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ   “เราก็เหมือนกันจ้ะ บาย” สาวเฉิ่มยิ้มอยู่คนเดียวจนแก้มแทบปริ ดีใจที่ทุกอย่างดูลงล็อกเป็นไปตามที่ตนคาดหวังไว้ทุกประการ   สองสาวเจอกันตอนไปแข่งฟิสิกส์โอลิมปิกที่ประเทศจีน เมื่อครั้งที่พวกเธอยังเรียนชั้นมัธยมปลาย ด้วยความที่ชื่นชอบอะไรเหมือนๆ กัน เลยคุยกันถูกคอ แถมสไตล์การแต่งตัวยังคล้ายคลึงกันมาก ไม่ว่าจะเป็นการสวมแว่นตาหนาเตอะ ใส่กระโปรงทรงสุ่ม และใส่เสื้อปกปิดเนื้อตัวมิดชิด แต่บุปผชาติจะดูเฉิ่มและเชยกว่า หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ติดต่อกันมาตลอด จนกลายมาเป็นเพื่อนรักในที่สุด  สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ แล้ววันที่บุปผชาติจะต้องจากเมืองไทยก็มาถึง นายบริรักษ์แทบไม่อยากให้ถึงวันนี้ เวลาช่างเดินเร็วนัก อีกไม่กี่นาทีลูกก็จะจากเขาไปไกลซะแล้ว สองพ่อลูกร่ำลากันอยู่ที่หน้าห้องผู้โดยสารขาออกด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์  “จำไว้นะแก้ม ถ้าหนูอยู่ไม่ได้ ต้องโทรมาบอกป๋าทันทีนะ เข้าใจไหมลูก” บิดายังคงย้ำชัดประโยคเดิมๆ จนผู้เป็นลูกจำได้ขึ้นใจ แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายรักและเป็นห่วงตนมากแค่ไหน  “ค่ะคุณป๋า แก้มไม่ลืมหรอกค่ะ” สาวน้อยรับคำด้วยน้ำเสียงแข็งขัน  “ดูแลตัวเองให้ดีนะลูก ป๋ารักหนูนะ นี่เป็นนามบัตรเพื่อนป๋า หากหนูมีปัญหาโทรหาเขาได้ทุกเมื่อ เขาจะส่งคนมาช่วยลูกทันทีไม่ว่าเรื่องใด คุณลุงเขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในฝรั่งเศส”  “แน้…ป๊ะป๋าเราแอบคบมาเฟียซะด้วย แล้วหนูจะโทรมาหาป๋าบ่อยๆ นะคะ เสียงเขาเรียกแล้วค่ะ แก้มต้องไปแล้ว” บุปผชาติเย้าบิดาอย่างยิ้มๆ เพราะพอรู้มาบ้างว่าในฝรั่งเศสมีแก๊งมาเฟียอยู่ไม่น้อยไปกว่าในอิตาลี   “ไม่ไปไม่ได้เหรอลูก” ครั้นลูกจะเดินเข้าไปภายในห้องผู้โดยสารผู้เป็นพ่อกลับรั้งแขนเธอไว้และพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนอยากให้ลูกเปลี่ยนใจ   “คุณป๋าอย่างอแงสิคะ เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะคะ” มาถึงตอนนี้หญิงสาวก็มิอาจกลับลำได้แล้ว ถึงยังไงเธอก็ไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจตามคำขอของบิดาแน่   “จ้ะๆ งั้นป๋าจะรอโทรศัพท์นะลูก ไปถึงแล้วอย่าลืมโทรหาป๋าด้วยล่ะ” สุดท้ายนายบริรักษ์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และยอมปล่อยมือจากแขนลูกสาวแต่โดยดี   “ค่ะ มาแก้มขอกอดสุดหล่อทีนึง อื้ม…รักป๊ะป๋านะคะ” ทั้งสองกอดและหอมกันอยู่นาน เพื่อหวังว่าความอบอุ่นนี้จะยังคงตราตรึงเมื่อพ่อลูกต้องไกลห่าง  “ป๋าก็รักและเป็นห่วงหนูมากนะลูก ดูแลตัวเองให้ดีนะยัยแก้ม” ผู้เป็นพ่อบอกลูกด้วยเสียงทุ้ม สั่งให้อีกฝ่ายดูแลตัวเองให้ดี เพราะต่อแต่นี้เธอจะต้องไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวของตัวเองแล้ว ถ้าคิดในทางที่ดีประสบการณ์ครั้งนี้อาจจะสอนให้บุปผชาติโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็ได้   “รับทราบค่ะ บ๊ายบายค่ะป๊ะป๋า” เจ้าของเสียงหวานใสรับคำพ่อด้วยรอยยิ้มเพื่อให้ท่านสบายใจ “โชคดีและเดินทางปลอดภัยนะลูกพ่อ” นายบริรักษ์อวยพรลูกด้วยความอาลัย ยังทำใจไม่ได้ที่แก้วตาดวงใจจะจากไปอยู่แดนไกล แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อเขาตกปากอนุญาตเธอไปแล้ว   หลังจากโบกมืออำลาบิดาทั้งน้ำตาบุปผชาติก็เดินไปขึ้นเครื่อง เพื่อบินลัดฟ้าไปยังประเทศฝรั่งเศส สถานที่ที่จะช่วยเติมเต็มความฝันของสาวน้อยจอมอัจฉริยะอย่างเธอให้เป็นจริง และเมื่อวันนั้นมาถึงความสำเร็จมันคงจะหอมหวานอย่างหาที่สุดไม่ได้ แค่คิดหัวใจดวงน้อยก็เต้นระรัวแล้ว สนามบูการ์ติ เรสซิ่ง สปอร์ต ประเทศฝรั่งเศส วันนี้มีการแข่งขันรถยนต์ทางโค้งชิงแชมป์ประจำปี สนามแข่งยอดนิยมคราคร่ำไปด้วยกองเชียร์ที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ชื่นชอบในกีฬาประเภทนี้เหมือนๆ กัน รวมทั้งกองเชียร์จากค่ายรถดังในฝรั่งเศสและต่างประเทศ ทุกคนต่างเฝ้ารอชมการแข่งขันรถยนต์ที่ขึ้นชื่อในความหฤโหดของสนาม หากไม่ชำนาญหรือพลาดพลั้งก็อาจจบชีวิตลง ณ ที่แห่งนี้ได้   สนามนี้ถือว่าสุดยอดที่สุดในฝรั่งเศส สำหรับนักแข่งผู้กระหายในความท้าทายและผาดโผน หนึ่งในนั้นก็คือมาร์โค ดิมิเทียส อภิมหาเศรษฐี วัยสามสิบสองปี หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศส-รัสเซีย เทพบุตรสุดหล่อเจ้าของบริษัทส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของฝรั่งเศส ทายาทตระกูลมาเฟียมหาอำนาจ เพลย์บอยตัวฉกาจ ผู้คลั่งไคล้กีฬาเอ็กซ์ตรีมทุกประเภท และอีกอย่างที่พ่อเจ้าประคุณหลงใหลไม่สร่างซาคือผู้หญิงเซ็กซี่ ยิ่งร้อนแรงยิ่งถูกใจชายหนุ่มยิ่งนัก ซึ่งตอนนี้เขาก็มีสาวสวยเซ็กซี่ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด ริชชี่ อัลแมนด้า พริตตี้สาวสวยเซ็กซี่ทรงโต เฉี่ยวและคม ที่อยู่ภายใต้ชุดอันเซ็กซี่รัดรูปจนเห็นไปหมดทุกสัดส่วนบนเรือนร่างสะโอดสะอง กำลังโพสต์ท่าให้นักข่าวได้เก็บภาพด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่ดูเป็นมืออาชีพ ทันทีที่เห็นมาร์โคเดินมาหาหล่อนก็ปรี่เข้าไปควงแขนกำยำพร้อมยิ้มร่า แล้วเบียดกระแซะร่างอวบอั๋นน่าฟัดเข้าหากายทรงพลังเป็นเชิงออดอ้อน เป็นเหตุให้นักข่าวสายบันเทิงได้ภาพไปลงข่าวกันอย่างจุใจ แต่มาร์โคก็ไม่แคร์ เพราะเขาเป็นข่าวจนชินซะแล้ว และถ้าจะเป็นอีกข่าวจะเป็นไรไป   “มาร์คคะ หากคุณชนะ คืนนี้ริชชี่มีรางวัลแบบนอนสต็อปให้นะคะ เอาชนะให้ได้นะคะที่รัก” พริตตี้สาวมอเตอร์โชว์คนล่าสุด ที่เขาไปสอยมาเมื่อครั้งไปโชว์ตัวในงานมอเตอร์โชว์ประจำปี และกลายมาป็นคู่ควงของเขาได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว จริตจะกร้านของหล่อนช่างโดนใจพ่อหนุ่มเลือดร้อนยิ่งนัก   จุ๊บ!!! “ต้องชนะเท่านั้นนะคะ ไม่งั้น…อด” หลังจากบรรจงกดเรียวปากเซ็กซี่สีแดงสดลงตรงโหนกแก้มสาก ริชชี่ก็ทำสายตาหยาดเยิ้ม พร้อมส่งรอยยิ้มเชิญชวนมาให้ชายหนุ่มอย่างเปิดเผย   “ได้เลยจ้ะยาหยี ถ้ามีรางวัลมาล่อใจขนาดนี้ นายมาร์โคสู้สุดใจขาดดิ้นอยู่แล้ว” มาร์โคยักคิ้วรับคำแม่สาวขาวอวบทรงโต เพียงแม่เจ้าประคุณนาบจูบร้อนแรงลงบนข้างแก้มก็ทำให้กายแกร่งคึกคัก เผลอคิดไปถึงบทรักอันเร่าร้อนที่จะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้   จากนั้นมาร์โคก็เดินไปทักทายเพื่อนรักของตน แก๊งนี้มีทั้งหมดสี่หนุ่ม ซึ่งประกอบด้วยเคลวิน อัลกราโด้ มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของสายการบินชื่อดังในฝรั่งเศส หนุ่มหล่อขั้นเทพและกะล่อนไม่ต่างจากมาร์โค, แดเนียล กิลเบิร์ต ทายาทตระกูลมหาเศรษฐี หนุ่มนักรัก เจ้าพ่อแห่งวงการโทรคมนาคมที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วทุกมุมโลก, ราฟาเอล แมคไบรค์ มหาเศรษฐีหนุ่มผู้เงียบขรึมแต่ลุ่มลึกถึงใจ เจ้าของเหมืองแร่ทองคำมูลค่ามหาศาล และตัวเขาเอง มาร์โค ดิมิเทียส  ทั้งสี่หนุ่มเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มิตรภาพของพวกเขาก็ยังแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย และยังคลั่งไคล้กีฬาเอ็กซ์ตรีมเหมือนกันอีก ซึ่งแต่ละคนมีฝีมือขั้นเทพ ไม่เป็นสองรองใคร จนได้รับฉายาว่า Prince of Extreme  สี่หนุ่มหล่อต่างมีกิตติศัพท์ล่ำลือในเรื่องความเจ้าชู้ ลีลาเด็ด เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า สิ่งที่ทุกคนไม่ปลื้มเหมือนๆ กันคือผู้หญิงตัวเล็ก หน้าอกแบนราบ ผู้หญิงประเภทนี้ไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นเตียงกับพวกเขาอย่างแน่นอน อย่างพวกเขาต้องระดับนางงาม นางแบบ หรือไม่ก็พริตตี้สาวสวยเซ็กซี่เท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD