“นี่แม่คุณ คุณหนูบุปผชาติเจ้าคะ คุณไม่รู้จักมาร์โค ดิมิทียส หรือมาร์ค มหาเศรษฐีหนุ่ม วัยสามสิบสองปี ลูกครึ่งฝรั่งเศส-รัสเซีย เจ้าของบริษัทส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลก ทายาทตระกูลมาเฟียมหาอำนาจ แบดบอยและเพลย์บอยตัวฉกาจ ผู้คลั่งไคล้กีฬาเอ็กซ์ตรีมทุกประเภท หนึ่งในแก๊งผู้ชายที่หล่อราวเทพบุตร แถมทุกคนยังบ้าบิ่นพอกัน จนได้ฉายาว่า Prince of Extreme เลยหรือเจ้าคะ” พออีกฝ่ายพูดจบสาวเฉิ่มก็พยักหน้าหงึกหงักว่าไม่รู้จักจริงๆ
มณีญามองหน้าบุปผชาติอย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าเพื่อนรักจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของมาร์โค ดิมิเทียส มาก่อน แต่ก็อย่างว่าล่ะนะคนอย่างบุปผชาติวันๆ ก็ขลุกอยู่แต่ในห้องทดลอง ไม่เคยคิดที่จะสนใจโลกภายนอกเลย จนเพื่อนเธอจะแต่งงานกับหลอดทดลองได้อยู่แล้ว
“แหมๆๆ คุณมณีญาเจ้าขา ข้อมูลเป๊ะเลยนะเจ้าคะ” เมื่อได้ยินเพื่อนรักสาธยายมาซะยืดยาว บุปผชาติเลยกระแนะกระแหนคืนด้วยความหมั่นไส้ เพราะรู้ดีว่าคุณเธอชอบนักล่ะไอ้เรื่องติดตามข่าวคราวคนหล่อแต่กินไม่ได้ หรือหล่อแต่ไร้สมองอะไรประมาณนั้น
“แหงล่ะ ก็เราชอบติดตามข่าวคราวคนหล่อทั่วทุกมุมโลกนี่นา” ผู้ถูกเพื่อนถากถางหาได้ยี่หระไม่ แต่กลับยิ้มรับหน้าชื่นตาบานด้วยความถูกใจกับข้อมูลคนหล่อที่ถูกบันทึกลงในหัวสมองอันชาญฉลาด
“เป็นสำมะโนประชากรโลกว่างั้น” บุปผชาติล้อเลียนเพื่อนรักด้วยท่าทีขบขัน
“บ้า! ยัยแก้มเธอก็พูดไปนั่น” มณีญาตีแขนเรียวอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความเขินอาย
เมื่อมีข่าวคราวคนหล่อผุดขึ้นที่ไหน ต่อมความกระหายใคร่รู้ของมณีญาก็จะทำงานทันที จนต้องเสาะแสวงหาให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นๆ นี่แหละนิสัยของมณีญา สาวเชยหัวใจแหวว ที่แอบมีคนหล่อสะสมอยู่ในสมองอันชาญฉลาดเป็นกระบุง แต่ไม่เปิดเผยให้ใครได้ล่วงรู้ จะมีก็แต่เพื่อนซี้อย่างบุปผชาติเท่านั้น ที่รู้ว่าแก่นแท้ของยัยเชย แสบและซ่าถึงทรวงมากแค่ไหน
“เออ…ว่าแต่มันคืออะไรนะ Prince of Extreme ที่เธอว่าเนี่ย” ถึงจะหยอกล้อกันจนเกือบออกนอกประเด็นไปแล้ว บุปผชาติก็ยังไม่ลืมฉายาที่มาร์โคได้รับ จึงเอ่ยถามเพื่อนสาวด้วยความใคร่รู้
“Prince of Extreme เป็นฉายาของแก๊งเขา เพราะทุกคนในกลุ่มต่างก็หลงใหลในกีฬาผาดโผน กล้าและบ้าบิ่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน” มณีญาสาธยายให้สาวเฉิ่มฟังจากข้อมูลทั้งหมดที่ตนรู้มา ด้วยท่าทางภาคภูมิใจเสียเต็มประดา
“อือฮึ…แล้วทำไมเธอถึงรู้จักพวกเขาล่ะ” คนฟังแม่คนรอบรู้อธิบายทำท่าพยักหน้าเข้าใจ แล้วย้อนถามกลับคืน
“ก็เขาออกจะโด่งดังในโลกไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเก่งกาจ และในหน้าหนังสือพิมพ์ในเรื่องของข่าวฉาวกับพวกสาวๆ ไม่เว้นแต่ละวัน แต่อย่างว่าล่ะนะ ก็คนมันหล่อจนเทพบุตรยังต้องอายชิดซ้ายตกขอบสวรรค์ไปเลย”
“เธอก็พูดเวอร์ไปยัยมณี” บุปผชาติแย้งขึ้นทันที
“จริงๆ นะยัยแก้ม เราไม่ได้พูดเกินความเป็นจริงเลยสักนิด ว่าแต่เธอไปทำงานกับเขาอย่าไปตกหลุมคนหล่อเข้าล่ะ เดี๋ยวจะโดนสาวๆ ในสังกัดของเขามาแหกอกเอา แล้วจะหาว่ายัยเชยแอบสวยอย่างมณีญาคนงามไม่เตือน” คนที่ออกตัวว่าสวยอย่างกลายๆ กล่าวสำทับเพื่อนสาว ให้ระวังหัวใจตัวเองเอาไว้ ว่าอย่าได้เผลอไปมอบให้ผู้ชายเจ้าชู้เหลือร้ายเช่นมาร์โค ดิมิเทียส เป็นอันขาด
“เฮอะ…ฝันไปเถอะว่าเราจะแล แค่ได้ยินชื่อเรายังรู้สึกหมั่นไส้เขาเลย” บุปผชาติทำน้ำเสียงเยาะๆ คนอย่าเธอไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้พึ่งพิงคนหล่อ หรือสัตว์ประเสริฐที่เรียกว่ามนุษย์เพศผู้อยู่แล้ว เพราะด้วยมันสมองและสองมือตนก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากใคร
“แต่มันก็น่าคิดอยู่นะ ทั้งที่เธอเพิ่งจะมาทำงาน แล้วเขารู้จักเธอได้ยังไง เอ๊ะ…หรือว่าเขาจะตกหลุมรักเธอ” มณีญาพูดให้เพื่อนสาวผู้ถูกเลือกได้คิด
“บ้าน่าคุณหนูมณีญา ใครมันจะไปตกหลุมรักตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า” บุปผชาติถึงกับทำหน้าไม่ถูกกับข้อสันนิษฐานที่ดูไม่มีมูลความจริง เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยมีชายใดมาตกหลุมรัก เฉิ่มๆ เชยๆ อย่างเธอใครเขาจะแล แต่ถึงจะไม่มีใครมาแลสาวเฉิ่มอย่างเธอก็หาได้เดือดร้อนไม่
“ไม่แน่นะ อะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้ ยกเว้นไดโนเสาร์เพราะมันสูญพันธุ์ไปแล้ว…อิอิ” ในตอนท้ายยังไม่วายหยอดมุกขำๆ มณีญายังไม่ล้มเลิกความคิด เพราะเรื่องนี้อาจจะเป็นดังที่ตนตั้งสมมติฐานก็ได้
“พูดไปได้เธอนี่” เสียงหวานใสว่าเพื่อนเบาๆ กับความคิดที่ดูเหมือนจะตลกซะมากกว่าที่จะเป็นความจริง แต่ถึงอย่างไรบุปผชาติก็ไม่คิดจะเก็บมันมาใส่ใจ
“แล้วถ้าเกิดเขาตกหลุมรักเธอจริงๆ ล่ะ เธอจะทำยังไง” มณีญาตั้งคำถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้เต็มอัตรา เล่นเอาคนฟังถึงกับทำหน้าไม่ถูก
“เราก็จะบอกเขาว่า อย่างเขาแถมเครื่องบินให้ด้วยเราก็ไม่เอา เพราะเหม็นขี้หน้าตั้งแต่ยังไม่รู้จัก” สาวน้อยจอมอัจฉริยะรีบตอบกลับด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ ว่าตนจะไม่มีวันรับไมตรีจิตจากคนพรรค์นั้นอย่างแน่นอน
“ฮะๆๆ ระวังเถอะยัยแก้ม เขาอาจจะเป็นเนื้อคู่ที่ฟ้าประทานมาก็ได้” คนฟังหัวเราะลั่นด้วยความชอบอกชอบใจ ที่ยัยเฉิ่มปฏิเสธคนหล่อซะไม่มีชิ้นดี
“โอ้ย…หยุดพูดเรื่องนี้ซักทีเถอะคุณมณีญาจ๋า เราไปทานข้าวเที่ยงกันดีกว่าไหม ฉันหิวจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว” ยิ่งพูดยิ่งชักจะไปกันใหญ่ บุปผชาติจึงตัดบท และรีบชวนเพื่อนรักไปทานข้าวแก้เซ็งกับเรื่องของนายโคที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
“โมโหหิวว่างั้น” มณีญาไม่วายลอยหน้าลอยตาล้อเลียนด้วยท่าทางทะเล้นจนน่าหยิกให้เนื้อเขียว
“เธอนี่ หยุดพูดไปเลยนะ นี่แน่ะ…นี่แน่ะ…” บุปผชาติแสร้งเอ็ด ครั้นทนไม่ไหวก็วิ่งไล่ตีเพื่อนรัก ด้วยความหมั่นไส้กับความช่างแกล้งของอีกฝ่าย
“โอ้ย…ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย สาวเฉิ่มจะฆ่าฉัน” มณีญาซอยเท้าวิ่งหนี พร้อมทั้งร้องเสียงดังไปตามโถงทางเดิน ด้วยความสนุกสนาน
“เดี๋ยวเถอะยัยมณี เธอจะได้ตายเพราะมือสาวเฉิ่มอย่างเราจริงๆ หรอก ถ้ายังไม่หยุดล้อ” สาวเฉิ่มแกล้งส่งเสียงเข้มไปขู่สาวเชยบ้าง
“โหดอะ ยัยเฉิ่มใจร้าย จะฆ่าเพื่อนจริงๆ เหรอ” มณีญาหันมาทำตาปริบๆ ให้ดูน่าสงสาร พร้อมทั้งตัดพ้อต่อว่าบุปผชาติอย่างไม่จริงจังนัก
“โอ๋…โอ๋…ใครจะฆ่าเพื่อนรักปากดีอย่างแม่มณีได้ลงคอล่ะจ๊ะ” คนแสร้งขู่รีบคว้าหมับเข้าที่ลำคอระหงของอีกฝ่าย แล้วพูดปลอบใจแกมหยอกเย้า
“ปากหวานอย่างนี้ต้องให้รางวัล” มณีญาแม่สาวเชยแต่แอบแก่นเซี้ยวตบก้นเพื่อนซี้เบาๆ เป็นรางวัลไปหนึ่งที แล้วทั้งสองก็ไล่หยอกกันอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะของยัยเฉิ่มและยัยเชยประจำบริษัท ที่วิ่งไล่หยอกล้อกัน ดังไปทั้งโถงทางเดินสู่โรงอาหาร ทำให้คนที่เดินสวนไปมาถึงกับต้องมองเหลียวหลังหรือไม่ก็ขยี้ตา ด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นและหูได้ยิน เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าสองสาวออกจะเรียบร้อย นิ่งเย็น และดูจืดชืด ไม่น่าจะมีอารมณ์สุนทรีได้แบบนี้ แต่พอมองภาพที่ดูมีชีวิตชีวาก็ทำให้หลายๆ คนเอ็นดูในตัวทั้งสองขึ้นมาเป็นกอง
ตกเย็นบุปผชาติก็ยังไม่สบายใจ ในเรื่องที่ตนต้องไปทำงานกับชายแปลกหน้า ที่ดูมีลับลมคมใน จึงโทรศัพท์มาระบายกับบิดา ท่านคือเพื่อนคู่คิดที่รู้ใจเธอมากที่สุด ไม่มีใครจะประเสริฐมากกว่าป๊ะป๋าของเธออีกแล้ว เพราะท่านเป็นทั้งครอบครัวและคนสำคัญมากที่สุดในชีวิตของบุปผชาติ
“ฮัลโหลสวัสดีครับ” นายบริรักษ์เห็นเบอร์แปลกโทรเข้ามาก็กรอกเสียงลงในสายด้วยท่าทีสุภาพ
“สวัสดีค่ะ ขอสายคุณบริรักษ์สุดหล่อค่ะ” น้ำเสียงใสแจ๋วไม่วายเย้าบิดาในตอนท้าย
“ใครน่ะ ยัยแก้มเหรอลูก” คนเป็นพ่อรีบละล่ำละลักถามไถ่ เพื่อให้แน่ใจว่านั่นใช่ลูกสาวของตนจริงๆ ไม่ใช่แค่หูฝาดไปเพราะความคิดถึง
“ใช่แล้วค่ะป๊ะป๋า แก้มคิดถึงป๊ะป๋าจังเลย ไม่ได้คุยด้วยเกือบสองอาทิตย์แน่ะ” สาวน้อยออดอ้อนบิดาได้อย่างน่ารักน่าชัง จนคนฟังชักอยากจะบินไปหาซะเดี๋ยวนี้เลย
“ป๋าก็คิดถึงหนูมากลูก ไม่มีแก้มสักคนบ้านเราเงี๊ยบเงียบ” ตั้งแต่บุปผชาติย้ายไปทำงานที่ฝรั่งเศสบ้านดิลกรัตนกุลก็ดูเงียบเหงาลงไปเยอะเลยทีเดียว
“แหม…คุณป๋าจะบอกว่าแก้มเสียงดังใช่ไหมคะ” เธอแสร้งทำเป็นกระเง้ากระงอดใส่บิดา จนคนเป็นพ่อที่รู้เท่าทันต้องระเบิดเสียงหัวเราะกับความน่าเอ็นดูของบุตรสาว
“ฮะๆๆ ป๋าไม่ได้พูดอย่างนั้นซักหน่อย แล้วนี่หนูเอามือถือใครโทรมา ทำไมไม่ใช้เบอร์ตัวเองล่ะลูก” คนแก่รีบแก้ตัวแล้วถามไถ่ลูกสาว เพราะเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่ใช่เบอร์ที่บุปผชาติเคยใช้
“ของบริษัทค่ะจะได้ประหยัด และอยากแกล้งให้ป๊ะป๋าตกใจเล่นด้วย” คนพูดทำท่าเหมือนอยากประหยัดเสียเต็มประดา แต่ยังไม่วายซุกซนเหมือนเด็กน้อยที่ชอบแกล้งบิดา
“เซี้ยวจริงนะเรา แล้วเป็นไงลูกทำงานเหนื่อยไหม” หยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอ ผู้เป็นพ่อก็วกเข้าถามสารทุกข์สุกดิบของลูกสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ สนุกมากเลย แต่อาทิตย์หน้าคงเซ็งน่าดู” น้ำเสียงต้นประโยคดูตื่นเต้นและแสดงออกว่าสนุกไปกับมันจริงๆ แต่ท้ายประโยคกลับแผ่วลง จนผู้เป็นพ่อต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน
“อ้าว…ทำไมล่ะลูก” นายบริรักษ์รีบถามไถ่อีกฝ่ายถึงสาเหตุที่ทำให้เธอทำเสียงอ่อยๆ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ
“ก็มันมีบริษัทคู่ค้ารายใหญ่อยากให้แก้มไปออกแบบรถสปอร์ตให้น่ะสิคะ” หญิงสาวบอกเล่าให้บิดารับฟังด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
“งั้นก็ดีน่ะสิ ลูกสาวของป๋าจะได้มีโอกาสแสดงฝีมือ แล้วแก้มเซ็งอะไรล่ะลูก” ผู้เป็นพ่อกล่าวด้วยความยินดี แต่ก็ยังสงสัยว่าลูกไม่ชอบใจอะไรกับงานที่จะได้ทำ ทั้งที่บุปผชาติไม่เคยเกี่ยงกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอยู่แล้ว ถึงจะถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจ แต่เธอก็มีวินัย รู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ของตนไม่เคยขาดตกบกพร่อง
“แก้มรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลยังไงก็ไม่รู้ค่ะป๊ะป๋า” น้ำเสียงของสาวเจ้าดูมีแววกังวลจนผู้รับฟังสัมผัสได้
“เหรอลูก แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะ” คนแก่ทำใจเย็นถามความคิดเห็นจากสิ่งที่ลูกน่าจะวิเคราะห์มาแล้ว
“ไม่รู้สิคะ แต่หนูรู้สึกไม่สบายใจ ก็เลยโทรมาหาป๊ะป๋านี่แหละค่ะ” บุปผชาติก็ไม่แน่ใจ เพราะยังไม่เคยเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผู้ที่ทำให้เธอหนักใจมาก่อน
“งั้นกลับบ้านเราดีไหมลูก ป๋าจะไปรับ” คนเป็นห่วงลูกสาวคิดจะตะล่อมให้เธอกลับเมืองไทยทันควัน
“ไม่ค่ะ แก้มคิดว่าแก้มสามารถจัดการทุกอย่างได้ สบายมาก คุณป๋าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เสียงหวานปฏิเสธทันควัน หากยอมแพ้ด้วยเรื่องขี้ประติ๋วแค่นี้ก็เสียชื่อคนอย่างบุปผชาติหมดน่ะสิ ไม่ได้…เธอจะต้องไม่ยอมแพ้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง สาวเฉิ่มได้แต่เตือนสติตัวเองในใจ
“แต่ถ้ามีอะไรร้ายแรง หนูต้องรีบบอกป๋านะลูก” คนเป็นห่วงลูกยังคงย้ำว่าหากมันหนักหนาสาหัสคนแรกที่เธอจะต้องคิดถึงก็คือคนเป็นพ่ออย่างเขา
“ค่ะ อุ๊ย…คุณป๋าขา ได้เวลาทำงานแล้ว วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะคะ แก้มรักป๊ะป๋านะคะ บ๊ายบายค่ะ จุ๊บๆ” ดวงตากลมโตเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเรือนงาม ก่อนจะกล่าวอำลาบิดาและกดตัดสายทันที
ตู้ดๆๆ…
“เดี๋ยวสิลูก ยัยแก้ม ฮัลโหล วางสายไปซะแล้ว” นายบริรักษ์ว่าจะถามลูกสาวถึงชื่อคนที่เธอจะไปทำงานให้ซะหน่อย เผื่อจะได้วานให้เพื่อนไปสืบเรื่องราวให้ เพราะเป็นห่วงลูกสาว แต่คนโทรมาดันวางสายซะก่อนเลยยังไม่รู้เรื่องเลย
หลังจากที่ได้คุยกับบุตรสาวแทนที่นายบริรักษ์จะสบายใจกลับรู้สึกกลัดกลุ้ม เพราะเป็นห่วงและเป็นกังวลสารพัด ครั้นอยากจะให้เพื่อนที่อยู่ทางโน้นช่วยเป็นธุระสืบให้ ลูกก็ดันวางสายไปซะก่อน ผู้เป็นพ่อจึงได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่คนเดียว ร่ำๆ ว่าจะไปรับตัวกลับเมืองไทยซะเดี๋ยวนี้ แต่ยัยเฉิ่มจอมดื้อของเขาคงไม่ยอม ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเห็นเรียบร้อยน่ารักอย่างนั้นเวลาดื้อก็เอาเรื่องเหมือนกัน
บริษัทที่บุปผชาติทำงานอยู่ต้องขอยืดเวลากับมาร์โค ดิมิเทียส ขอร้องว่าอีกหนึ่งเดือนถึงจะส่งตัวเธอไปให้ทางนั้น เพราะต้องการให้สาวเจ้าได้เรียนรู้การทำงานจริงของเครื่องยนต์กลไกที่ประกอบอยู่ภายในรถสปอร์ตซะก่อน ซึ่งคนเลือดร้อนเช่นมาร์โคก็ตอบตกลงง่ายดายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ที่ยอมลงให้ง่ายๆ เพราะเขาถือคติที่ว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ในเมื่อรอเธอมาตลอดชีวิตเขายังรอได้ แล้วถ้าต้องรออีกหน่อยจะเป็นไรไป มาร์โคมั่นใจว่าเธอคือคนที่ใช่ และคนอย่างเขาก็ไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อน
เมื่อฝ่ายมาร์โคตอบตกลงมาอย่างนั้น ทางบุปผชาติจึงต้องเร่งมือเรียนรู้งานเกี่ยวกับโครงสร้างและเครื่องยนต์กลไกของรถสปอร์ต โดยยึดเอาความรู้ที่ได้เรียนมาและใช้ได้จริงเป็นหลัก สิ่งที่ต้องเรียนรู้เหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่สำหรับเธอเลยสักนิด แต่มันแค่ผ่านมานานจึงต้องเอาความรู้ที่เคยร่ำเรียนมาปัดฝุ่นใหม่
ในระหว่างระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ หากสาวน้อยสงสัยอะไรก็จะพยายามซักถามจากทีมงานวิศวกรให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเธอต้องการให้ผลงานที่เกิดจากฝีมือของตัวเองล้วนๆ ออกมาดีไม่มีที่ติ และลูกค้าไม่สามารถมาตำหนิได้ในภายหลัง