ตอนที่12.ทางที่ต้องเลือก

2448 Words
ตอนที่12.ทางที่ต้องเลือก “ไม่คิดจะบอก ‘พ่อของลูก’ จริงๆ เหรอ?” เขตคามอดถามน้องสาวไม่ได้ ฉันส่ายหน้า ยิ้มจางให้พี่ชาย “ตอนนี้ยังไม่คิด ในอนาคตอาจต้องบอกค่ะ” ช่วงนี้เหตุการณ์หลายอย่างยังคลุมเครืออยู่ บางทีการปิดหูปิดตาไม่รับรู้เรื่องราวสะเทือนใจก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับตัวฉัน “แม่นั่นไม่ได้ท้องหรอกนะ” เสียงพี่ชายเปรยลอยๆ “เฮียหมายความว่าไงคะ?” ฉันย้อนถามพร้อมกับขมวดคิ้วจนแทบเป็นรูปโบว์ขนาดใหญ่ “ชุติภาผ่านอะไรมาเยอะแยะ หล่อนไม่น่าโง่ขนาดปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อจับผู้ชายหรอก” ฉันฟังแล้วคิดตาม มีความเป็นไปได้ ที่ผู้หญิงคนนั้นยกข้ออ้างเช่นนี้มาเพื่อให้นวินเป็นอิสระจากฉัน แต่ผู้หญิงคนนั้นจะได้อะไรละ ในเมื่อครอบครัวขรินทร์ทิพย์เองก็กลวง ไม่ต่างอะไรกับจิรวินของชุติภา “คิดหนักเลยสิ จะกลับไปหาหมอนั่นไหม หากเขาขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้” เขตคามถามเพื่อประเมินสถานการณ์ “ไม่ค่ะ” หลังทบทวนพักใหญ่ คำตอบที่ได้ทำให้คนเป็นพี่พอยิ้มออก “การที่เราผิดพลาดไปครั้งหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเราจะเริ่มต้นใหม่ไม่ได้นะยัยเขม” เขตคามเตือนเพราะความหวังดี “เฮียละ ไม่คิดจะมีเมียบ้างเลยเหรอคะ?” ฉันย้อนถาม อารมณ์ผ่องใสขึ้น “เนื้อคู่เฮียยังไม่เกิดมั้ง” เขตคามเองก็รู้สึกแปลกใจ เขาไม่เคยรู้สึกประทับใจผู้หญิงคนไหนมาก่อน ความรู้สึกแสนพิเศษนั่นหน้าตาเป็นยังไง เขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน ฉันอมยิ้ม รู้สึกปลอดโปร่งครั้งแรก ในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลนี่ ฉันมีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่าง อย่างแรกคือฉันต้องแข็งแรง ไม่อย่างนั้นฉันจะปกป้องคนที่ฉันรักไม่ได้ “โตแล้วมีอะไรให้บอกกันตรงๆ อย่าตัดสินใจเองคนเดียว จำไว้นะยัยเขม เรามีเฮีย มีพ่อแม่ มีคนที่รักเราอีกมากมาย” ฉันซึ้งใจจนน้ำตาซึม ประสบการณ์ครั้งนี้จะเป็นบทเรียนชั้นดี ฉันใช้ชีวิตอยู่ในความฝันมากเกินไป โลกใบนี้ไม่ได้สวยงามและเต็มไปด้วยสีสันสดใสเหมือนที่ฉันคิด ในมุมอับของชีวิต มีทั้งสีเทา และสีดำที่ฉันยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ “แม่ครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” พอกลับถึงบ้าน นวินก็เปิดฉากเจรจาทันที เขาปล่อยให้มารดาคอยบงการตัวเองต่อไปไม่ได้อีกแล้ว “จะพูดอะไรก็พูดมา ฉันมีธุระ” ฉายรวีตอบเสียงแข็ง “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป แม่ไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามที่บริษัทอีก” “ทำไมยะ บริษัทนั่นเป็นมรดกของฉันเหมือนกัน!!” ฉายรวีตวาดเสียงแหลม “ตราบใดที่บริษัทยังคงสภาพคล่องไม่ได้ ผมจะออกคำสั่งไม่ให้บัญชีอนุมัติเงินที่แม่ขอทั้งหมด” “แกคิดจะทำอะไรหะ!!” ฉายรวีเสียงแข็ง “แม่คงลืม พินัยกรรมของคุณพ่อระบุให้ผมเป็นเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิขาดในบริษัทที่คุณพ่อทิ้งไว้” นวินพูดตรงๆ เขามองสบตามารดา “แกคิดอะไรอยู่” “แม่ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ การที่บริษัทเป็นเช่นทุกวันนี้เพราะอะไร” เขาคงต้องใช้ไม้แข็ง ไม่อย่างนั้นเขาไม่น่าเหลืออะไรติดตัว หากมารดายังคงหลงใหลกับอบายมุขเช่นทุกวันนี้ “ฉันไม่ยอม แกจะฮุบสมบัติของฉันไม่ได้” “แม่คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ” หลังทบทวนพักใหญ่ ปัญหาไม่มีทางจบแน่ หากมารดายังคิดไม่ได้ “งั้นผมจะขายบริษัท เราแบ่งเงินกัน แล้วแยกย้ายเถอะครับ” ทางเลือกของเขามีไม่มาก นวินมั่นใจ เขาเองก็ใจแม่แข็งพอ เขาพอจะเดาอนาคตได้ วันไหนที่เงินมารดาหมด เขาก็คงอดยื่นมือไปช่วยมารดาไม่ได้ “แกคิดจะทิ้งฉัน” “ผมไม่ได้ทิ้งแม่ แม่โตกว่าผม ประสบการณ์เยอะกว่าผม ผมสอนแม่หรือห้ามแม่ไม่ได้สักอย่าง ผมเลยคิดว่า เราห่างๆ กันดีกว่า วันไหนที่แม่คิดได้ ผมจะกลับมารับแม่เอง” “แกจะไปหน?” “ไปไหนก็ได้ครับ ที่แม่จะไม่มีทางหาผมเจอ” “แล้วหนูภาละ แกจะทิ้งหนูภาด้วยเหรอ” นวินยิ้มกร่อยๆ “ผมคงต้องไปคุยกับภาก่อน ผมคิดว่าผมน่าจะเดาถูก ภาเองก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับผมหรอก เรื่อง ‘ลูก’ ภาเองก็คงกุขึ้นมาเอง” “แกหมายความว่าหนูภาหลอกเราเรอะ” “ผมไม่แน่ใจครับ” “ฉันจะไปหาหนูภาเอง ต้องคุยให้รู้เรื่อง” ฉายรวีผุดลุกขึ้นยืน แต่พอดีเหลือบไปเห็นชุติภาเดินผ่านประตูหน้าเข้ามาพอดี ชุติภายกมือทำความเคารพฉายรวีตามมารยาท “ไม่ต้องไปหรอกค่ะ ภามาแล้ว ภามาลาค่ะ” “หนูภาจะลาไปไหนจ๊ะ?” ฉายรวีถามเสียงแผ่ว ท่าทางชุติภาขึงขัง “ภาจะไปอยู่เมืองนอกค่ะ ที่นี่ไม่น่าจะเหมาะกับภา” จิรวินไม่น่าเหลืออะไรให้เธอในอนาคต หลังทำข้อตกลงกับพี่ชาย ชุติภาจึงเริ่มคิดถึงอนาคตตัวเอง แต่ก็อดนึกถึงนวินไม่ได้ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้เต็มใจคบหากับเธอนัก เขาคัดค้านคำขอร้องของมารดาไม่ได้เช่นกัน “ตาวินละ” “วินละคะ ไปกับภาไหม” “ตอบผมมาก่อนภา คุณท้องจริงๆ หรือเปล่า?” นวินตัดสินใจถาม ชุติภายิ้มให้แล้วก็ส่ายหน้า นวินค่อยๆ ยิ้มออก เขาผ่อนลมหายใจยาวเหยียด “ผมคงไม่ไปกับคุณ แต่ผมก็จะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” ปัญหาของนวินกับชุติภาค่อนค้างคล้ายกัน หนึ่งในสมาชิกของครอบครัวหลงใหลอบายมุข ที่มีแต่ทำลาย ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้เลย ในเมื่อห้ามไม่ได้ สั่งสอนก็ไม่ได้ ทางเลือกสุดท้ายก็คงเหลือแค่...ทางใครทางมัน “คุณกับภา ควรเริ่มต้นใหม่ แบบไม่มีใครคอยเกาะแข้งเกาะขาค่ะ” พอเมฆหมอกที่บดบังสายตาถูกลมพัดผ่านไป ดวงตาที่พร่ามัวก็เริ่มเห็นทุกอย่างรอบตัวได้ชัดขึ้น ฉายรวีสะบัดหน้าใส่ “อยากทำอะไรก็ทำเถอะ” จากนั้นก็กระแทกเท้าเดินจากไป “ไม่คิดจะห้ามแม่คุณหน่อยเหรอคะ” นวินยิ้ม “ก็เหมือนคุณที่ไม่ห้ามพี่ชายมั้งครับ” “น่าเสียดายเงินที่พวกเขาเอาไปละลายในบ่อนนะคะ” ชุติภาพึมพำ “สักวันพวกเขาจะรู้ตัว หวังว่าในอนาคตพวกเขาจะสำนึกได้นะครับ” “นั่นสิคะ โตๆ กันแล้ว ไม่มีอะไรต้องเตือน” 3ปีผ่านไป... เด็กหญิงอายุสองขวบผิวขาวรูปร่างอวบอ้วนวิ่งเล่นกลางสนามหญ้า สวนสาธารณะในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผู้คนค่อนข้างหนาตาเป็นพิเศษ คงเพราะความน่ารักไร้เดียงสา ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาเลยอดมองตามไม่ได้ อากาศช่วงเช้าอุณหภูมิยังไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่เพราะวิ่งเล่นนานแล้ว ผิวแก้มทั้งสองข้างเลยขึ้นสีจัด “หม่ามี้ขา” เด็กหญิงเขียนฝันวิ่งตุ๊บตับตรงไปหามารดา ฉันอ้าแขนรับร่างอวบอ้วนที่โถมใส่ “เหนื่อยแล้วเหรอคะ?” “ม่ายเหนื่อย ฝันแค่หิวน้าม” เขียนฝันซุกหน้ากับอกมารดา แล้วออดอ้อนเสียงหวาน “หม่ามี้มีแต่น้ำไม่เย็นนะคะ” ฉันควานมือหยิบขวดน้ำเก็บความเย็น ซึ่งพร่องไปเกือบหมดตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน “มากินน้ำเย็นที่ลุงนี่มายัยฝัน” เสียงแหบห้าวดังขึ้นใกล้ๆ ฉันเงยหน้ามองแล้วก็เผลอยิ้มให้ ผ่านมาสามปี ตอนนี้พี่ชายฉันเริ่มมีสีชมพูในหัวใจ ด้านข้างพี่ชายมีผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาน่ารักตามติดไม่ห่าง “น้าฟ้าก็มาล่วยเหรอคะ?” เขียนฝันผละห่างอกมารดาแล้วก็รีบซักถามคนมาใหม่เสียงเจื้อยแจ้ว “ต้องมาสิ วันนี้วันหยุด น้าฟ้าต้องมาฝึกฝีมือกับคุณยายไง” ฉันอมยิ้ม ฉันเคยเห็นพี่ชายเคี่ยวเข็นผู้หญิงคนนี้เรื่องงานครัว เขาเป็นคนช่างเลือก เรื่องเยอะ ไม่คิดว่าจะสะดุดใจกับผู้หญิงน่ารักและเด็กอย่างนี้เข้า ฉันอดสงสารผู้หญิงที่กำลังจะกลายมาเป็นพี่สะใภ้ของฉันไม่ได้ “เฮียรู้ว่าแกแอบนินทาเฮียในใจนะยัยเขม” พี่ชายฉันกัดฟันพูด “สงสารเด็ก ไม่น่าถูกคนแก่หลอกได้เลย” ฉันพึมพำตอบ “ยัยเขม เฮียอายุแค่สามสิบห้าเองนะ” เขตคามเถียงเสียงแข็ง “แก่...” ฉันพึมพำตอบ “เออ...ระวังตัวเองเถอะ จะได้คนแก่กว่าเฮียเป็นผัว” เขตคามตอกกลับเสียงกระหึ่ม “อย่ามาแช่งเขมนะ” ฉันตะคอกกลับ “เห้ย!! จี้ใจดำหรือไง ไอ้หน้าโง่คนไหนมาสนใจแกวะยัยเขม” คงเพราะช่วงหลังๆ เขาตามตอแยปลายฟ้า เลยทำให้ห่างเหินกับน้องสาวไปบ้าง “ไม่ใช่สักหน่อย” ฉันพึมพำตอบ ไม่กล้ามองสบตาพี่ชาย “แกโตแล้ว เฮียไว้ใจแก ครั้งนี้แกไม่มีทางตัดสินใจผิดพลาดแน่ๆ” ครอบครัวยังเป็นเซฟโซนที่ดีกับฉันที่สุด ฉันผ่านวันคืนที่โหดร้ายมาได้เพราะครอบครัวแท้ๆ ฉันยิ้มให้กับตัวเอง ครั้งนี้ฉันจะไม่ด่วนตัดสินใจ ฉันควรให้เวลาทั้งตัวเอง และอีกคนที่คิดจะมีชีวิตร่วมกัน ฉันมันคนมีอดีต ฉันเลยต้องทบทวนตัวเองให้เยอะกว่าเก่า “เขมมีประสบการณ์แล้ว ครั้งนี้เขมจะไม่รีบ” ฉันตอบพี่ชายเสียงผสมความมั่นใจ หมดเวลาที่ฉันจะโยนปัญหาของตัวให้คนอื่นช่วยแบกไว้ ฉันควรคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะหากผิดพลาดขึ้นมา ฉันจะได้ไม่ฟูมฟายมากเกินไป ในเมื่อฉันเป็นคนตัดสินใจเอง แต่แล้วหางตาฉันก็เห็นอะไรบางอย่าง ฉันขยี้เปลือกตาแรงๆ สิ่งที่ฉันเห็นก็ยังคงเหมือนเดิม ฉันถอนใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเวทนาสิ่งที่เห็น ความจริงฉันรู้มาสักพักแล้วแหละ แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอด้วยตัวเอง ผู้หญิงสูงวัยสภาพน่าเวทนา นอนซมอยู่กลางพื้นหญ้าเนื้อตัวสกปรกมอมแมม “ไม่คิดว่าจะลงเอยแบบนี้เลยนะ” พี่ชายฉันก็คงเห็นเช่นกัน “เราควรช่วยเขามั้ยคะเฮีย?” ฉันรู้สึกสงสาร อยากช่วยอะไรเขาสักหน่อย อย่างน้อยก็ช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้หญิงคนนั้น “อย่าสนใจเลย เขาไม่ได้ตัวคนเดียวสักหน่อย เขามีลูกมีเต้านะ เราน่ะคนนอก” ฉันไม่ได้ข่าวของนวินเลย คงเพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายเรื่องของตัวเอง ช่วงชีวิตที่วุ่นวายนี่ทำให้ฉันใส่ใจคนรอบข้างน้อยลง เขียนฝันดึงเวลาของฉันไปทั้งหมด และฉันก็ยินดียกให้ ฉันยังไม่ทิ้งอาชีพเดิมนะ ฉันยังคงทำตัวสมถะเหมือนเดิม พอเขียนฝันมีอายุได้ปีครึ่ง ฉันก็กลับไปเปิดร้านกาแฟใหม่ แต่คราวนี้ฉันไม่ทำตัวห่างเหินกับครอบครัว ฉันยอมรับความช่วยเหลือของครอบครัวด้วยความเต็มใจ แม่ของฉันส่งพี่เลี้ยงเด็กมาให้ วันไหนที่คิดถึงหลานมากๆ ก็โผล่หน้ามาช่วยฉันเลี้ยง แถมตอนนี้กลายเป็นแม่ครัวทำขนมอบให้กับร้านคาเฟ่เล็กๆ ของฉันอีกทาง มีลูกค้าชมให้เข้าหู จากอาทิตย์หนึ่งมาที กลายเป็นหนึ่งอาทิตย์ แม่ฉันจะมาทำขนมอบให้ที่คาเฟ่ฉันสามวัน บิดาที่รักสงบเลยอยู่ไม่สุข คาเฟ่เล็กๆ ของฉันเลยมีทั้งแม่ครัวและคนสวน ใช่ค่ะ...ต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกไว้ประดับคาเฟ่ของฉัน พ่อฉันอาสาดูแลให้ฟรีๆ แถมลามเข้าไปในบ้านหลังเล็กของฉันด้วย ซึ่งฉันก็ไม่ได้ห้ามอะไร ความสุขที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ฉันจะปฏิเสธทำไมละ ฉันไม่เคยเหงา ไม่เคยต้องเศร้าอีกแล้ว ฉันมีลูก มีพ่อ แม่ มีพี่ชายคอยอยู่ใกล้ตาจนไม่เคยคาดหวังเรื่องของตัวเองอีกเลย “กลับบ้านกันเถอะ ผมหิวแล้ว” พี่ชายฉันตะโกนดึงความสนใจจากคนรอบตัวได้อย่างดี ปลายฟ้าจูงมือเขียนฝันเดินกลับมาหยุดตรงหน้าแล้วก็บ่นพึมพำ “ทำไมชอบทำตัวเป็นคนแก่ขี้โวยวายจังคะ” ฉันอดหัวเราะไม่ได้ คำว่าแก่พี่ชายฉันไม่อยากได้ยินเลย แต่เขาหรือจะห้ามแม่สาวตรงหน้าได้ “ฝัน หิวยังคะลูก” ฉันรวบกอดบุตรสาวยกขึ้นมาอุ้ม “โอ้ย!! หลังหม่ามี้จะหักมั้ยคะ” ฉันแสร้งบ่นไปอย่างนั้นเองหากให้ฉันอุ้มบุตรสาวเช่นนี้ทั้งวัน ฉันก็คงต้องอุ้มได้โดยไม่มีข้อบิดพลิ้ว “หม่ามี้!!” เขียนฝันโวยวายเสียงแหลม ฉันจรดปลายจมูกที่พวงแก้มด้านซ้าย เสียงโวยวายเลยสงบลง “ส่งยัยฝันมาเถอะ เฮียอุ้มแทนให้เอง” น้ำหนักตัวที่เพิ่มจนเกินพิกัดของหลานสาว เขตคามเลยอดห่วงน้องสาวไม่ได้ “เฮียต้องไปส่งคุณฟ้าก่อนไม่ใช่ไง” เขตคามยื่นหน้าเข้าไปใกล้น้องสาวแล้วกระซิบเบาๆ “ป่านนี้แม่กับพ่อมารอที่บ้านแกแล้วมั้งยัยเขม” ฉันผงะหลบ “ไม่เห็นมีใครบอกเขมเลย” “แม่กับพ่ออยากรู้จักคุณลุงลูกค้าประจำแกไง” ฉันหันไปแสยะแยกเขี้ยวใส่พี่ชาย “เฮียหาเรื่องให้เขมแล้วไงคะ ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรกับเขมเลย เขมคงเสียลูกค้าประจำวันนี้แหละ” ฉันแก้ตัวเสียงอุบอิบ “เสียลูกค้าแค่คนเดียว ยอดขายร้านแกไม่ตกหรอกน่า” เขตคามสัพยอก ลูกค้าหน้าแก่ที่เทียวไล้เทียวขื่อจนเขาอดเป็นห่วงน้องสาวไม่ได้ หลังสืบประวัติและปูมหลัง เขตคามไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะมีความน่าสนใจเช่นนี้ได้ หากเป็นพรมหมลิขิตจริงๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความยินดี อย่างน้อยในอนาคตอันใกล้นี้ เขาก็หมดห่วงน้องสาวได้อย่างแท้จริง ‘ความสวยงามไม่ได้ก่อเกิดความรักที่ดี แต่ความรักที่ดีก่อเกิดความสวยงามเสมอ’ จบบริบูรณ์
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD