เมื่อเดินเข้ามาด้านหลังร้าน ก็เห็นมิรินกำลังวุ่นวายกับการจัดของใส่กล่องลังใบใหญ่ สงสัยจะเป็นของที่จะเอาไปบริจาค มีทั้งเสื้อผ้า อาหารแห้งและอื่นๆ อีกมากมาย
“พี่มิริน เรซหาผู้ช่วยมาให้ล่ะ” ราเรซเดินเข้าไปบอกลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง
มิรินหันมามองหน้าผม พร้อมรอยยิ้ม แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแหละ รอยยิ้มแสนสวยนั้นก็หายวับไปในทันตา สงสัยจะยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่แฮะ ชกแค่หมัดเดียวเอง มันจะเจ็บสักแค่ไหนกันเชียว
มิริน
ตอนนี้ฉันกับบัวตองกำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับพี่เฟยอยู่ที่บ้านของเขา ฉันลากบัวตองมางานด้วยเพราะไม่อยากมาคนเดียว ถึงแม่กับคุณตาจะมาด้วยก็เถอะ สักพักพวกท่านก็ต้องไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ ร่วมธุรกิจของตัวเองกัน
“จะลากฉันมา เพื่อ!!” บัวตองหันมาบ่นฉันด้วยใบหน้าที่เซ็งสุดๆ
“ก็ถ้ามาคนเดียวฉันก็จะเซ็งแบบแกนี่ไง” ฉันหันไปตอบบัวตองด้วยความรู้สึกเหมือนกัน
“มิรินมานี่หน่อย” แม่เฌอรีนโบกมือเรียกให้ฉันเดินไปหา ซึ่งแม่กำลังคุยกับพ่อแม่ของพี่เฟยและตัวพี่เฟยด้วย ไม่อยากเดินไปหาแม่เลยแฮะ ฉันหันไปมองเพื่อนอย่างขอความช่วยเหลือ บัวตองก็ส่ายหน้ากับมาอย่างปลงๆ เพราะเพื่อนก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ฉันจำต้องเดินไปหาแม่ด้วยใบหน้าที่แสนจะเบื่อหน่ายสุดๆ
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย” พอฉันเดินไปถึง แม่ก็กระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่แอบดุมานิดๆ ฉันจำต้องปั้นหน้ายิ้มส่งไปให้พ่อแม่ของพี่เฟยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“หนูมิรินยิ่งโตยิ่งสวยนะเนี้ย” แม่พี่เฟยชม
“มิน่าล่ะ เฟยถึงได้พูดแต่เรื่องของเราไม่หยุด” พ่อพี่เฟยบอก
“เรื่องอะไรเหรอคะ” แม่เฌอรีนถาม
“เหมือนว่าตาเฟยจะชอบน้องเข้าให้แล้วล่ะค่ะ” แม่พี่เฟยตอบพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับลูกชาย ซึ่งพี่เฟยก็ยิ้มให้อย่างเขินอาย นี่เล่นเองแล้วเขินเองเหรอ เป็นกันทั้งบ้านเลยหรือไง ฉันสิ...ที่ต้องเป็นคนรู้สึกเขิน แม่เฌอรีนหันมายิ้มให้ฉันอย่างพอใจ ก็แง่ล่ะ ได้ใจแม่ฉันเต็มๆ
“เดี๋ยวขอตัวไปดูแขกทางด้านโน้นก่อนนะคะ” แม่พี่เฟยบอกกับแม่เฌอรีน แล้วพ่อแม่ของพี่เฟยก็เดินไปดูแขกอีกทาง แต่ว่าพี่เฟยกลับไม่เดินตามพ่อแม่ของตัวเองไป เขาเอาแต่ยืนส่งยิ้มมาให้ฉันไม่หยุด
“คุยกันไปก่อนนะ” แล้วแม่ของฉันก็รีบหลบฉากไปทันที ฉันรู้นะ..ว่าแม่จงใจเดินหนี เพราะอยากให้ฉันได้คุยกับพี่เฟยสองคน
“น้องมิรินครับ อาทิตย์หน้าว่างหรือเปล่า พี่อยากจะชวนไปเที่ยวทะเล พี่อยากจะไปพักผ่อนสักหน่อย ก่อนที่จะเข้าไปรับช่วงต่อจากคุณพ่อที่บริษัท เพราะถ้าพี่ได้ทำงานแล้ว กลัวว่าจะไม่มีเวลาให้น้องมิรินนะครับ” นี่เขากะจะพูดอยู่คนเดียวเลยหรือไง ไม่เหลือช่องว่างให้ฉันได้พูดเลย
“อาทิตย์ มิรินไม่ว่างค่ะ ที่มหาลัยมีกิจกรรม” รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกชะมัดที่ลงชื่อไปค่ายครั้งนี้
“งั้น รอน้องมิรินกลับมาก่อนก็แล้วกัน” พี่เฟยบอก ยังจะมารอฉันอีกเหรอ ไม่มีฉัน ไปไม่ได้หรือไง แบบนี้มันน่ารำคาญนะ...
หลังจากกลับจากงานเลี้ยงต้อนรับพี่เฟย ฉันเตรียมจะเดินขึ้นห้องทันทีที่ลงรถได้ แต่ก็เดินไปได้ไม่กี่ก้าว แม่เฌอรีนก็เรียกฉันไว้ก่อน
“มิริน มาคุยกับแม่หน่อย” แม่เดินนำฉันมายังห้องนั่งเล่น ซึ่งฉันก็เดินตามแม่ไปอย่าง งงๆ ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร
“มีอะไรคะ” ฉันเดินไปนั่งที่โซฟาตรงกันข้ามกับแม่
“อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ ว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เกิ่นมาขนาดนี้ฉันก็พอจะรู้แล้วล่ะ ว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร
“ใครบอกแม่ค่ะ” ใครกัน ชั่งคาบข่าวมาฟ้อมแม่ฉันได้
“พี่เฟยเล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว ว่าโดนราเรซแกล้ง”
“สองคนนี้ก็ไม่ถูกกันแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ค่ะ แม่ก็น่าจะรู้” ไม่รู้แม่จะมาบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา ราเรซกับพี่เฟยไม่กินเส้นกันตั้งแต่เด็กๆ แล้วนิ ยังจะสงสัยอะไรอีก
“คนที่ต่อยพี่เฟย ชื่อโต้งใช่ไหม”
“แม่ค่ะ พี่เฟยไปพูดไม่ดีกับเขาก่อนนะ” ฉันพยายามอธิบายให้แม่ฟัง
“แล้วจำเป็นต้องชกต่อยกันด้วยเหรอ มันแสดงถึงความเป็นอันธตพาลนะ ราเรซก็อีกคน ทำไมถึงได้คบเพื่อนแบบนี้ก็ไม่รู้ ตอนเรียนมัธยมราเรซก็ไปมีเรื่องกับเด็กต่างโรงเรียนเพราะเพื่อนคนนี้ไม่ใช่เหรอ ยังจะคบต่ออยู่ได้ ถ้าแม่เป็นไลลานะ แม่จะสั่งห้ามไม่ให้ราเรซคบเพื่อนแบบนี้เลย”
“งั้นก็โชคดีของราเรซล่ะคะ ที่เขาไม่ใช่ลูกแม่”
“มิริน!!” แม่ตะโกนเรียกชื่อฉันเสียงดังลั่นด้วยความไม่พอใจที่ฉันแอบประชด
“มิรินไปนอนบ้านพ่อนะคะ”
พูดจบฉันก็เดินออกมาจากบ้านทันที เสียงแม่ตะโกนไล่หลังมาซึ่งฉันได้ยินไม่ถนัดหรอก เพราะเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว ฉันขับรถออกจากบ้านทันที
ฉันกับแม่มักจะทะเลาะกันแบบนี้เป็นประจำ แม่ไม่เคยฟังเหตุผลของฉันเลย ไม่เคยเข้าใจฉันด้วยซ้ำ วันนี้คงต้องไปนอนบ้านพ่อก่อน เอาไว้แม่อารมณ์ดีแล้วค่อยกลับบ้านก็แล้วกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น.....
“อร่อยไหมลูก” เสียงผู้ชายวัยสามสิบกว่าๆ ถามขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“อร่อยที่สุดเลยค่ะ” ฉันยิ้มให้กับผู้เป็นพ่อ ซึ่งท่านเป็นคนทำอาหารเช้ามื้อนี้ให้ฉันทาน
“กินเยอะๆ เลยนะ มิรินดูผอมไปนะลูก” พ่อบอก
“อาหารที่บ้านคุณตาไม่อร่อยเท่าฝีมือพ่อนิค่ะ”
“ไม่ต้องมาพูดเอาใจพ่อเลย รีบๆ กินเข้า พ่อจะเข้าบริษัทล่ะ”
“ค่ะ”
เมื่อทานอาหารเช้ากับพ่อเสร็จ ฉันก็ขับรถออกมายังห้างสรรพสินค้า เพื่อมาดูร้านเสื้อผ้าของตัวเอง ฉันกะว่าจะนำเสื้อผ้าในร้านไปบริจาค ต้องหาตัวช่วยสักหน่อย ทำคนเดียวคงไม่เสร็จแน่ๆ ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งไลน์ไปหาน้องชาย
มิริน : เรซ
ราเรซ : ว่า
มิริน : วันนี้ว่างไหม
ราเรซ : มีไร ก็บอกมาเลย
มิริน : มาช่วยพี่แพคของไปบริจาคหน่อย
ราเรซ : ก็แค่เนี้ย
เมื่อหาตัวช่วยได้แล้ว ฉันก็เดินลงจากรถไปยังร้านเสื้อผ้าของตัวเองทันที ฉันเดินเข้ามาในร้านพนักงานต่างก็หันมาทักทายให้ด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้มาแต่เช้าเลยนะคะ” พี่แอนทักทาย
“ค่ะ พอดีว่า มานอนที่บ้านพ่อนะคะ ก็เลยย่นระยะทางได้เยอะเลย”
เพราะบ้านของคุณตาอยู่ไกลจากห้างแห่งนี้มาก บ้านของพ่อมิโน่อยู่ใกล้กว่า ขับรถไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงห้างสรรพสินค้าแล้ว
“ไหน จะให้ช่วยอะไร” ราเรซเดินเข้ามาถาม มาเร็วทันใจดีจัง สงสัยซิ่งมาเลยมั้งนั่น
“ยกอันนี้ไปไว้หน้าร้านให้หน่อย” ฉันบอกน้องให้ยกลังที่แพคเสร็จแล้วไปไว้หน้าร้าน เพื่อรอขนไปใส่รถอีกที เมื่อบอกน้องเสร็จฉันก็หันกลับมาแพคของต่อ
“พี่มิริน เรซหาผู้ช่วยมาให้ล่ะ”
ฉันหันไปมองผู้มาเยือนใหม่ ทันทีที่เห็นหน้าของโต้ง ฉันก็เผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว แต่พอมองไปที่ข้างกายของร่างสูง รอยยิ้มของฉันก็เหี่ยวเฉาลงทันที ข้างกายของโต้งมีสาวน้อยน่ารักยืนอยู่ด้วย แถมโต้งยังโอบไหล่เธออีก ใจที่กำลังฟองโตทีแรกที่ได้เห็นหน้าเขาก็พลันแฟบลงทันทีที่เห็นว่าเขาไม่ได้มาคนเดียวเหมือนอย่างเคย แล้วคำพูดที่เขาพูดเมื่อวานก็แล่นเข้าหัวของฉันโดยอัตโนมัติ จะทำอย่างที่พูดจริงๆ เหรอ
“พี่มิริน กำลังหาพนักงานเพิ่มไม่ใช่เหรอ นี่เลย น้องแก้มใส เพื่อนน้องสาวไอ้โต้งมัน น้องเขากำลังหารายได้พิเศษ” ราเรซบอก
ออ... มาหางานพิเศษทำนี่เอง ความจริงร้านของฉันคนก็เยอะแล้วล่ะ แต่ฉันคิดว่า เรื่องที่จะฝากสาวน้อยคนนี้เข้าทำงานที่นี่ คงไม่ใช้ความคิดของราเรซหรอก เพราะสาวน้อยน่ารักคนนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับราเรซ
.
.
.