ST ผับ
You were the shadow to my light Did you feel us Another start You fade away Afraid our aim is out of sight Wanna see us Alive
Where are you now Where are you now Where are you now Was it all in my fantasy Where are you now Were you only imaginary Where are you now
Atlantis Under the sea Under the sea Where are you now Another dream The monsters running wild inside of me
I'm faded I'm faded So lost I'm faded I'm faded So lost I'm faded
เสียงดนตรีเบสหนักๆ กระชากใจเหล่านักท่องราตรีทั้งหลาย ในทุกๆ ค่ำคืน ที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างหลั่งไหลเข้ามาในที่แห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย
ผมนั่งกระดกเหล้าเข้าปากไปแก้วต่อแก้ว ไม่รู้ว่าเผลอดื่มเข้าไปเยอะแค่ไหนแล้ว แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้อารมณ์ของผมยังขุ่นอยู่
“แดกให้ตาย มันไม่ตายหรอกนะ”
ราเรซแย่งแก้วเหล้าเปล่าๆ ที่ผมพึ่งกระดกเข้าปากไปเมื่อกี้ เอาไปวางไว้ห่างตัวผม การที่ราเรซแย่งแก้วไปแบบนี้ นั่นหมายความว่าผมดื่มเยอะไปแล้ว เพราะถ้าผมยังดูโอเครอยู่ ไอ้พวกนี้มันก็จะไม่ห้าม แต่ถ้าผมเริ่มดูไม่โอเคร พวกสามตัวนี้ก็จะเตรียมหิ้วผมกับคอนโดทันที
ถึงผมจะปากหมาไปหน่อย แต่ไอ้พวกนี้ก็ไม่เคยทิ้งผมเลย ในสายตาของคนอื่น พวกผมอาจจะดูหยิ่งๆนะ แต่ถ้าลองได้สัมผัสแล้วจะรู้ว่าพวกเรานั้นอ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้น? สงสัยจะเมาแล้วล่ะครับ
“มาเที่ยวทั้งที ทำหน้าแบบนี้เหรอว่ะ หมดสนุกพอดี” เลโอพูดขึ้น มันจงใจพูดใส่ผม เพราะผมทำให้บรรยากาศในโต๊ะค่อนข้างตึงเครียดนิดหน่อย
“ถ้ามึงอยากสนุก ก็ลงไปดิ้นดิ ด้านล่างนั่นแจ่มๆ ทั้งนั้นเลย” บิ๊กไบค์บอกเลโอ ซึ่งคนกะหล่อนอย่างไอ้เลโอก็ไม่มีพลาดแน่นอน มันลุกออกจากโซฟาพร้อมกับลากบิ๊กไบค์ลงไปยังฟอร์เต้นด้านล่างด้วย
“อยากแดก ก็แดกไป” ราเรซพูดขึ้น เมื่อผมเอื้อมมือไว้คว้าแก้วเหล้ามาชงใหม่พร้อมกับยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
“กูไปห้องน้ำก่อนนะ” ผมลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายถึงกับเซนิดๆ จู่ๆ พื้นก็เอียงซะงั้น
“มึงไหวป่ะเนี้ย ให้กูพาไปไหม” ราเรซถามอย่างเป็นห่วง ถ้าไอ้นี่เป็นผู้หญิงนะ ผมจะจับมันทำเมียเป็นคนแรกเลย ก็มีแต่มันนี่แหละที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผม ไม่รู้ว่ามันแสดงหรือว่าเต็มใจทำ บางทีผมก็แอบคิดนะ ว่ามันกำลังทำคะแนนอยู่...
“กูไหว เดี๋ยวมา” ผมยกมือขึ้นห้ามมันไว้ เมื่อราเรซทำท่าจะลุกขึ้นตาม
ผมเดินเซนิดหน่อยจนมาถึงห้องน้ำชาย มันก็ไม่ได้หนักอะไรมากหรอกแค่ไม่เหมือนเดิม มึนหัวอยู่หน่อยๆ พอทำธรุะส่วนตัวเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ โดยที่ไม่ทันมองอะไรก็ชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง
ตุบ!!
“ว๊าย!!”
“โทษที ไม่ทันมอง” ผมขอโทษเธอไป โดยที่ไม่ได้สนใจมองหน้าเธอเลย เพราะมันค่อนข้างมืดก็เลยมองไม่ค่อยเห็น
“โต้ง...” เสียงผู้หญิงที่ผมเดินชนเมื่อกี้เรียกชื่อผม
“รู้จักกันเหรอ” ผมพยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดนี้ เพื่อให้เห็นหน้าของเธอคนนี้ชัดๆ
“น้ำหวานเอง” เธอบอกชื่อตัวเอง
“ออ... ขอตัวก่อนนะ”
“เดี๋ยวสิ!”
ผมกำลังจะก้าวเดินหนีก็ต้องชะงัก เมื่อน้ำหวานยื่นแขนเข้ามาเกาะแขนของผมไว้ เธอพยายามเบียดหน้าอกหน้าใจของตัวเองถูไถไปมากับลำแขนของผม อยากได้ผมล่ะสิ...
“มีไร” ผมหันกลับมาถามน้ำหวาน เพราะตอนนี้เริ่มยืนไม่อยู่ล่ะ สมองมันตือไปหมด
“ไปหาที่คุยกัน”
ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร น้ำหวานก็ลากผมออกมายังลานจอดรถใต้ดินของผับ เธอผลักผมเข้ามายังซอกมุมอับ แล้วก็ตามมาด้วยร่างบางที่พยายามเบียดร่างกายของเธอเข้ามาเสียดสีกับร่างกายของผมให้ได้มากที่สุด ใบหน้าของน้ำหวานซุกไซ้ไปมาที่ซอกคอของผมอย่างบ้าคลั่ง
“หยุดเถอะ!” ผมบอกน้ำหวานเสียงแหบพร่า เมื่อเธอพยายามที่จะแกะกระดุมเสื้อของผมออก ผมรีบรวบมือของเธอไว้ แต่น้ำหวานก็ไม่ยอมหยุด เธอพยายามเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อจะจูบผมให้ได้ ผมพึ่งรู้สึกถึงข้อดีของความสูงตัวเองก็วันนี้แหละ เมื่อเธอไม่สามารถจูบผมได้ เธอก็เปลี่ยนมาเล้าโลมด้วยการพรมจูบที่ซอกคอเหมือนเดิม ผมยืนกัดฟันแน่นพยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด ไม่ให้ลุ่มหลงไปกับการยั่วยวนของน้ำหวาน แต่ว่า...มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน ด้วยฤทธิ์เหล้าแล้วด้วย มันทำให้ผมเริ่มคล่อยตามเธอ เริ่มไม่ต่อต้าน เริ่มจะตอบโต้...
เคล้ง!!!
เสียงเหมือนสิ่งของบางอย่างกระทบกับพื้น ทำให้ผมได้สติรีบดันร่างของน้ำหวานให้ออกห่างตัว แล้วก็หันมองไปยังต้นเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้ นั่นมัน....
“พี่โต้ง..” เธอเอ่ยชื่อผม พร้อมกับสีหน้าตกใจอย่างมาก ก็นะ..ดันมาเห็นฉากอันเร่าร้อนเมื่อกี้ซะได้ เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ แล้วยิ่งเป็นเด็กๆแล้วด้วย ยิ่งแตกตื่นเข้าไปใหญ่
“มาทำอะไรที่นี่” ผมเดินเข้าไปหาเธอ เมื่อเริ่มซางเมานิดหน่อย
“แก้มทำงานพิเศษที่นี่ค่ะ” แก้มใสตอบ
“ป่ะ! ไปคุยกันที่อื่น” ผมเดินเข้าไปคว้าหมับที่ข้อมือของแก้มใสแล้วพาเธอเดินออกมาจากลานจอดรถ
“เดี๋ยวสิ โต้ง!! รอน้ำหวานด้วย!!” เสียงน้ำหวานเรียกไล่หลังมาทำให้ผมกลับแก้มใสต้องรีบก้าวยาวๆ และเปลี่ยนจากก้าวเป็นเริ่มวิ่ง ทางด้านหน้าเป็นทางเลี้ยวพอดี ผมจึงอาศัยช่วงมุมอับของตึกเป็นที่กำบังจากสายตาของน้ำหวาน ผมดึงร่างบางของแก้มใสเข้ามากอดแล้วก็ดันให้เธอชิดกับกำแพงเอาตัวเองบังแก้มใสไว้ เป็นจังหวะเดี๋ยวกันกับที่น้ำหวานวิ่งตามมาแต่เธอก็มองไม่เห็นพวกเราอยู่ดี เพราะจุดที่ผมกับแก้มใสหลบอยู่มันค่อนข้างมืดมาก
“ไปไหนนะ เร็วจัง” เสียงน้ำหวานบ่นอย่างอารมณ์เสีย ผมเงี่ยหูฟังจนแน่ใจแล้วว่าน้ำหวานได้เดินไปไกลแล้ว จึงค่อยพาแก้มใสเดินออกมาจากมุมตึก
“เออ...พี่โต้งค่ะ”
ผมหันมามองหน้าแก้มใสอย่าง งงๆ ว่าเธอเรียกผมทำไม แก้มใสชูมือของตัวเองที่ถูกมือของผมกุมไว้อยู่ยกขึ้นมาให้ดู เมื่อเห็นดังนั้นผมก็รีบปล่อยมือแก้มใสทันที ไม่รู้ว่าเผลอไปจับมือเธอตอนไหน ตอนเดินหนีน้ำหวานมาผมจับที่ข้อมือของแก้มใสเอง สงสัยจะเป็นตอนที่เริ่มวิ่งหนีแน่ๆ
“โทษที” ผมได้แต่ยิ้มแก้เก้อส่งไปให้
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่..ทำไมต้องหนีด้วยค่ะ” แก้มใสตามขึ้น พร้อมกับเดินนำผมมานั่งที่ม้าหินอ่อน ไม่ไกลจากตัวตึกเท่าไร
“นั่นสิ แต่ยังไงก็...ขอบคุณนะ” ผมหันไปขอบคุณแก้มใสจากใจจริง ถ้าแก้มใสไม่ทำของหล่นอยู่ใกล้ๆ ผมคงไม่มีสติแน่นอน เพราะมันเริ่มคล่อยตามไปแล้ว
“เรื่องอะไรคะ ที่วิ่งหนีเป็นเพื่อนนะเหรอ” แก้มใสถามพร้อมกับยิ้มขำ ท่าทางสดใสของแก้มใสมันทำให้ผมเผลอยิ้มและขำตามไปด้วย
“เอ้อ! ว่าแต่ เรามาทำงานอะไรที่นี่”
แก้มใสอายุเท่ากับต้าหนิงเธอแค่สิบเจ็ดเอง เด็กอายุแค่นี้ มันจะมีงานอะไรให้เธอทำในสถานที่บันเทิงแบบนี้ นอกซะจากงานอย่างว่า...
“หรือว่า....” ผมหันมามองหน้าแก้มใสอย่างตกใจที่คิดอะไรได้
“ไม่ใช่นะคะ แก้มมาเป็นลูกมือให้เชฟอยู่ในครัวค่ะ” แก้มใสรีบอธิบายให้ผมฟังทันทีที่ความคิดของผมเริ่มเตลิดไปไกล
“ออ...ขยันนะเราน่ะ” ผมชมจากใจจริง
ผมก็พอรู้เรื่องราวความเป็นไปของครอบครัวแก้มใสบ้าง เพราะต้าหนิงมักจะเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ
“ทำไงได้ล่ะคะ แก้มแค่อยากช่วยเบาภาระของแม่ นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี” แก้มใสนั่งยิ้มตลอดเวลาที่พูดถึงแม่ของตัวเอง เธอคงจะรักแม่มากสินะ