นิมถูกมือหนากำรวบข้อมือทั้งสองข้างกดลงกับพื้น ร่างหนาของเจ้าของมือกดน้ำหนักลงมาทับตัวเขาไว้ ชายหนุ่มพยายามดิ้นขัดขืน แต่แล้วบางอย่างที่ใหญ่และแข็งพอๆ กับกำปั้นก็ยัดผ่านช่องทางด้านหลังเข้ามาภายในจนหน้าท้องแบนปูดนูน
เฮือก!!!!
นิมสะดุ้งตื่นจากภาพฝันที่ตามหลอกหลอนเขามา2คืนแล้ว ใบหน้าเรียวได้รูปเต็มไปด้วยหยดเหงื่อที่ผุดออกมาไม่เกรงใจความเย็นของเครื่องปรับอากาศเลย
“เวรเอ๊ย!” นิมสบถหัวเสีย ทั้งที่ไม่อยากจะคิดเรื่องนี้แล้ว แต่ต้องยอมรับว่าสภาพจิตใจเขาพังมากจริงๆ
3วันหลังจากเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่มีเพื่อนฝูงหรือใครอื่นเลยนอกจากยายอิ่มที่มาดูดำดูดีเขา ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะความใจดำของพวกเพื่อนเขาหรอก หากแต่เป็นมาตรการป้องกันความลับของไอ้เลขาภูที่จุ้นจ้านกับเขาไปเสียทุกเรื่อง ในวันที่เอาเอกสารมากมายมาให้เขาเซ็น ก่อนที่จะทิ้งการ์ดสีดำของมันไว้ บอกแค่ว่าไอ้บอสมันยุ่งอยู่ ให้ผมใช้บัตรของมันไปก่อนแล้วกัน แต่ไอ้ห่า ถึงจะบอกอย่างนั้น แล้วไม่บอกรหัสกดตังค์กูมาด้วยวะ แล้วจะกดเงินยังไง ล่ะเนี่ย
มันจะโกงค่าเสียหายผมบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนเซ็น ผมทำเป็นอ่านสัญญาไปงั้นล่ะ แต่เซ็นไปไม่ได้ดูหรอกว่าในนั้นมันเขียนอะไรไว้บ้าง แต่เท่าที่มองผ่านๆ ก็เป็นเรื่องห้ามเปิดเผยเรื่องที่ไอ้เวรบอสทำกับผม สัญญาห่าอะไรวะ แม่งหนายิ่งกว่าไปกู้เงินอีก
นิมบ่นในใจไปพร้อมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วย เขาได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันนี้ แต่นิมไม่ได้โทรบอกยายเพราะไม่รู้จะรบกวนยายไปทำไม และเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายบอกบางที่ต้องมีใครมาดูแล
แต่แทนที่นิมจะได้นั่งแท็กซี่กลับอย่างสบายตูด กลับต้องมานั่งรีมูซีนหรูคันยาวโดยมีชายชุดดำขนาบข้างมาด้วยอย่างกับจะพาไปฆ่าหมกป่าที่ไหน อึดอัดตายชัก
“เหี้ยไรวะ เงินก็ยังไม่เห็นโอนเข้า กูรึก็อุตส่าห์ไว้ใจเซ็นสัญญาให้ก่อน นี่พวกมึงยังจะมาอะไรกับกูอีก” นิมบ่นด่าอย่างระแวง อดคิดเรื่องเลวร้ายไปต่างๆ นานาไม่ได้ ไอ้พวกเวรนี่ เพื่อปกปิดเรื่องฉาว คงทำได้ทุกอย่างสินะ
ที่บ้านไม้สองชั้นหลังไม่ใหญ่
นิมในชุดกางเกงยีนขาดเข่าตัวซีดเป็นแฟชั่นกับเสื้อยืดสีเข้มเน้นใส่สบาย ค่อยๆ เดินอย่างเหนื่อยๆ เข้าไปภายในอาณาเขตรั้วผุๆ ที่ถูกพันเลื้อยด้วยพวงแสดพุ่มหนา
ตามติดมาด้วยชายชุดดำร่างใหญ่ที่พยายามจะถือกระเช้าของเยี่ยมและอะไรไม่รู้มากมายตามเข้ามาด้วย
“พวกมึงเอาไอ้ของพวกนั้นไปไกลๆ กูเลย” นิมบอกหัวเสีย เห็นแล้วมันพาลนึกไปถึงคนให้ ถึงจะให้มาแบบไม่ตั้งใจเป็นมารยาทแบบขอไปทีก็เถอะ
พวกมันมองหน้ากันแล้วยอมเอาของเยี่ยมทั้งเครื่องบำรุงกำลังราคาแพงและผลไม้ในกล่องหรูหรา กลับไปเก็บในรถ แล้วขับไปหาที่จอดใหม่ไม่ให้ขวางทางเข้าออกบ้านใคร
นิมมองพวกมันจนแน่ใจว่า พวกมันคงไม่ไปไหน เพราะคงถูกสั่งให้มาเฝ้าจับตาดูเขานั่นแหละ
ชายหนุ่มมุ่ยหน้าหงุดหงิด
ไอ้เวร กูบอกไม่พูดก็ไม่พูดสิ คิดว่ากูจะกล้าบอกใครหรอว่า…ฮื้ย!!
“ไอ้หลานโว้ยยย” เสียงยายอิ่มร้องเรียกดังอยู่ข้างหู นิมที่เผลอหลับไปตั้งแต่ที่กลับมาถึง ตกใจจนเกือบกลิ้งตกเตียง และเมื่อตั้งสติได้ นิมก็พ่นลมทำเสียงตัดพ้อเชิงต่อว่ามาที่หญิงชราร่างผอมตรงหน้า
“โธ่ยาย!!” ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาถูหูข้างที่ถูกยายอิ่มตะโกนใส่พร้อมหันสายตาเคืองๆ มองยายอย่างต่อว่าต่อขาน แต่ยายอิ่มกลับเท้าเอวขึงขังหนักกว่า ก่อนจะเริ่มต้นพ่นคำด่าเป็นหลายชุด ที่ไอ้หลานชายออกจากโรงพยาบาลแต่ไม่โทรบอกยายสักคำ นิมขอโทษขอโพยแล้วแต่ยังต้องทนฟังยายอิ่มบ่นตั้งแต่ตอนแกเดินออกไปปากซอยยันถึงโรงพยาบาล
“แล้วนี่เอ็งลางานถึงเมื่อไหร่” ยายถามไถ่ แต่ไม่ได้หมายจะคาดคั้น นิมจึงฉุกคิดได้ว่านั่นน่ะสิ เอาไงต่อดีวะ
น่าเจ็บใจที่ผมรู้สึกเสียดายงานซะมัด กว่าจะหางานสบายรายได้ดีที่ตรงใจอย่างนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จะให้กลับไปทำ คงเป็นไปไม่ได้ แค่ตอนนี้ยังไม่กล้านึกถึงอะไรที่เกี่ยวกับที่แห่งนั้นเลย หากจะต้องไปอยู่เห็นภาพแสลงใจทุกวัน ผมคงประสาทกินกันพอดี
“หางานใหม่ดีกว่ายาย งานนั่นไม่เห็นจะดีเลย” นิมบอกแล้วตักข้าวแกงคำโตยัดใส่ปาก
“เออ ก็ดูเอา” ยายบอกอย่างไม่ออกความเห็น ถึงจะอยากบอกว่าทำที่เก่าก็ดีอยู่แล้ว อย่าเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น แต่ยายอิ่มเชื่อใจหลาน และให้เลือกทุกอย่างด้วยตัวเองเสมอ เพราะต่อไปถ้าไม่มียาย มันก็ต้องอยู่รอดของมันเอง
ไอ้นิมหลานข้า ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง ยายอิ่มกินข้าวแข่งกันกับหลาน ตัวก็เล็ก แต่กินกันดุชะมัดทั้งยายทั้งหลานเลย
ที่ศูนย์ใหญ่บริษัทปิโตเคมี เอชกรุป
เลขาภู ชายร่างสูง บุคลิกดังพ่อบ้านสุดเนี๊ยบที่เหมือนหลุดมาจากพ่อบ้านในการ์ตูน ที่พรั่งพร้อมความสามารถที่หลากหลาย แต่ดันมารับใช้เจ้านายเพียงคนเดียว
ใช่ เขาคือเลขาที่ทำหน้าที่ทุกอย่างให้เฮเว่น ราวกับแม่ที่ดูแลลูกน้อยก็ไม่ปาน
เลขาภู มีต้นตระกูลมาจากการเป็นพ่อบ้านจากรุ่นสู่รุ่น เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจดังคนในครอบครัวของตระกูลอัลฟ่าสูงศักดิ์ของเฮเว่น
การอบรมเพื่อการเป็นพ่อบ้านที่สมบูรณ์แบบ เพื่อมาดูแลท่านๆ ของตระกูลนี้ถือว่าโหดมาก และเขาก็มีคุณสมบัตินั้น
เลขาภูรินชากุหลาบกลิ่นหอมด้วยท่าทางสง่างามและความชำนาญ ก่อนจะกลับมาทำหน้าที่เลขาต่อ
เฮเว่นยกถ้วยชาขึ้นจิบ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จากราคาน้ำมันดิบ เป็นเรื่องอื่น
“เจ้าหมอนั่น… ร่างกายที่รองรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ของฉัน” เฮเว่นพูดเพียงเท่านี้ คนที่อยู่รับใช้เขามานานอย่างเลขาภู รู้ได้ว่าสิ่งที่นายอยากรู้คืออะไร
“กลับไปพักฟื้นที่บ้านเขาแล้วครับ คนของเราคอยเฝ้าอยู่ ถึงแม้จะถูกทำสัญลักษณ์ในช่วงที่ท่านรัท…แต่เพราะเขาเป็นเบต้า คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” เขาคาดการณ์อย่างชาญฉลาดอย่างเคย
เฮเว่น หันสายตาคมมีแววลึกลับขึ้นมามองปราบไปที่เลขาดังเป็นคำถามว่า แน่ใจนะที่พูด? เลขาภูมิผู้มากด้วยปัญญาเริ่มเหงื่อผุดและมองวิเคราะห์ว่ามีสิ่งใดในคำพูดเขาที่ไม่จริง เขาขยับแว่นนิดหน่อยในท่าที่มักจะเผลอทำเมื่อยามต้องขบคิด
“ก็นะ แต่ท่านไม่เคยรัทมาก่อนด้วย ทุกอย่างจึงใหม่หมด” เลขาตอบคำว่าไม่แน่ใจแบบไม่ให้ตัวเองเสียฟอร์ม
เฮเว่นไม่ถามคำถามใดต่อ และหันกลับมาสนใจแฟ้มเอกสารตรงหน้า หากความรู้สึกนึกคิดนั้นทอดลอยออกไปไกล
ฉันจำได้แม่นว่ากัดเจ้าเด็กนั่นไปหลายที ทั้งปลดปล่อยฟีโรโมนพิเศษออกมาเต็มเปี่ยม ฉันเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะผูกพันธะกับเบต้าได้ แต่ไอ้อาการกระหายตลอดเวลาหลังจากผ่านวันนั้นมามันคืออะไร หรือฉันจะยังมีรัทอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจคือ ทำไมฉันถึงนึกเห็นแต่ร่างกายของเจ้าเบต้าสามัญชนคนนั่น
มันเป็นอาการเปรี้ยวปาก และเฮเว่นแน่ใจว่าไม่ใช่ความรักหรือความชอบ
1สัปดาห์ผ่านไป
นิมเปิดม่านออกไปมองข้างนอกหน้าต่าง และต้องหงุดหงิดเมื่อยังเห็นคนของเฮเว่นเฝ้าเขาอยู่
“เหี้ยไรวะ ไหนบอกจะรับผิดชอบ นี่ผ่านมาตั้งอาทิตย์มันยังไม่ติดต่อมาเลย จะให้เท่าไหร่ก็ไม่บอก เงินก็ไม่โอนเข้า กูไม่ยอมเสียตัวฟรีหรอกนะ” นิมหยิบการ์ดสีดำหรูหราที่ได้มาวันนั้นขึ้นมาพินิจดู
เขาถือบัตรของคนอื่นได้ด้วยหรอวะ ไม่ใช่ว่ามันจะใส่ร้ายผมว่าขโมยของมันมานะ
“ไอ้พวกคนรวยนี่นะ สักสตางค์เดียวก็ไม่ให้กระเด็นเลยจริงๆ คิดจะลองดีกับไอ้นิมหลานยายอิ่มหรอ คิดว่ากูกลัวมากเลยดิ” นิมพูดกับตัวเองเหมือนกำลังคุยโอ้อวด หากในใจก็กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์วันนั้น
“อย่าไปกลัวมัน ถ้าไม่เพราะอาการติดสัดตกมัน มึงคงไม่แรงเยอะขนาดนั้นหรอก” นิมพูดปลอบใจตัวเองพร้อมยกมือขึ้นลูบหน้าอกให้หัวใจที่เต้นรัวสงบลง
ตอนเป็นเด็กเขาไม่มีพี่น้องเพื่อนฝูงไว้คอยปกป้อง มีแค่ยาย ที่สอนเขาให้ไม่คิดกลัว
“ไอ้นิมเอ๊ย ความกลัวมันไม่ช่วยอะไรได้หรอกนะ” ยายอิ่มสอนหลานพรางช่วยปัดเศษดินเศษหญ้าออกให้พ้นตัวเด็กน้อย
“ก็ฉันกลัวนี่จ๊ะยาย” นิมที่ตัวผอมเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันบอกยอมรับกับยาย ไอ้ปื๊ดมันตัวอย่างกับหมีควาย แค่ได้ยินชื่อ นิมก็ขาสั่นพั่บๆ แล้ว
“ยายมีวิธี…” ยายอิ่มกระซิบดังว่าเป็นเคล็ดวิชาลับ นิมในวัยเด็กเงี่ยงหูฟังอย่างตั้งใจ
“ถ้าเอ็งกลัว ให้เปลี่ยนมันเป็นความโกรธซะ แค่นี้ ก็จะไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว”
“คิดจะเบี้ยวกูหรอ มึงเจอกูแน่!!”