เสียงแว่ว

1478 Words
“เสียงรถใครเหรอคะป้าปิ่น” น้ำเสียงหวานหูของเพียงรัมภาเอ่ยขึ้น เมื่อหูที่เปรียบเสมือนดวงตาของเธอนั้นได้ยินเสียงของรถยนต์วิ่งเข้ามาภายในบริเวณรั้วบ้านของเธอที่มันอยู่ห่างใกล้จากถนนเส้นหลักจนไม่มีเสียงรถคันอื่นให้ได้ยินถ้ารถคันนั้นไม่ได้ขับเข้ามาภายในรั้วบ้านหลังนี้ มันเป็นเสียงของเครื่องยนต์ที่แผ่วเบามากๆ จนแทบจะไม่ได้ยินแต่เธอก็ได้ยินมัน และก็มั่นใจด้วยว่ากำลังมีคนแปลกหน้าเข้ามาภายในบริเวณบ้านของเธอ ด้วยเธอนั้นจดจำได้ดีว่าเสียงรถของบ้านเธอที่มีเพียงสองคันนั้นเป็นเสียงแบบไหนมันไม่ใช่เสียงที่เหมือนเครื่องยนต์ถูกอัดแน่นไปด้วยแรงม้าจนแอบมีความกระหึ่มอยู่ปลายๆ แบบนี้แน่นอน “ป้าก็ไม่ทราบเหมือนกันคะ อาจเป็นแขกของคุณท่าน” ปิ่นหญิงสาววัยกลางคนค่อนไปทางวัยชราที่อายุย่างหกสิบห้าปีนี้แล้วชะเง้อคอยาวข้ามหมู่ต้นไม้นานาพรรณที่ถูกปลูกรายล้อมตัวบ้านหลังนี้ไว้เพื่อมองหารถยนต์ที่คุณหนูของเธอถามถึง สายตาที่เริ่มจะฝ้าฟางของเธอไม่เห็นอะไรเลย และหูที่เริ่มจะเต่งตึงตามวัยที่ร่วงโรยก็ไม่ได้ยินอะไรเลยด้วย แต่ด้วยความที่อยู่ดูแลคุณหนูตัวน้อยมานานตั้งแต่เธอยังแบเบาะจนเธอโตเป็นสาวป่านนี้แล้ว ก็ทำให้เธอนั้นเชื่อว่ามีรถยนต์ของคนแปลกหน้าเข้ามาภายในบ้านหลังใหญ่นี้จริงๆ ด้วยคุณหนูของเธอนั้นมีหูทิพย์ได้ยินไปเสียทุกอย่างไม่ว่าเสียงนั้นมันจะเบามากแค่ไหนก็ตาม หรือไม่ว่าเสียงนั้นมันจะแปลกแค่ไหนก็สามารถจำแนกประเภทได้เป็นอย่างดี “สงสัยคงจะเป็นแบบนั้น” เมื่อเธอไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตัวเธอเองเพราะดวงตามืดบอดแต่กำเนิดอย่างไร้สาเหตุ เพียงรัมภาเลยจำต้องเชื่อในสิ่งที่ป้าปิ่นของเธอบอกมา ด้วยชีวิตของเธอนั้นตั้งแต่เล็กจนโตก็มีป้าปิ่นคอยเป็นดวงตามาโดยตลอด ไม่ว่าเธอต้องการจะเห็นอะไรป้าปิ่นก็จะเป็นคนคอยมองให้เธอ ถ้าไม่เชื่อป้าปิ่นเธอก็ไม่รู้จะเชื่อใครที่ไหน ด้วยไม่เคยรู้จักใครมากไปกว่าคนภายในบ้านหลังนี้ที่มีกันเพียงแค่ห้าชีวิต อันได้แก่ เธอ คุณพ่อของเธอ ป้าปิ่น เด็กคนใหม่ของบ้าน และลุงกรุงคนขับรถของคุณพ่อเธอ “คุณหนูอยากเดินออกไปไหมคะ ป้าพาไป” เห็นว่าคุณหนูดูจะสนใจในเสียงของรถนั้นที่ตัวคนแก่อย่างเธอก็ยังไม่ได้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียวนั้นเลยขันอาสาจะพาไปดู เพราะอาจเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คุณหมอที่จะมาตรวจอาการของเจ้าของบ้าน อาจเป็นคนแปลกหน้าที่คุณหนูของเธอน่าจะไปทำความรู้จักเอาไว้บ้าง ด้วยคุณหนูของเธอนั้นรู้จักกับคนอยู่ไม่กี่คน เธออยากจะให้คุณหนูของเธอได้เปิดหูเปิดตาบ้างจะได้มีเพื่อนกับเขาเยอะๆ จะได้ไม่ต้องมาเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆ แบบนี้ อีกอย่างเธอก็อยากให้คุณหนูหายกลัวคนแปลกหน้าสักที หวังให้ได้ใช้ชีวิตแบบสาวๆ วัยเดียวกัน “ไม่ดีกว่าค่ะ หนูนั่งฟังนิยายต่อดีกว่าค่ะ” มือบางของเพียงรัมภาคลำไปมาบนตักน้อยๆ ของตัวเองเพื่อควานหาหูฟังที่ถอดทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาใส่เพื่อจะฟังนิยายต่อ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้รู้สึกเพลิดเพลินอะไรกับการฟังนิยายหรอก ออกจะเบื่อด้วยซ้ำไปเพราะมันก็เป็นนิยายเรื่องเดิมๆ ที่ฟังมาตั้งหลายรอบแล้ว แต่เธอกลัวการออกไปพบเจอคนแปลกหน้านั้นตั้งหากก็เลยหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ป้าปิ่นมาบังคับให้เธอต้องเดินออกไปเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า คนพวกนั้นคงหัวเราะเยาะเธออย่างแน่นอนเหมือนกันบรรดาญาติๆ ของเธอที่มักแอบหัวเราะเยาะเย้ยในความพิการที่มองไม่เห็นของเธอ เธอไม่อยากกลายเป็นตัวตลกของใครอีกเพราะชีวิตที่มืดมนมาโดยตลอดนี้มันตลกไม่ออกอย่างที่คนอื่นเขามักตลกขบขันกัน “งั้นป้าขอตัวนะคะ ขอไปดูเด็กๆ ก่อนว่าออกไปต้อนรับแขกให้คุณท่านกันหรือเปล่า หรือว่ามีใครแอบอู้งานอีก” แต่ปิ่นกลับต้องออกไปต้อนรับคนที่อาจจะเป็นแขกของเจ้าของบ้านอย่างคุณยงยุทธที่กำลังป่วยหนักอยู่ เพื่อไปจัดการดูแลว่าเด็กรับใช้ที่รับมาใหม่เมื่อสองวันก่อนทำงานดีคอยเป็นมือเป็นเท้าแทนเธอที่ต้องคอยดูแลคุณหนูอยู่ทางนี้หรือเปล่า เพราะถ้าทำงานไม่ดีอย่างที่เธอหวังเอาไว้แล้วล่ะก็ เธอจะได้ไปลงมือทำเองเพื่อไม่ให้เจ้าของบ้านต้องเสียหน้าในขณะที่มีแขกมาเยือนที่บ้าน ยังไงเสียก็ต้องรักษาหน้าของเจ้าของบ้านเอาไว้ อย่าให้ท่านต้องมาเสียหน้าในตอนนี้ เพราะนานๆ ทีบ้านหลังนี้จะเปิดต้อนรับคนอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกในบ้านหลังนี้ “ค่ะป้า ไปเถอะค่ะ หนูอยู่คนเดียวได้” แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นทั้งสองข้างแต่เพียงรัมภาก็ยังส่งยิ้มหวานให้กับป้าปิ่นของเธอได้ มันเป็นรอยยิ้มที่เธอจินตนาการเอาไว้ว่ามันเป็นรอยยิ้มแห่งความสบายใจ ด้วยเธออยากให้อีกฝ่ายรู้สึกแบบนั้นว่าเธอนั้นจะนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเป็นห่วงหรือรู้สึกกังวลใดๆ ถึงแม้เธอจะไม่รู้เลยว่าจะนั่งอยู่ได้ไหม เพราะภายในใจก็เริ่มหวั่นๆ หวาดกลัวเล็กๆ กับการที่ได้รับรู้ว่าอาจมีคนแปลกหน้าเข้ามาภายในบ้าน “เดี๋ยวป้ามานะคะ” เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายผุดขึ้นมาบนใบหน้า คนแก่อย่างเธอก็มั่นใจกล้าที่จะให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ตามลำพังแล้วตัวเธอเองก็ลากสังขารที่เริ่มร่วงโรยไปตามวัยเดินออกจากตรงสวนที่อยู่เกือบจะบริเวณหลังบ้านนั้นไป เธอพยายามไปให้เร็วที่สุดเพื่อที่ว่าจะได้รีบไปรีบกลับ เพราะก็พอจะรู้อยู่แก่ใจแก่ๆ ของเธอว่าคุณหนูนั้นเป็นหญิงสาวที่ขี้กลัว โดยเฉพาะกลัวคนแปลกหน้า “กลับมาแล้วเหรอคะ ทำไมป้าปิ่นไปเร็วจัง แขกคุณพ่อกลับแล้วเหรอคะ” ยังไม่ทันที่เพียงรัมภาจะประกบหูฟังของเธอเข้ากับหูทั้งสองข้างเรียบร้อยดีเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ ทำให้เธอต้องร้องทักออกไปด้วยความตกใจเล็กน้อยที่ป้าปิ่นที่เพิ่งจะเดินออกจากตรงเก้าอี้นั่งข้างๆ เธอไปเมื่อตะกี้นี้เดินกลับมาหาเธอแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ไวเอาเสียมากๆ ไวเสียจนคนตาบอดที่ได้ยินแต่เสียงอย่างเธอตั้งตัวไม่ทันเลยกับการกลับมาของอีกฝ่าย “คุณท่านให้คุณหนูไปพบค่ะ” ปิ่นเอ่ยพูดอย่างเหนื่อยหอบ เธอนั้นเหนื่อยเพราะการรีบเดินกลับมาจนพูดแทบไม่ออก โชคยังดีที่ยังไม่แก่มากนักก็เลยยังพอมีแรงพูดออกไปเป็นคำได้บ้าง ไม่ใช่เหนื่อยหอบออกไปอย่างเดียว “คุณพ่อมีแขกไม่ใช่เหรอคะ” เพียงรัมภาถามกลับอย่างนึกสงสัย เหตุไฉนเธอถึงถูกตามตัวไปพบคุณพ่อของเธอทั้งที่ท่านนั้นยังมีแขกมาหาอยู่ ด้วยเธอมั่นใจว่าคนแปลกหน้าที่มายังไม่กลับออกไป ด้วยเธอนั้นยังไม่ได้ยินเสียงรถนั้นขับออกไปเลย “ไปเถอะค่ะ คุณพ่อท่านต้องการให้คุณหนูไปพบให้ได้นะคะ” ปิ่นเอ่ยคะยั้นคะยออีกฝ่ายตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านายอย่างยงยุทธที่กำชับเธอมาเป็นอย่างดีว่าให้พาตัวลูกสาวของเขาไปให้ได้ โดยไม่รู้เลยว่าเพราะมีเหตุอะไรทำไมถึงต้องพาเพียงรัมภาที่ไม่เคยอยากเจอหน้าใครออกไปร่วมวงสนทนากับคนแปลกหน้านั้นด้วย คนแปลกหน้าที่เหมือนจะหน้าตาเป็นมิตรแต่แววตากลับเหมือนมีอีกคนหลบซ่อนอยู่ภายในนั้น ขนาดเธอแก่จวนจะตายลงโรงอยู่แล้วยังไม่เคยพบเห็นใครแบบนี้เลย ถ้าให้เธอนั้นเลือก เธอคงไม่คิดจะพาคุณหนูผู้บอบบางของเธอออกไปพบผู้ชายคนนั้นเป็นอันขาดเพราะมันดูจะน่ากลัวเกินไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD