โผะ เผล้ง!!!
เสียงเหมือนปากระจกและแตก ทำให้ทุกคนที่นั่งรับประทานอาหารกันอยู่มองตากัน นาวินที่สติดีกว่าลุกขึ้นวิ่งออกมา ทุกคนวิ่งออกตามหลัง นาวินยกแขนกั้นไว้เพื่อไม่ให้ทุกคนวิ่งไปใกล้ตรงจุดที่กระจกแตกเกินไป
“ระวังเศษกระจกด้วยครับ”
คำเตือนของนาวินทำให้ทั้งสามหยุดชะงักแต่ก็เห็นว่ากระจกด้านหน้าทั้งบานแตกละเอียดลงมา
นกยูงเมื่อเห็นว่าเสียงที่ดังคือกระจกด้านหน้าร้านแตกละเอียด ถึงกับนิ่งค้าง ยกมือขึ้นปิดปากไม่อยากเชื่อว่าร้านของเธอจะเจอเรื่องแบบนี้ได้
“แย่แล้ว...” เมย์เป็นคนเอ่ยขึ้น แดนหันมองซ้ายแลขวาตาเลิ่กลั่ก
นาวินคิดว่ามีคนกำลังป้องร้าย แต่ไม่แน่ใจว่าสาเหตุจูงใจเกิดจากอะไรกันแน่ จึงดึงแขนนกยูงที่ยืนนิ่งเหมือนถูกสาบออกจากเศษกระจกที่กระเด็นไปไหนต่อไหน
“เมย์พาคุณนกยูงไปนั่งในห้องครัวก่อนทางนี้เดี๋ยวผมกับแดนจะจัดการกันเอง”
แดนจึงรีบไปหาไม่กวาด นาวินหยิบมือถือที่พกติดตัวตลอดเวลาถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน และระหว่างที่แดนกำลังเก็บกวาดอยู่นั้นก็เจอก้อนหินสองก้อนแต่ขนาดต่างกันกระเด็นไปไม่ไกลนัก จึงเรียกให้บอดี้การ์ดมาตรวจดูให้แน่ชัด
นาวินจึงยกมือถือขึ้นถ่ายเพื่อเก็บภาพไว้ ก้อนแรกใหญ่กว่ากำปั้นผู้ชาย ส่วนอีกก้อนที่ตกไปไกลมีขนาดเล็กกว่ามากแต่หน้าแปลกตรงที่ว่าหินก้อนเล็กกับมีกระดาษหุ้มทับอยู่ นาวินจึงหยิบก้อนหินก้อนนั้นขึ้นมาแกะจึงพบว่าในกระดาษมีตัวหนังสือเขียนอยู่
‘ฉันอยู่ไม่ได้ แกก็อยู่ไม่ได้!’ นาวินจึงเอาไปให้นกยูงดู
“คุณเคยมีเรื่องกับใครบ้างหรือเปล่า”
เธอมองหน้านาวิน คนอย่างนกยูงจะไปมีเรื่องกับใครได้ แต่… เหมือนนึกขึ้นได้ แต่เธอขยิบตาเพื่อบอกนาวินเดี่ยวค่อยคุย
“เมย์ ไปบอกแดนนะว่าฉันให้เก็บร้านและปิดร้านเลย”
เมย์พยักหน้าแล้วเดินไปที่แดน ทั้งคู่จึงช่วยกันเก็บของและปิดร้านกลับบ้านไป
“ถ้าจะมีก็คงเป็นไอ้หนุ่มที่ฉันเคย…”
“ผมว่าไม่น่าใช่” นกยูงคิ้วขมวด
“นายรู้ได้ไงไม่น่าใช่ นายรู้จักคนพวกนั้นด้วยหรือ” ครานี้นาวินอึกอัก
“งั้นคืนนี้เราไปพิสูจน์กัน”
คำพูดของบอดี้การ์ดทำให้ลูกสาวเจ้านายยิ่งงงหนัก
“โทรหาร้านมาเปลี่ยนกระจกก่อนดีกว่า”
เขาบอกนกยูงก็กดหาเบอร์ช่างคนเก่าที่เคยมาใส่กระจกให้ตอนเปิดร้านใหม่ ๆ
ระหว่างที่รอช่างมาเปลี่ยนนกยูงก็ถามมาวินถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“นายว่าเราแจ้งความลงบันทึกไว้ดีกว่าไหม”
“ตำรวจมีงานเยอะอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้เราจัดการกันเองได้”
“แต่มันน่ากลัวนะ เราอยู่ที่แจ้งพวกมันอยู่ที่มืด”
“ผมว่าแค่มาป่วน”
“โอ้ยป่วนแบบนี้ไม่ไหวนะคะ”
นกยูงทำหน้าบูดเบี้ยวเธอชอบเล่นแบบซึ่ง ๆ หน้า ลอบกัดแบบนี้เธอเกลียดที่สุด
“ให้ผมมั่นใจก่อนว่าเป็นฝีมือใคร เดี๋ยวผมจัดการเอง” น้ำเสียงหนักแน่นทำให้นกยูงเงียบเสีย
รอช่างอยู่เกือบสองชั่วโมงกว่าช่างจะมาเพราะติดลูกค้าอยู่ เมื่อช่างมาถึงยกยูงก็รีบเดินไปหาและบอกขึ้นว่า
“เอาแบบกันกระสุนนะรอบนี้” ช่างขำพรืดแล้วตอบกลับมาอย่างที่เล่นทีจริง
“แพงและต้องสั่งจากนอกครับ”
“งั้นไม่เอาดีกว่า ขอที่มันทนปาก้อนหินใส่ไม่แตกมีไหม”
ช่างยิ้มยิงฟัน มีครับ แล้วช่างก็เดินไปสั่งลูกน้องจัดเตรียมเครื่องมือทำการต่อปรั๊กไฟเพื่อตัดกระจกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย
นาวินที่เข้าไปจัดการในครัวเดินออกมาเมื่อเห็นว่าช่างเก็บของกลับไปแล้ว
“คุณอย่าลืมที่พูดไว้นะ” เธอหันมาย้ำ
“ครับ” เขาไม่อยากปรักปลำใครแต่ต้องการหาหลักฐานให้แน่ชัด
นกยูงขอตัวขึ้นชั้นบน นาวินจึงเดินดูภายในร้านเพื่อเช็คความเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วก็เดินขึ้นชั้นบน เพื่อพักผ่อน รอเวลาที่จะออกไปข้างนอกพร้อมลูกสาวเจ้านาย
นาวินเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกจากตัว ความเย็นที่ปะทะผิวเนื้อแท้ ทำให้นาวินแปลกใจ “นี่เราลืมปิดแอร์เหรอ”
“ป่าว ฉันเป็นคนเปิดเองแหละ”
“หึ้ย! คุ คุณนกยูง เข้ามาได้ไงเนี่ย”
แล้วเขาก็เห็นว่านกยูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงที่เขาเป็นเจ้าของอยู่หลายคืนนั่นเอง
“ก็เปิดประตูเข้ามา”
“เอ่อ คือ หมายถึงเข้ามาในห้องผมทำไม”
“ก็ห้องฉันเหม็น” คำตอบของเธอทำให้นาวินเลิกคิ้วทำหน้าเมื่อยเข้าใจในทันที จึงหยิบเสื้อกลับมาใส่เหมือนเดิม
“อ้าว คุณจะทำอะไรก็ทำไปสิ ฉันจะหลับตาแล้ว”
“โอ้ยแค่รู้ว่าอยู่ในห้องกับผู้หญิง ถึงนั่งเฉย ๆ ผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
“แหม้ทำเป็นวัยรุ่นไปได้ อันที่จริง คุณมาช้าอีกนิดฉันก็หลับแล้ว”
นาวินอยากบ้าตาย หันหลังเดินกลับไปที่ประตู เสียงหวานร้องถามตามหลัง
“นี่จะเสียสละห้องให้ฉันเหรอ”
ใจคนไม่ใช่หิน คงต้องอย่างนั้นแหละครับ ยังมีหน้ามาถามอีก!
“ครับ” ว่าแล้วก็เปิดประตูออกไป โดยมีรอยยิ้มของนกยูงส่งตามหลังไป