แพรนรีเดินกลับมาที่พักของตัวเองในเวลาเกือบสว่าง สี่ชั่วโมงที่เธอให้เวลากับตัวเองได้ทบทวน สี่ชั่วโมงที่เธอต้องทนอยู่กับความหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูก ทว่าความปวดร้าวทางใจที่ใจกลับสาหัสมากกว่าหลายเท่า
ธีรากรยืนกอดอกพอยท์เท้ารอเธออยู่ที่หน้าตึก ทันทีที่เขาเห็นแพรนรีเดินกลับมา เขาก็รีบเดินปรี่เข้ามาหาอย่างเร็ว สองมือบีบหัวไหล่ของเธอแรงๆ
แรงกดทำให้คนตัวเล็กห่อปาก บอกให้รู้ถึงแรงอารมณ์ของเขา แต่แพรนรีก็ไม่ปริปากพูดอะไร เธอเพียงยืนนิ่งๆ ให้เขากระทำ เพราะอยากรู้ว่าเขาจะแก้ปัญหาอย่างไร
“ไปกับไอ้หมอนั่นมาใช่มั้ย ถึงไหนกันแล้วล่ะ...กลับเอาป่านนี้”
แพรนรีเงยหน้ามองคนถามนิ่ง แต่เธอก็ไม่ได้ตอบคำถาม ยิ่งแพรนรีนิ่งก็ยิ่งเหมือนสุมไฟแค้นให้ชายหนุ่มอีกคน
มือหนาของเขาบีบหัวไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวแน่น ตะคอกถามอีกครั้ง
“ผมถาม! ไม่ได้ยินหรือไง”
แพรนรีแกะมือเขาออกจากหัวไหล่ของตัวเอง เงยหน้าตอบเสียงเรียบ ใบหน้าของเธอเก็บซ่อนทุกความรู้สึกเอาไว้ภายใต้แววตานิ่ง
“ได้ยิน แต่ถ้ากำลังพาลก็อย่าเพิ่งพูดกันเลย พรุ่งนี้ไปเจอแพรที่สวนสาธารณะหน้าตึกเรียนด้วยนะ แพรมีเรื่องจะคุยกับคุณ” หญิงสาวตอบกลับเสียงราบเรียบ
“คุณคิดว่าที่ผมมายืนรอเพื่อให้คุณไล่กลับงั้นหรือแพร” ชายหนุ่มเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม
แพรนรีผินหน้ามองไปทางอื่น ไม่ใช่ไม่กล้าสบตาเขา แต่เธอขยะแขยงที่จะมองเขาให้เต็มตา แต่ก็ยังคุยกับเขาอย่างสุภาพ
“แพรอยากให้เราคุยกันด้วยสติ แล้วแพรก็อยากเรียกสติของตัวเองก่อน กลับไปเถอะค่ะ”
“ไม่” ชายหนุ่มตอบเสียงแข็ง เอาแต่ใจ ท่าทางเด็ดเดี่ยวเหมือนจะไม่ยอมหากทุกอย่างไม่จบลงในตอนนี้
หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ เดินหันหลังกลับไปทางเดิม “งั้นก็ตามแพรมา”
“นั่นจะไปไหนอีก” คนพาลร้องตามหลังเสียงดัง
“ที่นี่หน้าตึกพัก คงไม่เหมาะที่จะใช้เสียงในเวลาสงัด แล้วแพรก็ไม่อยากให้คนอื่นมารับรู้ แม้ว่าบางคนจะรู้มากกว่าคนเคยรักอย่างแพรก็ตาม”
แพรนรีจงใจเลี่ยงชื่อของเพื่อนสาว ถ้าหากไม่คุยอยู่หน้าตึกก็สามารถขึ้นไปบนห้องพักของเธอได้ แต่ในนั้นก็ยังมีรูทเมทอย่าง อลิชาอยู่
ชายหนุ่มยอมเดินตามไปอย่างหงุดหงิด แพรนรีก็ยังนิ่งสยบทุกอย่างได้เหมือนเดิม เขาไม่เคยเห็นเธอโวยวายหรือกล่าวร้ายใครสักครั้ง แม้แต่โกรธหนักๆ เธอก็ยังนิ่ง
ราวสะพานอีกฝั่งมีชายหญิงอีกคู่กำลังพลอดรักกัน ระยะห่างพอสมควรไม่ทำให้ทั้งสองคู่ได้ยินเสียงสนทนาของกันและกัน
“คุณทำอะไรลงไปเมื่อเย็น” คนใจร้อนรีบถาม ทันทีที่เดินมาสุดถนน และเดินขึ้นไปบนสะพานข้ามแม่น้ำ
แพรนรีหันกลับมาจ้องหน้าคนถามนิ่ง
“แล้วเย็นก่อนหน้านั้นสักสี่ห้าชั่วโมง คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ ตอบแพรได้ไหม” หญิงสาวถามกลับเสียงเรียบ
“ผมก็ไปเรียน” ชายหนุ่มตอบทันที
“หรือคะ” หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับตอบรับสิ่งที่เขาบอก เงยหน้าจ้องตาเขาชัดๆ
“คราวนี้ลองพูดอีกครั้งได้ไหมคะ ว่าคุณอยู่ที่ไหน”
ชายหนุ่มหลบสายตา อ้อมแอ้มตอบ “อยู่ที่มหาวิทยาลัย”
แพรนรีหยัดยิ้มที่มุมปากขืนๆ เค้นเสียงออกมา
“ฮึ! แปลกนะ แพรกลับเห็นคุณนอนแก้ผ้าอยู่ในห้องนอนของแพร กับเพื่อนของแพร” หญิงสาวพยายามบังคับเสียงให้ไม่สั่นรัว ฝืนเข้มแข็ง ทั้งที่น้ำตากำลังไหลอาบนองหัวใจ
ใบหน้าของชายหนุ่มสลดลงถนัดตา รู้จักแพรนรีเป็นอย่างดี หากเธอไม่เห็นอะไรกับตา จะไม่มีคำใดๆ หลุดออกมาจากปากของเธอเพื่อกล่าวร้ายใคร ธีรากรคว้าข้อมือหญิงสาวมากุมเอาไว้
“ผมอธิบายได้นะแพร ลิซยั่วผม...” หญิงสาวชักมือกลับทันที ซัดเข้าที่ใบหน้าคนพูดเต็มแรง เห็นอย่างนี้ยังหน้าด้านเป็นผู้ชายหน้าตัวเมียโทษผู้หญิง
“เผียะ!!”
ยังไม่ทันที่ธีรากรจะได้พูดจบ ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวสาดเข้าที่ใบหน้าชายหนุ่มโครมใหญ่ คนโดนตบตั้งตัวไม่ทัน แต่แรงตบของเธอก็ทำให้หน้าของเขาหันไปตามแรง
“ความเป็นสภาพบุรุษของคุณไม่มีหลงเหลือเลยหรือไง สารเลว!”
“ผมพูดความจริง”
“เผียะๆ” คราวนี้มือเล็กของหญิงสาวสะบัดแรงอีกสองครั้งติดกัน แต่ความแรงก็ไม่แพ้ครั้งแรก
“อย่าให้แพรเหลืออดกับคุณไปมากกว่านี้เลย”
“ก็เพราะคุณไม่ยอมนะสิ ผมถึงต้องไปหาจากที่อื่น” ชายหนุ่มบอกอย่างที่ใจตัวเองคิด
คำตอบทำให้แพรนรียิ่งผิดหวัง เมื่อครู่เขาโทษผู้หญิงอีกคน แต่คราวนี้เขากำลังโทษว่าเป็นความผิดของเธอเพื่อลบความผิดที่เกิดจากกมลสันดานผู้ชายอย่างเขา
หญิงสาวเงยมองหน้าเขาเต็มตา ถามนิ่ง “ผู้ชายอย่างคุณต้องการจากผู้หญิงที่เป็นคนรักเพียงแค่นี้ใช่ไหม”
“ทุกคนก็ต้องมีความต้องการทั้งนั้น หรือคุณไม่เคยต้องการ ไม่เคยรู้สึกเหมือนมนุษย์คนอื่น”
แพรนรีพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ยิ้มอ่อน เธอคงดึงความรู้สึกเดิมๆ จากผู้ชายคนนี้คืนมาไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นแพรก็จะไม่รั้งคุณเอาไว้ สิ่งไหนที่เป็นความสุขก็ทำเถอะค่ะ แพรคงให้ในสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้”
หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบเดินอ้อมเขา เตรียมจะกลับลงมาจากเชิงสะพาน “แพรขอตัวนะคะ ยังทำธีสีสค้างเอาไว้”
“คุณหมายความว่ายังไงแพร”
“ก็หมายความว่าแพรรับรู้ในเรื่องของคุณกับลิซ ถ้าพวกคุณมีความสุขที่จะทำ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรลับหลังแพรแล้ว” แพรนรีบอกทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินจากออกไป
หลังจากก้าวพ้นและหันหลังให้เขา เขื่อนน้ำตาที่เธอบอกว่าจะไม่ให้ไหลออกมาอีกก็ฟังทลายลงอีกครั้ง เธอจะจดจำความเจ็บปวดนี้ให้ฝังใจ และจะไม่มีวันหลงลมผู้ชายเจ้าชู้คนไหนอีก
หลังพนักพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ ฮาริสพยักหน้าน้อยๆ อย่างรับรู้ เขายกมือขึ้นบอกให้คนสนิทหยุดและออกไปหลังจากที่เขารายงานไปเกินกว่าครึ่ง
“พอ...ออกไปก่อน” ข้อมูลของสาวน้อยนางนั้นกลั่นเป็นตะกอนนอนนิ่งในความคิดของเขา ตั้งแต่ลูกน้องเริ่มรายงาน ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงข้อมูลละเอียดยิบก็มากองตรงหน้า
ชายนุ่มหมุนเก้าอี้หันกลับมาอีกครั้ง หยิบเอกสารที่คนสนิทเพิ่งวางเอาไว้สอดไว้ในลิ้นชัก หยัดยิ้มตรงมุมปากเล็กๆ
“สาวไทยอย่างนั้นหรือ”
ดวงตาสีเขียวเข้มของเขามีประกายขึ้นมา ถ้าพูดถึงสาวไทย...เขารู้จักเป็นอย่างดี เพราะหนึ่งในคู่ขาคนที่เขาโปรดปรานที่สุดก็เป็นสาวไทย ซึ่งตอนนี้เธอก็บินกลับเมืองไทยพร้อมหอบเงินก้อนโตที่ได้จากเขากลับไปด้วย
ผู้หญิงที่เขาทุ่มเทและเคยคิดว่าจะหยุดที่เธอ...แต่เธอก็ทรยศเขา
“หึ! สาวไทย...ก็คงไม่ต่างกัน” เขายิ้มกริ่ม บอกอย่างปรามาส
แพรนรีกลับมาจากพรีเซนต์งานโพรเจ็กต์โหดของศาสตราจารย์ประจำสาขา ก่อนที่จะพรีเซนต์ธีสีสรูปแบบเต็ม ระหว่างนี้เธอก็รอใบตอบรับจากการทำงานจากธนาคารชื่อดังไปด้วย ทุกอย่างในชีวิตเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี
ทั้งงานและการเรียนทำให้เธอไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะคิดถึงเรื่องวันนั้น แต่ก็รู้สึกโล่งอกลึกๆ หลังจากที่กลับมาที่ห้องพักได้สามวัน เธอก็ไม่เห็นเพื่อนทรยศกับผู้ชายเลวๆ คนนั้น อย่างน้อยก็พอให้เธอได้ทำใจไม่รู้สึกอึดอัดมากเหมือนอย่างที่นึกกลัวแต่แรก
ตารางชีวิตประจำวันของแพรนรีก็ยังเป็นเหมือนเดิม เรียนเป็นหลัก หลังจากนั้นเธอก็ไปทำงานพิเศษ งานหลายอย่างที่เธอทำ ทั้งสอนพิเศษภาษาไทย เสิร์ฟอาหารที่ร้านอาหารไทยและงานเลี้ยงตามแต่จะมีงาน แม้กระทั่งเป็นไกด์เถื่อนรับทัวร์คนไทยกลุ่มเล็กๆ นำเที่ยวเธอก็รับทำ
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เธอต้องรีบเร่งไป งานด่วนพิเศษค่าตัวสูงลิบที่เอเจนซี่ชื่อดังติดต่อมา ทั้งที่แปลกใจกับการติดต่องานจ้างงานชิ้นนี้ แต่ค่าจ้างก็ทำให้เธอตาโตตกปากรับคำอย่างไม่ลังเล
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนตูตารางงานของตัวเอง เธอจะจดคิวงานและรายละเอียดทุกอย่างไว้ในโน้ตของมือถือ แพรนรีสามารถใช้งานมันได้อย่างคุ้มค่าและสะดวก รับและเช็คตารางได้ทุกที่ราวกับเป็นเลขาส่วนตัว
“ชุดราตรี” หญิงสาวรำพึงเบาๆ เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอลืมดูรายละเอียดการแต่งกายเสียสนิท ยังดีที่วันนี้เปิดรายละเอียดอีกครั้งก่อนถึงเวลางาน
ถ้าต้องสวมชุดหรูหราทำงาน หมายถึงเธอต้องเจียดค่าจ้างไปเช่าชุดราคาแพงจากมาดามเรนนี่ ดีไชน์เนอร์สาวไทยที่มีสามีเป็นชาวสวิส และย้ายมาเปิดร้านที่นี่