ความเดิม- "สวัสดีครับ ผมนายแพทย์ธันทร อารยะไพศาล มาตรวจแทนแพทย์คนเดิมวันนี้ครับ" ธันทรเอ่ยทักทายพนักงานประจำเคาน์เตอร์คนใหม่ด้วยรอยยิ้มเก๋
……………………………………….
ด้านคนที่สแตนบายรอคนไข้เคาน์เตอร์ได้แต่นิ่งอิ้งไป 3 วิ เมื่อได้สติกลับมาจึงเอ่ยทักทายผู้ใหญ่ที่มาใหม่อย่างรักษามารยาท
"อะ..อาจารย์เหรอคะที่จะมาตรวจแทนอาจารย์หมอวันนี้น่ะค่ะ สวัสดีค่ะ"
"ก็ใช่น่ะซิ พอดีแพทย์วันนี้ท่านติดเคสถูกตามตัวด่วนผมจึงต้องมาตรวจแทนน่ะ ทำไงได้ล่ะ ไม่มาก็ไม่ได้เสียด้วยซิ" ธันทรเอ่ยยิ้ม ๆ นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวยิ่งงงไปกันใหญ่
อีกด้านของผู้ที่พึ่งมาจากด้านหลังของคลินิก
"อ้าวพี่ธันมาแล้วเหรอคะ มาก่อนเวลาไป 30 นาที จิราไม่จ่ายตังค์เพิ่มให้นะ แถมจะให้เลี้ยงข้าวด้วย พาน้องไปด้วยเลย นี่น้องมาใหม่ ลูกศิษย์แนะนำให้เห็นว่าขยันไฝ่รู้เอาการเอางาน/น้องนางนี่พี่ชายของหมอเองนะ ชื่อคุณหมอธันทรค่ะ" ธันจิราคุยหยอกเย้ากับพี่ชายและหันไปแนะนำพี่ชายให้กับหญิงสาวที่กำลังนั่งมองคนโน้นคนนี้ทีจนน่าขัน
"อ่ะ ห๊ะ พี่ชายเหรอคะ" มานิดาอุทานอย่างเพ้อ ๆ พลางนึกในใจ {กรรม}
"เป็นอะไรเหรอยัยเด็กคนนี้ นั่งตาลอยอยู่ได้ เรียกคนไข้เข้ามาเลยซิ่ เห็นนั่งรอหน้าคลินิกแล้วไม่ใช่เหรอ" ธันทรเอ่ยกระตุ้นเตือน
"อา..ค่ะ มาแล้วค่ะ ส่วนนึงก็เป็นเคสของคุณหมอธันจิราค่ะ" มานิดาตอบอย่างรน ๆ
"อือ..ก็เรียกมาซิ/จิ เรามีพนักงานประจำเคาน์เตอร์คนเดียวเหรอ" ธันทรพูดกับลูกศิษย์แล้วหันไปถามน้องสาวบ้าง
"จิราค่ะพี่ธัน มีอีกคนค่ะ เป็นพนักงานทั่วไปเวชระเบียนค่ะแต่น่าจะยังมาไม่ถึงก็พี่ธันกับน้องนางมาก่อนเวลาเองนี่คะ" ธันจิราเอ่ยย้ำให้พี่ชายเรียกชื่อตัวเองใหม่อย่างประชดประชันและตอบในสิ่งที่พี่ชายถามไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"เหรอถ้าพี่จะให้ลูกศิษย์เข้าเคสเบื้องต้นบ้างล่ะ เธอจะว่ายังไง"
"แล้วแต่คนไข้เลยค่ะ ถ้าคนไข้อนุญาตจิราก็ไม่มีปัญหา"
"อือ../งั้นถ้าพนักงานเวชระเบียนมาแล้วถ้าเราอยากเข้าเคสกับอาจารย์ก็มานะ" ธันทรอือออกับน้องสาวแล้วหันมาคุยกับลูกศิษย์ในอนาคตด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแล้วเดินไปประจำห้องตรวจเพื่อเตรียมความพร้อม
สักพักมานิดาก็ได้ยินเปิดประตูเข้ามาจากด้านหลังพร้อมกับเสียงหายใจหอบ
"ขอโทษค่ะพี่มาสาย พอดีรถมอ'ไซค์ยางแบนค่ะเกือบไม่ทันเวลา" วารีเอ่ยอย่างขอลุแก่โทษ
"ไม่เป็นไรค่ะพี่วา ยังไม่ได้เรียกคนไข้เข้าตรวจเลยสักคนแต่คัดกรองไว้เบื้องต้นหมดแล้ว" มานิดาเอ่ยยิ้ม ๆ อย่างเป็นมิตร
"เอางี้พี่ส่งคนไข้ของคนหมอธันจิรา ส่วนน้องนางส่งคนไข้ของคุณหมอธันทรนะคะ" วารีเสนอความคิดเห็น
"ได้ค่ะก็ดีเหมือนกันค่ะ" มานิดากล่าวอย่างรู้สึกเห็นด้วย
หลังจากนั้นทั้งสองคนช่วยกันรับคนไข้ส่งคนไข้จนหมด และเป็นเวลาเกือบบ่ายโมง
"เฮ๊อ..เหนื่อยสมองจัง หิวแล้วด้วย พี่ธันเลี้ยงข้าวน้อง ๆ เลย ร้านใกล้ ๆ นี้ก็ได้" ธันจิราเอ่ยขึ้นอย่างคนงอแง
"อ้าว เธอเป็นเจ้าที่ก็ต้องเลี้ยงแขกซิ ไม่ใช่ให้แขกเลี้ยงเจ้าที่" ธันทรแกล้งตอบแบบรวน ๆ
"ไม่ได้ ไม่งั้นจะฟ้องคุณพ่อว่าพี่ไม่เลี้ยงน้อง" ธันจิราแกล้งรวนกลับ
"สามสิบอัพแล้วนะ ยังงอแงแบบเด็ก ๆ อีก อยากไปไหนล่ะไปร้านไก่ย่างส้มตำมั๊ย แต่ไกลจากที่นี่หน่อยนะ ไปมั๊ยล่ะ" คนพี่เสนอความคิดเห็นพลางเหลือบไปมองคนตัวเล็กเป็นระยะ ๆ
"ก็ได้ค่ะแต่ต้องช่วยกันปิดคลินิกก่อนนะ จะได้ไปกันหมดนี่เลย ทั้งหมดก็ห้าคนพอดี/ไปนะน้องนางพี่วาพี่ดวง" ธันจิราพูดกับพี่ชายและหันไปคุยกับลูกจ้างของตน
"อืม..ได้ซิ งั้นมานิดาไปกับอาจารย์ ส่วนเธอก็พาลูกน้องขับรถตามไปนะ" ธันทรเอ่ยขึ้นอย่างนักวางแผนเพราะเขาเซ็ทบล็อคไว้หมดแล้ว
"ได้ค่ะพี่ชาย" ธันจิราตอบพี่ชายยิ้ม ๆ แล้วหันไปสบตากับคนพี่อย่างรู้ความนัย
@ร้านอาหารตามสั่งและอาหารอิสาน
ธันทรจอดรถใต้ร่มไม้และลงจากรถมาและกวักมือให้น้องสาวมาจอใกล้ ๆ กัน ส่วนคนที่ตามมาพอลงจากรถได้ก็บ่นอืด
"พี่ธันทำไมพามาไกลขนาดนี้ล่ะ หิวจนจะกินวัวได้เป็นตัว ๆ อยู่แล้วเนี่ย" ธันจิราบ่นพี่ชายอย่างคนโมโหหิว
"เอาน่า สั่งเลยเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง มีแต่ไก่ย่างกับปลาย่างนะไม่มีวัวย่าง" ธันทรยังพูดติดตลกได้อีก
"มะพี่วาพี่ดวงน้องนางไปนั่งเดี๋ยวหมอจะสั่งไก่ย่างให้กินคนละตัว ส้มตำอีกคนละครกไปเลยมีเจ้ามือเค้าละเลี้ยง" ธันจิราไม่คุยกับพี่ชายแต่หันไปเรียกลูกจ้างของตนแทน
"หึหึ.." ธันทรหัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วเดินตามทุกคนไปอย่างคนอารมณ์ดี
บนโต๊ะอาหาร
"นี่ไม่กินข้าวเหนียวไม่ใช่เหรอเห็นว่ากินแล้วจะง่วง วันนี้ทำไมกินล่ะ" ธันทรเอ่ยถามคนตัวเล็กเรืองแสงเพราะเขาเคยชวนกินแล้วเธอปฏิเสธ
"กินค่ะ แต่ตอนนั้นมันเป็นเวลาเช้าที่หนูต้องเข้าเรียน กินแล้วมันจะง่วงจริง ๆ เลยเลี่ยงที่จะไม่กินค่า" มานิดาตอบตามความเป็นจริงอย่างนึกรำคาญ ไม่รู้จะช่างจดช่างจำอะไรนักหนา หญิงสาวได้แต่บ่นในใจพลางจ้วงส้มตำเข้าปากจนลืมไปว่ามันเผ็ดเพราะเธอไม่ได้สั่งด้วยตัวเอง จึงเป็นรสชาติของผู้สั่งซึ่งเผ็ดมากแต่อร่อยเวอร์
"เผ็ดใช่มั๊ยนั่นจมูกแดงปากแดงเชียว เอานี่ไก่ย่างกินเข้าไปจะได้หายเผ็ด นี่น้ำ" ธันทรตักนี่หยิบนั่นให้สาวเจ้าเป็นพัลวันจนลืมไปว่ามีสายตาอีกหกคู่มองอยู่