บทที่ 4 พระชายา

1391 Words
จู่ ๆ หลินจื่อเว่ยก็หัวเราะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่โอหังยิ่งนัก แน่นอนว่าวาจาส่อเสียดนี้ไม่มีผลกระทบกับนางเท่าใด บัดนี้หลินจื่อเว่ยมิใช่คนเดิม แต่เป็นวิญญาณที่หนังหนายิ่งนัก ไม่ใช่ว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างหลินหลงจะสามารถล่วงเกินได้ง่าย ๆ "หลินหลง เรื่องของข้านั้นให้เป็นเรื่องของข้าเจ้าอย่ายื่นมือเข้ามาสอดจะดีกว่า ห่วงตัวเองเถิดว่าจะจัดการเช่นใด ที่มาหาข้าวันนี้คิดจะมาขอคำชี้แนะจากข้าใช่หรือไม่" หลินหลงรู้สึกประหลาดใจในคำพูดหลินจื่อเว่ย นางเม้มปากแล้วเอ่ยถาม "คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร" "อืม ไม่รู้สินะ ความจริงข้าก็ไม่อยากยุ่งเพียงแต่ความสงสัยมันล้นอก" "เจ้าสงสัยสิ่งใด" หลินหลงร้อนตัวแล้ว หลินจื่อเว่ยจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเล็กเสียงน้อย "สงสัยว่าบทกลอนนั้นที่เจ้าเขียนให้คุณชายแซ่เฉิน ยังมีอีกผู้หนึ่ง รู้สึกจะแซ่อี้ใช่หรือไม่ ข้าคิดว่ามันยังไม่ดีพอเท่าที่ควรอยากให้ข้าชี้แนะหรือไม่ เรื่องกลอนโต้ตอบข้ามีฝีมือเหนือกว่าเจ้านัก ดูเหมือนว่ากระดาษสองแผ่นนั้นเขียนกลอนตอบไปเหมือนกันทุกประการ แต่ส่งให้บุรุษสองคนเช่นนั้นได้ด้วยหรือ ให้ตายเถิดน้องรองเจ้าจะสมองหมู[1] และขี้เกียจเกินไปแล้ว" หลินหลงรู้สึกร้อนไปทั่วแผ่นหลัง นามของคุณชายทั้งสองที่เอ่ยขึ้นมานั้นนางย่อมรู้จักดี แต่ว่าเหตุใดหลินจื่อเว่ยสตรีขี้โรคนางนี้จึงได้รู้เรื่องนี้กัน "เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้ารู้สิ่งใดมาบอกข้ามานะ" หลินจื่อเว่ยหัวเราะดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง ท่าทางสง่างามทั้งสูงส่งเย็นชา ใบหน้าขาวซีดนั้นดูจะมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย ส่งผลให้ยิ่งดูงดงามเจิดจ้าจนคนมองต้องหรี่ดวงตามอง หลินจื่อเว่ยคิดว่าหลินหลงช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน เช่นนี้จะเป็นนางผู้ชั่วร้ายได้อย่างไร ช่างน่าสงสารโดยแท้ หลินจื่อเว่ยรู้ว่าหลินหลงกำลังใจร้อนราวกับไฟ ต้องอยากรู้ว่านางรู้อะไรมาบ้างแต่หลินจื่อเว่ยกลับถ่วงเวลาเอาไว้ เติมเชื้อไฟแห่งความอยากรู้ให้ยิ่งลุกโพลงจนไม่อาจหนีไปที่ใดได้ บัดนี้ดูเหมือนว่าหลินหลงจะขาดสติ เมื่อขาดสติแล้วก็ย่อมต้องตกเป็นรองโดยไม่รู้ตัว หลินจื่อเว่ยมองอาภรณ์งดงามและของล้ำค่าในตัวของหลินหลงอารมณ์พลันดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จู่ ๆ ก็มีคนมาส่งของกำนัลให้ถึงมือช่างดียิ่งนัก น้ำเสียงของหลินจื่อเว่ยจึงอ่อนลงหลายส่วน "เจ้ามารบกวนข้ายังไม่แปรงฟันล้างหน้า เช่นนั้นข้าก็ยังไม่มีอารมณ์พูดถึงคุณชายทั้งสองแล้ว" "นี่เจ้า อวดดีนักนะ คอยดูเถิดว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร" หลินจื่อเว่ยยักไหล่ "ข้ามีของดีจะอวดก็แล้วกัน ว่าแต่เจ้าเถิดอยากดูหรือไม่ ไม่รู้ว่าเจ้ากับข้าผู้ใดจะต้องได้รับการสั่งสอนกันแน่" แน่นอนว่าหลินหลงย่อมอยากรู้ เมือเอ่ยถึงบุรุษทั้งสองคนนั้นทำให้นางคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ของสำคัญที่หายไปจากโต๊ะลับของนางอย่างไร้ร่องรอย และไม่รู้ว่าหายไปได้อย่างไร หรือว่าของสิ่งนั้นจะอยู่ในมือของหลินจื่อเว่ยกัน เมื่อความสงสัยล้นอก ทำให้หลินหลงยอมรออย่างเชื่อฟัง หลินจื่อเว่ยจึงสั่งให้จินเจาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ตนเอง และบ้วนปากแปรงฟันจนเรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยว่า "จินเจาข้าหิวแล้ว" หลินหลงยิ้มเยาะ นั่งลงข้างกายผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาแม้ไม่ได้รับเชิญ นางย่อมรู้ว่าวันนี้หลินจื่อเว่ยได้กินสิ่งใด และตกต่ำแค่ไหน ทว่าหลินจื่อเว่ยกลับมีท่าทางสงบ แม้จะเห็นน้ำข้าวในชามอันจืดชืด ในขณะที่จินเจาน้ำตาคลอหน่วยเมื่อเห็นสายตาของหลินหลงที่มองท่านหญิงของตนอย่างเหยียดหยาม หลินจื่อเว่ยย่อมไม่สะทกสะท้าน สองร้อยปีที่ผ่านมาอยู่ในร่างแมวขาวของผู้บำเพ็ญเพียร ข้าวปลาอาหารนั้นนางไม่สนใจมานานแล้ว มีใครเคยเห็นแมวกินมังสวิรัติบ้าง หลินจื่อเว่ยคิดว่าตัวนางนี้ คงเป็นแมวตัวแรกของโลกใบนี้ที่จำใจต้องกินมังสวิรัติเพื่อประทังชีวิตกระมัง ดังนั้นน้ำข้าวนี้จึงไม่เลวนัก หลินหลงยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกประหลาดใจนัก ทำไมหลินจื่อเว่ยไม่สะทกสะท้านอันใดเลยสักอย่าง แล้วนางจะคิดหาวิธีการเหล่านี้มาทรมานคนให้ลำบากทำไมกัน กว่าจะอ้อยอิ่งซดน้ำข้าวต้มหมด ก็กินเวลาไปเนิ่นนาน นางหันไปหาจินเจาเพื่อถามหายา จินเจาส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิด เพียงเท่านี้หลินจื่อเว่ยก็รู้แล้ว คนต่ำช้าเหล่านี้ยังคงใช้วิธีการรังแกคนแบบเดิม ๆ ที่ไม่พัฒนาเสียทีสินะ หลินหลงหัวเราะเยาะ เอาเถิดร่างกายอ่อนแอเช่นนี้หากขาดยาอย่างไรคงได้ตายในไม่ช้า วันนี้นางจะอดทนอีกสักหน่อยก็แล้วกัน "เจ้าอิ่มแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องที่เจ้าจะพูดคงไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อใส่ความข้าใช่หรือไม่" หลินจื่อเว่ยป้องปากหัวเราะ ท่าทางทุกกระเบียดนิ้วดูสูงส่งน่าเกรงขาม สตรีทั้งสองสบตากันไม่ลดละ จู่ ๆ หลินหลงพลันรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา "ใส่ความหรือ ข้าเลิกใส่ความคนมาเป็นร้อยปีแล้ว ยามนี้ทุกอย่างว่ากันตามจริง อีกอย่างข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่เข้าใจคำของข้า เราพี่น้องมีสิ่งใดค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันได้มิใช่หรือ หากว่าเรื่องนี้เราพูดคุยไม่ได้เช่นนั้นก็ให้หลินอ๋อง เอ๊ย ท่านพ่อเป็นคนตัดสินแล้ว" เส้นเลือดที่ขมับของหลินหลงพลันเต้นขึ้นตุบ ๆ นางตั้งใจมาหาเรื่องคนขี้โรคนี้แท้ ๆ ทว่ายามนี้กลับดูเหมือนว่านางจะเดินมาให้หลินจื่อเว่ยหาเรื่องนางแทน บุรุษผู้หนึ่งในชุดขององครักษ์ประจำตัวของหลินหลงยืนอย่างสงบนิ่งทว่าหูของเขานั้นกำลังเงี่ยฟังสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเรือนโดยไม่กระดิกแม้แต่น้อย สตรีที่อยู่ด้านในเรือนหลังเล็กพูดคุยกันมิได้เบาเสียง และผนังเรือนก็บางจนไม่เก็บเสียงเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่สตรีทั้งสองตอบโต้กันองครักษ์ผู้นั้นจึงได้ยินเต็มสองหู ดูเหมือนว่ายามนี้คนที่เสียเปรียบจะกลายเป็นคุณหนูรองหลินหลง และหลังจากนั้นเสียงพลันเบาลง คุณหนูหลินหลงกระทืบเท้าออกมาจากเรือนเล็ก ที่น่าสงสัยคือปิ่นปักผมล้ำค่าที่นางใส่มาเต็มศีรษะบัดนี้ไม่มีเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว ที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น เรื่องราวระหว่างหลินจื่อเว่ยและหลินหลงถูกถ่ายทอดออกจากปากขององครักษ์ผู้นั้นโดยไม่มีตกหล่น คนผู้หนึ่งนั่งฟังด้วยใบหน้าเฉยชา ในมือของเขายังยกน้ำชาขึ้นดื่มช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า "เจ้ากลับไปเถิด จนกว่าจะมีเรื่องสำคัญจริง ๆ ค่อยนำมารายงานต่อไปเรื่องเพียงเล็กน้อยเจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บมาเล่า" "พ่ะย่ะค่ะ" หลังคนผู้นั้นกลับไปแล้ว บุรุษผู้หนึ่งในชุดสีดำทั้งตัวจึงเอ่ยขึ้น "ท่านอ๋อง ท่านไม่สนใจแล้วหรือ ท่านหญิงหลินจื่อเว่ยอ่อนแอเช่นนั้นจะรับมืออย่างไรไหว" ดวงตาคมยังจับจ้องอยู่ที่ถ้วยน้ำชาของตนเอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบา "เจ้าก็ได้ยินทั้งหมดแล้ว สตรีนางนั้นหาได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด ไม่ต้องห่วงนางจนเกินไป" "แต่ว่า ร่างกายของนางไม่สู้ดีเช่นนั้น จะเอาแรงที่ใดไปสู้คนเล่า ท่านจะใจดำเกินไปหรือไม่" เขาผู้นั้นเงยใบหน้าขึ้นมององครักษ์คู่ใจ ใบหน้าหล่อเหลาดูเย็นชาชวนให้ขนลุก "สตรีที่อ่อนแอสำหรับข้าแล้วคือคนไร้ประโยชน์ หากนางเอาตัวรอดไม่ได้ก็นับว่าไม่คู่ควร" เชิงอรรถ 1. ^ สมองหมู คือ โง่เขลา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD