บทที่ 1 ตอนที่ 2

1274 Words
    "อ้าว! เร็วๆ เร่งมือหน่อย คืนพรุ่งจะมีงานแล้ว วันนี้ต้องเอาให้เสร็จนะโว้ย...จะได้พักกันเสียที คืนงานจะได้เมาให้เต็มที่ ฮ่าๆๆ" คนงานชายอกสามศอกตัวสูงร่างใหญ่ยืนเท้าสะเอว ออกคำสั่งคุมลูกน้องก่อซุ้ม จัดโต๊ะเตรียมงานเลี้ยงใหญ่ประจำปีของไร่ทับตะวัน ซึ่งจัดขึ้นไม่เคยได้ขาด เพื่อให้คนงานได้ร่วมสนุก ผ่อนคลาย และสานสัมพันธ์ระหว่างกันให้มากขึ้น             หลังจากคร่ำเคร่งกับงานมาตลอดทั้งปี...งานนี้ฟรีทุกอย่าง นายใหญ่ของไร่เป็นผู้อุปถัมภ์ ทั้งของคาวของหวานและเครื่องดื่มนาๆ ชนิดไม่มีขาดตกบกพร่อง ทั้งดลตรีแสงสีเสียงเรียกว่ายกเวทีวงดลตรีชื่อดังมาเล่นกลางไร่กันเลยทีเดียว ทั้งนี้ยังอนุญาตให้ชาวบ้านในละแวกนั้น หรือครอบครัวของคนงานในไร่ได้มาร่วมสังสรรค์สนุกด้วย โดยไม่คิดเงินแม้แต่แดงเดียว             ทุกคนจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยค่ำคืนแห่งความรื่นเริงนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เมื่องานสิ้น...ยังให้หยุดงานยาวถึงสามวันเพื่อพักร่างกาย เพราะบางคนเมาหนัก บางคนอยู่ยันเช้า บางคนก็ช่วยเก็บกวาดข้าวของในงานจนเป็นที่เหนื่อยเปลี้ยเพลียแรงไปตามๆ กัน             งานเลี้ยงประจำปีจะจัดขึ้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นลงแล้ว เพื่อเฉลิมฉลองยอดขายและรายได้ที่เข้ามาหมุนเวียนในไร่ คนงานและพนักงานหลายคนจะได้รับโบนัสงามๆ แบบไม่มีหวงจากอัศเวทย์ผู้เป็นนายเสมอ เขาเป็นคนจริงจังกับงาน ลงมือลงแรงร่วมกับลูกน้อง ลองผิดลองถูกไปด้วยกันไม่ได้สักแต่ชี้นิ้วสั่งแล้วเอาเงินฝาดหัวเหมือนคนเป็นนายจ้างทั่วๆ ไปทำกัน ทุกคนในไร่จึงรักและเคารพเขายิ่งนัก พอๆ กับมีความยำเกรงในตัวเขาอยู่มากเช่นกัน             "ให้หม่อนเดินก็ได้ค่ะพี่แทน ไม่เห็นต้องพานั่งรถเลย หม่อนไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"             "ไม่ได้เป็นอะไรได้ไง ก็หม่อนป่วยอยู่" ร่างใหญ่ออกปากโต้แย้งด้วยความเป็นห่วง เขาพาหล่อนมาดูเหล่าคนงานเตรียมการสำหรับคืนวันพรุ่งนี้ ซึ่งทุกอย่างดูจะเป็นไปได้ดี ทุกๆ คนกระตือรือร้นร่วมแรงแข็งขันไม่มีอิดออด             "เวทีใหญ่จังเลยค่ะ" กันหายิ้มเศร้ามองภาพเบื้องหน้าซึ่งคนงานกำลังก่อโครงสร้างเวทีด้วยเหล็ก เสาไฟประดับสปอตไลท์ขึ้นสูงหลายสิบเมตร เหมือนเป็นเวทีคอนเสิร์ตของนักร้องระดับประเทศ เครื่องดลตรีบนเวทีนั้นถูกจัดเตรียมเอาไว้ครบครัน             "งานมีปีละครั้ง พี่อยากให้ทุกคนมีความสุข พวกเขาทำงานให้เราเป็นอย่างดีมาตลอด" อัศเวทย์มองเหล่าลูกน้องคนงานขวักไขว่กันเร่งมืออย่างขยันขันแข็ง พลางเข็นรถที่กันหานั่งพาเธอเข้าไปหลบแดดอ่อนๆ ยามเย็นในซุ้มซึ่งสร้างด้วยใบมะพร้าวและต้นไม่ใบหญ้าแบบง่ายๆ แต่ความคิดสร้างสรรค์ มีซุ้มแบบนี้กระจายเป็นหย่อมๆ เล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่บริเวณว่าตรงไหนใช้ทำอะไร             อธิเช่นที่พวกเขาอยู่นี้ตั้งไว้สำหรับวางเครื่องดื่มประเภทผลไม้ ถัดไปที่เป็นแถวใหญ่ๆ หน่อยก็ใช้สำหรับวางอาหาร ผลไม้ และของหวาน...             "หม่อนอยากมีส่วนร่วมด้วยบ้างจังเลยค่ะ..."             "ได้สิ คืนวันงานพี่ต้องพาหม่อนมาด้วยอยู่แล้ว นายหญิงของไร่ทับตะวัน จะพลาดได้อย่างไร" เขาเอ่ยปลอบ นั่งยองลงข้างๆ รถเข็น ใช้มือค้ำตรงที่วางมือและยิ้มอบอุ่นให้กับภรรยาสาว             "หม่อนหมายถึงอยากมาช่วยทำโน่นทำนี่บ้างค่ะ หลายปีแล้วที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับพวกเขาเลย" หญิงสาวกล่าวอย่างเศร้าใจ...หล่อนยังจำบรรยากาศแรกมาอยู่ที่นี่ได้เป็นอย่างดี ยามถึงคราวจะมีงานประจำปี เพราะมักทำหน้าที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดหาอาหารรวมถึงดูแลตกแต่งสถานที่พร้อมคนงานหญิงอีกนับร้อย ทำงานไป พูดคุยกันไป...เล่าเรื่องราวต่างๆ แบ่งบันรอยยิ้มแก่กัน เป็นความประทับใจอย่างยิ่ง             "เมื่อก่อนไร่เราไม่ได้ใหญ่แบบนี้ หม่อนก็ทำงานได้สิ ตอนนี้มันเติบโตขึ้นมาก คนงานก็เพิ่มขึ้น ต่อให้หม่อนแข็งแรงดีก็ทำไม่ไหวแล้วล่ะ รู้ไหม"             "ค่ะ...แค่กๆ แค่กๆๆ..."             "หม่อน!" อัศเวทย์ตกใจเบิกตาโพลงเมื่อเห็นภรรยาไอขึ้นมาแบบกะทันหัน ซ้ำยังมีเลือดกระเซ็นติดผ้าเช็ดหน้าที่เธอใช้ปิดปาก หญิงสาวหันหน้ามองเขา แววตาของหล่อนทุกข์เศร้าแต่ยังพยายามฝืนยิ้ม             "ทำไมมีเลือดออกแบบนี้ เป็นมานานหรือยังแล้วทำไมไม่บอกพี่!" ชายหนุ่มรีบ ช่วยหล่อนเช็ดซับเลือดที่ริมฝีปาก อาการกลัวเกาะกินจนตัวชา             "คงเพราะอากาศร้อนค่ะ หม่อนไม่ได้เป็นอะไรมาก ไปหาคุณหมอเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผลตรวจก็ออกมาปกตินี่คะ พี่แทนก็ไปด้วยนี่" หล่อนยังเฉไฉ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง             "แล้วนี่เนื้อทองไปไหน พี่ไม่เห็นตั้งแต่กลับจากไร่มาแล้วนะ" ว่าไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังไม่เห็นเด็กกะโปโลคนนั้นคอยดูแลกันหาเลย ตื่นเช้ามาเขาก็เข้าไปในไร่ดูแลความเรียบร้อยนิดหน่อย จากนั้นก็รีบกลับเพราะทุกอย่างถูกเคลียร์ไว้หมดแล้วสำหรับวันหยุดยาว             "เอ่อ...เนื้อทองไม่ค่อยสบายตัวค่ะ ก็เลยให้กลับไปพักที่บ้าน หม่อนกลัวจะติดไข้เอาเสียด้วยไม่อยากให้แกฝืนค่ะ"             "อ๋อ...ถึงอย่างนั้นก็น่าจะบอกให้ใครมาอยู่กับหม่อนแทน ทิ้งไปเฉยๆ แบบนี้ได้ยังไง ไม่ได้เรื่อง!"             "อย่าดุแกเลยค่ะ เท่าที่เป็นอยู่แกก็กลัวพี่แทนจะแย่อยู่แล้ว สงสารเนื้อทองนะคะ"             "หม่อนชอบเข้าข้างมันอยู่เรื่อย..." เขามักเจอเหตุการณ์แบบนี้ประจำหากต้องพูดถึงบุคคลที่สามอย่าง 'เนื้อทอง'             "เนื้อทองเป็นเด็กเรียบร้อยค่ะ หม่อนไม่เห็นว่าแกจะทำอะไรผิดนักหนา พี่แทนอคติ เมตตาแกบ้างเถอะค่ะ ต่อไปหม่อนไม่อยู่แล้ว หม่อนจะได้ไม่ต้องมีห่วง..."             "หม่อนพูดอะไรแบบนั้น...ช่างเถอะ เราไปหาหมอกันดีกว่า" เถียงไปเขาก็ไม่ชนะหรอก ชายหนุ่มจึงตัดบทปัดเรื่องนั้นไปเสีย และหันมาดูแลเจ้าหล่อนอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง             "แค่กลับไปพักก็คงดีขึ้น...หม่อนไม่อยากไปหาคุณหมอแล้ว นั่งรถเหนื่อยค่ะ ยาก็ยังมีอยู่เยอะแยะ"             "ถ้างั้นพี่จะให้หมอมาที่นี่" อัศเวทย์ยังไม่ยอมรามือง่ายๆ เขารูสึกเป็นกังวลชอบกล             "อย่าเลยค่ะ หม่อนเหนื่อย...อยากพักมากกว่า..." สีหน้าซีดเซียวดูอ่อนแรงลงจริงๆ ดวงตาโรยระโหยอย่างน่าสงสาร             "พี่ขอโทษนะไม่น่าพามาไกลขนาดนี้เลย" อันที่จริงมันก็ไม่ได้ไกลมากสำหรับคนปกติเช่นเขา แต่สำหรับคนป่วยกระเสาะกระแสะอย่างกันหาแล้ว เหมือนระยะทางจะทำให้หล่อนอ่อนล้ามากเกินไป นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่หญิงสาวไม่ชอบไปพบแพทย์ เพราะต้องนั่งรถเข้าไปในตัวเมือง ระยะทางนั้นไกลพอสมควร อีกทั้งถนนหนทางบางช่วงบางตอนก็ไม่ได้สะดวกสบายนัก             หลายครั้งหลายหนอัศเวทย์จึงต้องจ้างหมอให้มาดูแลเธอที่นี่...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD