Hafë : นัดเจอกันหน่อยไหม?
ร่างสูงเริ่มดำเนินการ ในเรื่องที่เขาต้องจัดการในเรื่องที่ 2 คือ ส่งข้อความผ่านทางแอปเขียวติดต่อไปหารพี
ป่านนี้ คนคนนั้นคงจะดีใจจะแย่ เพราะผมไม่เคยตอบข้อความของเขาเลย
แม้นจะข่มขู่ผมตั้งแต่วันที่ผมโดนหลอกนัด ให้ไปคุยเรื่องหมั้นหมายกันกับคนคนนี้ในครั้งนั้น
ŘaǷeÄ : พี่เฮฟหายดีแล้วเหรอครับ
ŘaǷeÄ : เราเจอกันวันไหน ที่ไหนดีครับ
ŘaǷeÄ : ในที่สุดพี่เฮฟก็ฟื้นขึ้นมาสักที พีดีใจมากเลยครับ
ŘaǷeÄ : พีกลัวพี่เฮฟจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกจังเลยครับ
ŘaǷeÄ : แต่ตอนนี้พีดีใจมาก ๆ พี่เฮฟตื่นมาแล้วคิดถึงพีไหมครับ
ŘaǷeÄ : ส่วนพีคิดถึงพี่เฮฟมาก ๆ เลยนะครับ
คนที่น่าจะดีใจตามคำครหาของเฮฟ พิมพ์รัวส่งข้อความกลับคืนให้คนที่ทักไปเพียงประโยคเดียวได้อ่าน เพราะรพีก็คงดีใจจริง ๆ นั่นแหละ
แต่ไม่รู้ว่าดีใจอะไรมากกว่ากันระหว่างเรื่องที่ผมฟื้นขึ้นมา?
หรือการที่ผมเป็นฝ่ายส่งข้อความหาเขาก่อน?
Hafë : ถ้างั้นเจอกันที่ร้าน Gqr Café บ่ายสองโมงนะครับ
เฮฟทำการนัดหมายกับคนที่ยังคงรัวส่งข้อความมาให้เขาเสร็จสิ้น จึงรีบกดออกจากแอปสีเขียวและปิดเครื่องมือสื่อสารทันที
ก็เป็นซะแบบนี้ น่าเบื่อ น่ารำคาญ
@ Gqr Café
14.00 น.
ร่างสูงกับแว่นกันแดดสีเข้มเดินอาด ๆ เข้ามาในร้านกาแฟ ตามช่วงเวลาที่นัดกับรพีไว้อย่างเป๊ะ ๆ เขาไม่ต้องการมานั่งรอก่อน แต่ก็ไม่ได้ต้องการแกล้งมาเลท เพราะมันดูเป็นมารยาทที่แย่จนเกินไป
อดีตนายแบบหนุ่มก้าวเท้าเดินตรงไปทางโต๊ะ ที่มีคนที่เจ้าตัวต้องการเจรจานั่งอยู่ริมหน้าต่าง และเฮฟเลือกหย่อนกายนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับคนคนนี้
“พี่เฮฟ”
คนนั่งตรงกันข้ามคลี่ยิ้มออกกว้างอย่างสดใสส่งมาให้กับคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่ง
“พี่เฮฟยังขี้ร้อนเหมือนเดิมเลยนะครับ ไหนดูสิ เหงื่อออกเยอะเชียว พีเช็ดให้นะครับ”
คนร่างบางหยิบทิชชูทำท่าทางจะเอื้อมมือข้ามโต๊ะ เพื่อมาซับเหงื่อให้กับคนที่มีเพียงใบหน้าเฉยชา
“ไม่เป็นไรครับ”
เฮฟรีบหยิบทิชชูมาเช็ดปัดป่ายลวก ๆ ยังใบหน้าของตนเองแทน เมื่อสายตาคมเลื่อนไปโฟกัสยังแก้วโกโก้เย็นที่มีวิปปิ้งครีมเยอะ ๆ ของคนตรงหน้าเข้า
มันก็ทำให้ผมหวนนึกถึงคนในอดีตขึ้นมาอีกครั้ง
จนใบหน้าเฉยชาได้เผลอยกยิ้มขึ้นที่มุมปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว จนคนที่นั่งตรงกันข้ามอดที่จะคลี่ยิ้มตามด้วยความดีใจอย่างออกนอกหน้าไม่ได้
“พี่เฮฟสั่งเครื่องดื่มกับของทานเล่นก่อนไหมครับ”
รพีเอ่ยถามคนที่กลับมามีใบหน้าเรียบนิ่งอีกครั้ง เมื่อได้เลื่อนสายตามมาโฟกัสยังใบหน้าคนเอ่ยปากถาม
“ไม่เป็นไร พี่มีเรื่องอยากจะคุยกับเราให้เข้าใจกันก่อนที่จะไปบอกกับทางผู้ใหญ่”
เมื่อคนตรงหน้าได้ยินคำพูดแบบนี้ออกจากปากคนตัวโตนิ่งขรึมขึ้นมา ก็หุบยิ้มลงทันควัน พร้อมถ่อแววตาหม่นแสงสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามกลับมาฝืนยิ้มส่งให้กับคนที่ยังจับจ้องมองกัน
“พี่ว่าเราสองคน..”
ครืดดด!!....
เสียงขาเก้าอี้ครูดไปกับพื้น จนคนที่เอ่ยปากพูดอยู่เป็นอันต้องหยุดเสียงพูดของตนเองกลางคัน เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าดันผุดลุกขึ้นพรวดพราด ขยับตัวออกจากเก้าอี้ยืนขึ้นเต็มความสูง
“ผมว่าผมไปสั่งน้ำให้พี่เฮฟก่อนดีกว่า พี่เฮฟขับรถมาเหนื่อย ๆ คงจะหิวน้ำแย่เลย”
เมื่อรพีเอ่ยปากพูดออกมาอย่างเร็วรัว จนมันยากที่เขาจะทันได้เอ่ยขัด ขาเรียวก็ขยับหันหลังออกเดินลิ่ว ๆ ไปยังเคาน์เตอร์โดยไม่ได้ฟังคำค้านกันเลยสักนิด
“เหอะ กูว่าและ แล้ววันนี้จะได้คุยกันรู้เรื่องไหมล่ะเนี่ย”
ร่างสูดถอดถอนลมหายใจออกมาครั้งแรก หลังจากที่เข้าได้ตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับใหลไปนานร่วมปีกว่า มือใหญ่ขยับถอดแว่นกันแดดสีเข้มออก เพื่อคลึงขมับและหัวคิ้วอันขมวดมุ่นจนมันเริ่มปวดขึ้นมาตึบ ๆ
เฮฟสังเกตเห็นว่าคนร่างบางสั่งออเดอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่ากลับไม่ยอมเดินกลับมายังที่นั่งสักที
นี่คงต่อรองยื้อเวลาการพูดคุยออกไปสินะ แต่ยังไงเขาก็ต้องเดินกลับมานั่งตรงนี้อยู่ดีปะวะ
ร่างสูงจึงก่นด่าในใจว่าช่างแม่ง เปลี่ยนความเบื่อหน่ายโดยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นคร่าเวลา นิ้วเรียวกดเข้าไปดูแอคเคาท์ใน IG ของน้องฮาร์ฟ เพื่อบรรเทาความคุกรุ่นในอกให้จางหายไป
จะว่าไป พอลองมานั่งนึกดูดี ๆ เขาก็รู้สึกเสียดายนะ เสียดายตอนที่ไม่ได้อยู่ดูแลช่วงที่คนตัวเล็กอุ้มท้องเจ้าลูกชายของตนเองเลย คงจะทั้งเหนื่อยทั้งน้อยใจเป็นแน่
แถมเฮฟก็ไม่ได้เห็นเจ้าลูกชายสุดเท่ของตนเองค่อย ๆ เติบโตทีละวัน ทีละเดือน ทีละปีอีกต่างหาก
ผมนี่มันเป็นผู้ชายที่แย่จริง ๆ แบบที่คุณปู่กับคุณย่าเทศนาไปนั่นแหละครับ
ตอนนี้ผมยอมรับข้อครหานั้นอย่างสิ้นเชิง
แกร๊ก...
“ผมไม่รู้ว่าพี่เฮฟอยากทานขนมอะไร พีเลยสั่งทาร์ตผลไม้กับไอซ์อเมริกาโน่มาให้ครับ”
ตาคมที่ยังคงจดจ่ออยู่กับจอสมาร์ตโฟน เมื่อได้ยินเสียงคนร่างบางพูดออกมาอย่างแผ่วเบา จึงกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ลงไป
และเมื่อปลายหางตาเขาดันมองเห็นมืออันสั่นเทาของคนตรงข้ามค่อย ๆ หยิบจานขนม และกาแฟมาบริการวางตั้งไว้ตรงด้านหน้าให้
“ขอบคุณครับ”
เฮฟกล่าวขอบคุณตามมารยาท และรอให้คนตรงข้ามนั่งลงกับเก้าอี้ของตัวเองให้เรียบร้อยสักที ก่อนที่เขาจะได้พูดให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ทว่า
“งั้น..พีขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
“รพี! นี่นายคิดว่าจะบ่ายเบี่ยงยื้อเวลาไม่ยอมพูดกับฉันให้มันรู้เรื่องกันเรื่อย ๆ แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ห๊ะ?!”
เฮฟเริ่มไม่สบอารมณ์จึงเอ่ยออกไปอย่างเสียงแข็ง เขาเริ่มจะหมดความอดทนกับคนคนนี้เสียจริง
“แต่พี..พียังไม่อยากคุยเรื่องนี้กับพี่เฮฟนี่ครับ”
คนร่างบางทำท่าจะเดินออกจากโต๊ะไปจริง ๆ จนคนหน้าตึงต้องรีบลุกพรวดออกจากเก้าอี้ แล้วกระชากดึงท่อนแขนเรียวเอาไว้
“ถ้าไม่อยากนั่งคุยดี ๆ ก็ยืนคุยมันทั้งแบบนี้แหละ”
"พี่เฮฟ..พี..เจ็บนะครับ"
“ฉันเคยขอเลิกกับนายไปแล้วตั้งหลายครั้งแต่นายไม่ยอมเลิก ฉันบอกว่าห้ามก้าวก่ายชีวิตของฉัน แต่นายก็ยังทำ!!"
"อึก.."
"แล้วพอตอนที่ผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงาม จะจับเราทั้งคู่หมั้นหมายกันนายก็สมใจกระหยิ่มยิ้มย่องเลยสินะ”
ริมฝีปากหยักยิ่งได้บอกถึงความในใจที่มันติดค้างมาแสนนาน มือแกร่งยิ่งออกแรงบีบแขนคนร่างบางหนักขึ้นแบบไม่รู้ตัว
“ฮึก แต่พีเป็นแฟนพี่เฮฟนะครับ พี่เฮฟก็บอกกับพีว่าจะรับผิดชอบพี ฮือ..ฮึก และ และพี่เฮฟก็ไม่เคยสนใจพีเลย พีก็ทำตามที่พี่เฮฟบอกทุกอย่าง พยายามอยู่ในมุมเงียบ ๆ ของตัวเอง ฮึก..ทั้ง ๆ ที่พีรักพี่มากขนาดนี้”
ร่างสูงยืนฟังพร้อมแค่นหัวเราะในลำคอ หลังที่ได้ยินคนคนนี้กล้าที่จะพูดมันออกมา
“เหอะ รักเหรอวะ ถ้ารักฉันมากขนาดนั้น ทำไมไม่บอกความจริงกับฉันทั้งหมดละ ห๊ะ”
คนที่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมดแล้วอยากจะขำให้เป็นบ้า เพราะหลังจากที่เฮฟได้หลับใหลไปนานร่วมปี จนทำให้ความทรงจำทั้งหมดมันไหลย้อนเข้ามา
นอกจะทำให้เขาจำเรื่องราวในช่วงสำคัญของชีวิตมันขาดหายไปไม่พอ มันยังทำให้เฮฟได้มองเห็นในมุมที่ตนเองนั้นก็ปักใจเชื่อ และเข้าใจเรื่องราวที่ผิดมาตลอดด้วย
“ความจริงอะไรครับ พีไม่เคยปิดบังอะไรพี่เฮฟเลยนะครับ”
ร่างบางที่โดนบีบแขนไว้แน่น บัดนี้มันเริ่มแสดงแววตาเลิ่กลั่กออกมาอย่างปิดบังไม่มิด
“อ่อเหรอ..ถ้างั้นทำไมตอนนั้นที่กูถามมึงเรื่องฟาร์รัง ทำไมมึงถึงโกหกกับกูว่าฟาร์รังทิ้งกูไปเพราะมีคนใหม่ละวะ ห๊ะ?!!!”
อดีตนายแบบหนุ่มคนดังเริ่มควบคุมเสียงตัวเองไม่อยู่ จนเสียงมันเริ่มจะดังขึ้นจนทำให้พนักงาน และลูกค้าบางโต๊ะถึงกันหันมามองยังจุดที่เรา 2 คนโหมปะทะอารมณ์ใส่กันอยู่
คนร่างบางแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น แต่ติดที่ว่าท่อนแขนของเขานั้นยังโดนมือแกร่งบีบรัดแน่นจนแทบปริแตก มันเจ็บชาเริ่มขึ้นสีแดงช้ำเป็นจ้ำอย่างน่ากลัว
รพีเริ่มน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้มใส เฮฟทนมองคนที่แขนเริ่มขึ้นเป็นจ้ำไม่ไหว หากยังยืนคุยกันอยู่แบบนี้ เขาคงได้เผลอบีบแขนของคนเจ้าเล่ห์ขี้โกหกจนหักเป็นสองท่อนแน่ จึงดันให้ร่างบางที่หมดแรงลงไปนั่งกับเก้าอี้ดังเดิม
“แล้วเรื่องในคืนนั้น”
คนตัวสูงยังพยายามจะพูดคาดคั้นต่อ แต่ทว่ากลับพูดได้เพียงเท่านี้ เพราะคนที่นั่งน้ำตาไหลพรากรีบเปล่งเสียงแทรกออกมาขัดขวางกันซะก่อน
“ใช่แล้ว! เรื่องคืนนั้น ตอนผมอยู่ม.6 ผมจะไปบอกพวกผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย งานแต่งของเราจะได้จัดต่อจากงานหมั้นไปเลย”
เสียงของคนไม่ยอมจำนน เอ่ยออกมาอย่างติดขัดด้วยเสียงสั่นเครือ แต่ทว่าเจ้าตัวก็ยังคงคิดว่าตนเองนั้นถือไพ่ที่เหนือกว่าอยู่ดี
ใช่ ถ้าหากว่าใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง ยังไงบ้านพี่เฮฟก็ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เขาโดนพี่เฮฟข่มเหงได้แน่ ๆ
ร่างสูงขมวดคิ้วฉับเข้าหากันทันที
“เพราะฉันเมาจนเป็นบ้านะสิ ถึงได้เห็นนายเป็นฟาร์รังด้วยซ้ำ ฉันเอาแต่พร่ำเพ้อพูดถึงแต่ชื่อฟาร์รัง..ใช่ไหมล่ะ”
“แต่พี่ล่วงเกินผมไปแล้ว ผมไม่เต็มใจด้วยซ้ำ ฮึก” คนตัวเล็กยังหันหน้ามาสบตามองจ้องคนที่รู้ทันกันทั้งน้ำตา
“ใช่ แต่พี่ว่า...พี่ก็แค่เมามายจนหลับไปมากกว่านะ ไม่ใช่รึ”
คนตัวเล็กเบิกตาที่คงมีคราบน้ำตาไหลออกกว้าง นั่งส่ายหน้าระรัวเหมือนไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
"ไม่นะ..ไม่ใช่ พะ..พี่ทำผะ..ผม ฮึก"
“เฮ่อ..แต่เอาเถอะ อย่างไรเสียพี่ก็ต้องขอโทษเราอยู่ดี เพราะยังไงพี่ก็ได้ล่วงเกินเราไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ”
เฮฟค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ของตนเอง ยกมือขึ้นลูบใบหน้าอันเหนื่อยล้าของตัวเอง
“แต่ว่ามันไม่ได้มีอะไรกันไปมากกว่า กอดกับจูบ..ใช่หรือเปล่า”
คนที่เพิ่งควบคุมน้ำเสียงและอารมณ์ของตนเองได้แล้ว เบนสายตาหันไปมองใบหน้าของคู่สนทนา ที่นั่งยังคงนั่งมองจ้องหน้าเฮฟ และยังคงปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มลงมาอย่างไม่ขาดสาย
“แต่ยังไงพี่ก็ตั้งใจจะไปขอขมากับลุงนพกับคุณแขไขอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องหมั้นระหว่างเราพี่คงทำให้ไม่ได้จริง ๆ"
"...ฮึก..."
"เพราะยังไงชีวิตนี้ของฉัน ก็คงยกให้ได้แค่กับคนคนนั้นคนเดียว"
"นายเองก็รู้ ว่าฉันให้ใจกับฟาร์รังไปตั้งนานแล้วนี่นา รพี..”
⍣
หลังจากที่เฮฟได้นัดเคลียร์กับรพีแล้ว สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นปิดบังกับเขามาตลอด คงเพราะเห็นว่าเฮฟนั้นความเสื่อม จึงทำเป็นเข้ามาแสดงตัวว่าตนเองนั้นเป็นแฟนของเฮฟ
และพ่อกับแม่ของเฮฟก็เข้าใจว่าเราทั้งคู่มีปัญหาเข้าใจผิดกันนิดหน่อย เมื่อเกิดเหตุทะเลาะกันจึงทำให้ลูกชายของตนเสียใจจึงไปเมาเละ จนถึงขั้นขับรถไปชนกับเสาไฟฟ้าจนความทรงจำบางส่วนมันได้ขาดหายไป
แต่มันดันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของชีวิตผมด้วยนี่สิ
ตอนที่เฮฟได้ลองปรึกษาหมอจึงได้คำตอบมาว่า อาจจะเป็นเพราะว่าเฮฟเสียใจกับเรื่องนั้นมากที่สุด กลไกของสมองจึงทำให้ร่างสูงลืมเลือนเรื่องนี้ไปได้เช่นกัน
ผลจากการที่พ่อกับแม่และเฮฟ พากันไปขอขมายังตระกูลของรพีเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ทำให้คุณแขไขแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
ส่วนทางลุงนพก็คงรู้สึกไม่พอใจ คงโกรธคุกรุ่นอยู่ในอกเช่นกัน แต่ทว่าในเมื่อคุณคณิน พ่อของเฮฟนั้นเป็นคนออกปากช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ และยังยืนยันว่าจะช่วยเกื้อหนุนเรื่องธุรกิจกับตระกูลนี้อย่างเต็มที่
ในท้ายที่สุด เรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจมันก็สำคัญสำหรับโลกของผู้ใหญ่ มากกว่าเรื่องความรักของลูก ๆ ของตนเองอยู่ดี จึงยินยอมให้ยกเลิกการจัดการงานหมั้นของเราทั้งคู่
จนเรื่องนี้มันผ่านไปได้ แม้นมันจะไม่ค่อยดีนักก็ตาม..
⍣
เมื่อเฮฟได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว ที่จะต้องออกเดินทางไปตามหาและง้อลูกกับเมียให้กลับคืนมา คนเป็นลูกจึงกล่าวขอโทษพ่อกับแม่อีกครั้ง
แต่พวกท่านบอกว่าไม่เคยถือโทษโกรธกันเลย จึงอยากให้เรื่องเหล่านี้เป็นบทเรียนราคาแพง ที่เฮฟนั้นได้รับผลของมันมาอย่างเพียงพอแล้ว และยังกล่าวอวยพรให้เขาพาหลานกับลูกสะใภ้กลับมาให้ได้ด้วย
ลำดับต่อมาเฮฟต้องไปบอกกล่าวกับพี่ชายคนโตก่อนที่จะออกเดินทางไป เพราะฮิมบอกว่ามีของที่จะให้ ระหว่างที่เฮฟโคม่าหลับใหลไม่ยอมตื่นขึ้นมานั้น
ฮิมได้หาของที่เฮฟเคยบอกว่าให้ทิ้งไปให้หมดเตรียมเอาไว้ให้ และฮิมยังบอกด้วยว่าถ้าได้ลองเปิดอ่านจดหมายฉบับนี้ดู แล้วจะเข้าใจว่าทำไมคนตัวเล็กในตอนนั้น ถึงเลือกที่จะขาดการติดต่อกับเขาไปเลย
แถมยังให้ แอคเคาท์ IG @Mokiriz น่าจะเป็นของเพื่อนน้อง น่าจะใช่คนที่ชื่อ หมอก คนที่เคยเจอกันที่ทริปเปิลเอสบาร์
คนนั้นหรือเปล่า?
เมื่อเฮฟลองกดเข้าไปดู จึงเห็นได้ว่านอกจากจะมีรูปคู่กับคนตัวเล็กตั้งแต่สมัยมหาลัยแล้ว ยังมีรูปภาพกับคลิปน้องฮาร์ฟ นายแบบเด็กสุดหล่อตั้งแต่ช่วงแบเบาะจนถึงช่วงที่เดบิวต์เลยด้วย
ตาคมสบมองจ้องภาพในจอสี่เหลี่ยมอย่างนิ่งงันเนิ่นนาน แม้นว่าหัวใจของเขาจะรู้สึกหน่วงหนึบ มีความคิดความอิจฉาเจ้าของไอจีเกิดขึ้นทันที
ที่ได้เห็นว่าหมอกนั้นได้คุยกับเจ้าลูกชายของเขาตลอด แต่เฮฟก็ต้องยอมรับและกดเข้าไปดูอยู่ดี เพราะว่าเสียงหัวเราะของลูกชายนั้นสดใสน่าหลงใหลมากจริง ๆ
ห้วงคำนึงหนึ่ง ผมอยากเจอทั้งคนตัวเล็กและก็เจ้าลูกชายของผมมาก..จนสุดหัวใจเลย..
ซึ่งมันทำให้คนที่ตกอยู่ในห้วงความคิดถึง เกิดอาการตื้นตันจุกอกจนปล่อยให้น้ำสีใสไหลออกมาจากหน่วยตาแบบไม่รู้ตัว
เมื่อพี่ชายคนโตเห็นคนน้องเงียบไปนานเข้า จึงต้องปลี่เข้ามาปลอบใจแกมกระเซ้าเย้าแหย่ให้คลายอารมณ์หมองเศร้า
“เป็นพ่อคนแล้ว ลูกนายก็เป็นหนุ่มน้อยคนดัง ถ้ามีพ่อขี้แยแบบนี้ไม่อายลูกแย่เหรอ”
พร้อมกล่าวอวยพรให้คนน้องที่เผยรอยยิ้มออกมาได้บ้างแล้วอีกว่า
“ยังไงก็ขอให้โชคดี ไปตามหาหัวใจให้เจอและพากลับมานะ”
ก่อนแยกกับพี่ชายคนโต ฮิมบอกมาว่าที่จริงแล้วเพื่อนของฟาร์รัง คนชื่อหมอกก็ให้ที่อยู่กับที่ทำงานของพี่ชายคนตัวเล็กกับที่อยู่บ้านคนตัวเล็กมาให้ที่ฮิมด้วยนะ
แต่ฮิมบอกออกมาตามตรงว่า สำหรับฮิมแล้วคิดว่าให้เฮฟเป็นฝ่ายทักทายหมอกไปเองจะดูจริงใจกว่ากันเยอะ จะได้ทำให้ฝ่ายนั้นเขารู้และมั่นใจว่า เฮฟนั้นยังรักและพยายามเพื่อลูกกับเมียจริง ๆ
ผมเข้าใจพี่ฮิมได้อย่างดีเลย เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ผมก็จะต้องพยายามให้สุดกำลังเช่นกัน
เพราะผมยังต้องการลูกกับเมียเพื่อที่ เรา จะได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันให้ได้นี่ครับ
ผมจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผมต่อจากนี้ ทำเพื่อให้ทั้งสองคนนั้นมีความสุขที่สุดเอง!!
⍣
เมื่อเฮฟปลีกตัวจากพี่ชายมาแล้ว จึงรีบหาทางติดต่อกับหมอกและภาวนาให้เขาตอบรับด้วย เฮฟกลัวเหลือเกินว่าเวรกรรมจะตามทันมาก ๆ
เพราะตนเองนั้นเคยปล่อยปละละเลย เมินเฉยกับฟาร์รังไปตั้ง 10 กว่าปีเลยนะสิ แต่แล้วพระพุทธองค์หรือพระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายกับเขามากนัก
โชคดี ที่เขายังมีแต้มบุญหลงเหลืออยู่ในชีวิตสินะ..
หมอกเพื่อนสนิทของคนตัวเล็กให้ในสิ่งที่เฮฟต้องการมา แลกกับการที่เฮฟจะต้องยอมให้รุ่นน้องแบบหมอกก่นด่าต่อว่ากลับมาจนพอใจอยู่ ณ ตอนนี้ที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง
ทว่าหลังจากที่หมอกยอมเชื่อและมั่นใจแล้วว่า รุ่นพี่คนที่เคยทำเพื่อนซี้ของตนลำบากนั้น ทั้งยังรักและจริงจังกับเพื่อนของตนมาก ๆ แล้วนั้น
หมอกจึงยอมเปิดใจพูดออกมาว่า หมอกได้รับรู้เรื่องราวของเฮฟผ่านทางพี่ฮิมมาบ้างแล้วก็ตาม ก่อนแยกกันหมอกบอกว่าให้เฮฟไปหาพี่เลออนก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งพี่เลออนนั้นเป็นพี่ชายของคนตัวเล็กเป็นด่านต่อไปจะดีกว่า
ซึ่งพอได้ฟังตรงนี้แล้วใจผมกระตุกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันทีเลย
ก็เพราะผมเล่นเอาเปรียบน้องชายเขามานานมากเลยนะสิครับ
ผมยังจดจำน้ำเสียงเย็นเยียบ จากปลายสายตอนที่ได้คุยโทรศัพท์ของคนตัวเล็ก ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมได้เป็นอย่างดีเนี่ยสิ
หมอกคงเห็นว่ารุ่นพี่หล่อเหลานิ่งเงียบไป จึงพูดต่อแม้นว่าเฮฟจะไปเซอร์ไพรส์ฟาร์กับน้องฮาร์ฟที่หน้าบ้าน ก็ไม่แน่ใจว่าสองแม่ลูกจะอยู่บ้านหรือเปล่า
เพราะส่วนใหญ่เจ้านายแบบเด็กคนนั้น มักจะรับงานออนทัวร์เดินแบบต่างถิ่นอยู่บ่อย ๆ ด้วยนะสิ
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ ด้วย
แต่ทว่าน้องฮาร์ฟเข้าวงการตั้งแต่ 4 ขวบเลย แถมยังดังตั้งแต่ 7 ขวบแบบเปรี้ยงปร้างด้วยนี่สิ
สุดยอดไปเลยครับลูกชายของผม!!..
⍣
@ New Jursey
หลังจากที่เฮฟได้เคลียร์ทุกอย่างลงตัวที่ประเทศบ้านเกิดของตนเองแล้ว อดีตนายแบบหนุ่มคนดังก็รีบบินลัดฟ้าข้ามน้ำข้ามทวีป เพื่อมาติดต่อขอเข้าพบกับพี่เลออนที่ตึกทำงานสูงเสียดฟ้าซึ่งเป็นรัฐเดียวกันกับที่ที่คนตัวเล็กและลูกชายของเฮฟนั้นได้มาอาศัยอยู่กับพี่ชายผู้น่าเกรงขามคนนี้ด้วย
เมื่อเฮฟได้เจอกับประธานบริษัทก็รับรู้ได้ทันทีว่าพี่ชายของคนตัวเล็กนั้น ได้รับรู้เรื่องราวของน้องชายของตนเองกับเรื่องเฮฟเป็นอย่างดี
แต่ทว่าพี่เลออนกลับบอกกับเฮฟด้วยว่า อย่าเอาเรื่องที่คุยกันวันนี้ไปบอกกล่าวกับฟาร์รังเด็ดขาด เพราะพี่เลออนไม่เคยบอกน้องชายของตนเองเลย
ว่าคนเป็นพี่นั้นรู้เรื่องทุกอย่างในชีวิตของคนเป็นน้องอย่างดี ตั้งแต่ช่วงที่ทั้งคู่คบกันตั้งแต่ช่วงวัยมัธยมแล้ว และเรื่องเด็กในท้องน้องชายตนเองนั้น
ย่อมต้องเป็นลูกของนายแบบหนุ่มเพลย์บอยคนดังตรงหน้าแน่นอน เพราะนอกจากเฮฟแล้ว ฟาร์รังก็ไม่เคยสานสัมพันธ์หรือยุ่งเกี่ยวกับใครอื่นเลยด้วยซ้ำ
เมื่อผมได้ยินแบบนี้แล้วอึ้งไปเลยครับ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดกับคนตัวเล็กสุดขั้วหัวใจเข้าไปใหญ่
พี่เลออนเป็นผู้ใหญ่ที่ดูน่าเกรงขามมากพอสมควร ตอนแรกเฮฟทำใจไว้แล้วว่าต้องโดนพี่ชายของคนตัวเล็กนั้น ต่อยคะมำล้มคว่ำอยู่ที่นี่เป็นแน่แท้
และตัวเฮฟเองนั้นจะต้องโดนกีดกันให้ออกห่างจากน้องชายสุดที่รักของเขาแน่ๆ แต่ทว่าไม่เลยพี่เลออนกลับกลายเป็นคนที่ใช้เหตุผลคุยด้วยกันมากกว่าใช้อารมณ์หรือความอคติในอดีตมาตัดสิน
แม้นว่าคำแรกที่พี่เลออนหลุดปากทักขึ้นมากับว่าที่น้องเขยตรงหน้าจะใช้เพียงแค่น้ำเสียงที่ราบเรียบเท่านั้น แต่มันกลับทำให้อดีตนายแบบหนุ่มคนดังรู้สึกกดดันซะจนเสียวสันหลังวาบได้เช่นกัน
“มาแล้วเหรอ นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เห็นหน้าตาพ่อน้องฮาร์ฟ และก็...คนที่ทำให้น้องฉันเจ็บช้ำเสมอมาซะแล้ว หึ"
ได้ยินคำทักแรก..แม้นใจผมนี่จะเหลวเป๋วไหลลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม
จนรู้สึกอยากที่จะรีบคลานเข่าเข้าไปขออขมาลงตรงฝ่าพระบาทของคนที่นั้งด้านข้างขึ้นมาทันทีเลยละ
แต่ทว่าความเป็นจริงแล้วกายหยาบของเฮฟก็ยังคงนั่งนิ่งอึ้ง ทำได้แค่เพียงอึกอักเอื้อนเอ่ยกล่าวขอโทษคำโตอย่างรู้สึกผิดออกมา
"คือผม..ต้องขอโทษทุก ๆ เรื่องที่ผ่านมาด้วยครับ"
“รับรู้เรื่องลูกตัวเองแล้วใช่ไหม”
"อ่า..ครับ"
ผมว่าพี่เลออนเป็นประธานบริษัทที่น่ากลัวสุด ๆ ไปเลยครับ ไม่เหมือนพี่ฮิม พี่ชายของผมเลย
เอ๊ะ! หรือว่าฮิมไม่เคยเผยด้านโหมดโหด ๆ มาให้เห็นกันนะ?
“ถ้ายังรักน้องชายของฉันอยู่ก็พิสูจน์ตัวเองสิ”
"..เอ๊ะ..คุณเลออน ไม่กีดกันผมหรือครับ"
"ฉันน่ะเหรอจะกีดกันนายไปทำไม ก็ในเมื่อน้องฉันไม่เคยลืมนายได้เลยขนาดนั้น"
"ขะ..ขอบคุณครับ"
ร่างสูงที่ยังคงนั่งนิ่ง ๆ แต่ทว่าในใจกลับกระโดดโลดเต้นประดุจว่า ได้ออกวิ่งอยู่ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์แสนสวย
“และก็ขอให้โชคดีนะ เพราะคนที่จะต่อกรกับนาย ไม่ใช่ฉันหรอก หึ”
ฝ่ามือท่านประธานลงแรงตบลงบนแนวบ่าของคนที่เคยทอดทิ้งทั้งน้องและหลานชายเขาเบา ๆ ก่อนจะส่งรอยยิ้ม ที่มาพร้อมกับแววตาเห็นอกเห็นใจส่งมาให้กัน
ตอนแรกเฮฟก็แอบงุนงงอยู่เหมือนกัน ว่ายังเหลือด่านที่เขายังต้องไปขอขมาอีกหรือ?
หมอกเพื่อนสนิทของคนน้องก็แล้ว พี่ชายของคนน้องก็แล้ว
แล้วยังจะเหลือใครละ ที่จะรอต่อกรเป็นคู่ปรับกับผมวะ?
ฟาร์รังเหรอ?
จนกระทั่งเมื่อเฮฟได้บินตามมาตารางงานของน้องฮาร์ฟ ซึ่งได้มันมาจากพี่เลออนบอกให้มาที่งาน Fashion Week ซึ่งในปีนี้จัดการแสดงขึ้นที่ Milan
แชะ! แชะ! แชะ!!
นักข่าว : “น้องฮาร์ฟค่ะ น้องฮาร์ฟ”
ฮาร์ฟ : “ครับพี่ชุดแดง ถามเลยฮ่ะ”
นักข่าว : “น้องฮาร์ฟเคยได้ยินประเด็นข่าวฮ็อต จนเป็นที่ฮือฮาเกี่ยวกับเรื่องที่หน้าตาของน้องฮาร์ฟ ที่ไปเหมือนกับนายแบบดังคนนี้บ้างไหมคะ”
ฮาร์ฟ : “คนไหนหรือครับ แล้วมีข่าวอะไรครับ”
นักข่าว : “เออ..ก็คือแบบว่า..หน้าตาน้องฮาร์ฟ ไปคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับนายแบบที่ชื่อเฮฟนะคะ แฟน ๆ จึงคิดว่าอาจจะเป็นแบบว่า..เออ...เป็นญาติกันน่ะค่ะ”
ฮาร์ฟ : “อ่อ ก็เคยมีนักข่าวจากงานที่ลอนดอน ถามฮาร์ฟอยู่เหมือนกันนะครับ”
นักข่าว : “แล้วน้องฮาร์ฟมีความเห็นอย่างไรบ้างคะ สรุปว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันไหมคะ”
ฮาร์ฟ : “พวกพี่ ๆ คงเคยได้ยินกันมาบ้างใช่ไหมครับ เรื่อง ทฤษฎีคนหน้าเหมือนกันบนโลกใบนี้ 7 คน ไงครับ”
นักข่าว : “ก็คือ..น้องฮาร์ฟจะบอกว่าสรุปเป็นเพียงแค่คนหน้าคล้ายกันเฉย ๆ ใช่ไหมคะ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยใช่ไหมคะ”
นายแบบหนุ่มน้อยวัยเพียง 10 ขวบยกยิ้มสดใสส่งให้แสงแฟรชที่กำลังสาดรัวใส่กับร่างกายของตนเองแทนคำตอบ
ฮาร์ฟ : “น้องฮาร์ฟต้องขอตัวก่อนนะครับ พี่ทีมงานเรียกน้องแล้วฮ่ะ และก็ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนสำหรับวันนี้ด้วยนะครับ ยังไงงานครั้งหน้าฮาร์ฟมีงานนิตยสารคู่กับมัมอยู่ ฝากติดตามด้วยนะครับ”
เหล่านักข่าว : “อู้ย...น้องฮาร์ฟแบบนี้พวกพี่ก็ต้องรอคำตอบจากนิตยสารหรือคะ แบบว่าอยากได้เอ็กซ์คลูซีฟน้องฮาร์ฟบางจังเลยค่ะ”
ฮาร์ฟ : “ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะครับ”
นายแบบหนุ่มน้อยผู้ที่มีใบหน้าอันหล่อเหลาได้เผยรอยยิ้มออกกว้าง พร้อมกับส่งวิ้งทิ้งท้ายให้กับบรรดานักข่าวได้รัวช็อตเก็บสุดฮ็อตก่อนที่จะก้าวขาเล็กๆ เดินออกจากอาณาบริเวณพรมแดงไปพร้อมกับสต๊าฟที่ได้รุมกรูกันเข้ามาเพื่อทำหน้าที่รายล้อมกันตัวนายแบบเด็กคนดังเอาไว้ให้ออกห่างจากพวกนักข่าวและบรรดาแฟนคลับทันที
แล้วทั้งหมดจึงได้พากันรีบออกก้าวเดินไวเพื่อเดินกลับเข้าไปยังด้านในงานเลี้ยงต่อ ใบหน้าที่เคยประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานบัดนี้กลับหุบยิ้มลงไปแล้วมีสีหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติดังเดิมตามสไตล์ของคนเบื่อโลกที่แท้จริงไปซะแล้ว
คำตอบเมื่อครู่ที่ลอยละล่องปลิวมาตามสายลมได้ปะทะเข้ากับใบหูของคนที่ดีใจมาก ที่จะได้พบกับลูกเมียที่พลัดพรากกันมาแสนนานนั้น ถึงกับทำเอาดอกไม้ช่อโตในมือที่ไร้เรี่ยวแรงของคนที่ถือมาซะดิบดีก่อนหน้านั้นถูกปล่อยให้มันร่วงหล่นลงสู่พื้นพรมสีแดงหรูหรา ราวกับว่าคนถือมันไว้ได้หมดเรี่ยวแรงที่จะรั้งแรงโน้มถ่วงของโลกใบนี้เอาไว้อีกต่อไปแล้วละ
จนกลีบดอกชูช่อสวยงามเหล่านั้นต้องหล่นร่วงกระทบพื้นเข้าอย่างจังแล้วได้กระเด็นกระดอนหลุดออกจากช่อสวยไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ทว่าคนที่ถือมันมากลับไม่ได้ให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป ก็ในเมื่อโสตประสาทการรับรู้และได้ยินของของเขานั้นมันได้ตื้อดับลงไปแล้ว มีเพียงแค่ประโยคเดียวที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในแกนสมองแล้วได้ประมวณภาพออกมาผ่านม่านตาให้เริ่มเกิดอาการพร่าเบลอตามขึ้นมาด้วย
ซึ่งต่างจากบรรยากาศรอบข้างที่สนุกสนานของงานนั้น ไม่สามารถทำให้คนที่ยืนเคว้งขว้างมีใบหน้าไร้สีเกิดความรู้สึกครื้นเครงใจร่วมกับงานรื่นเริงนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
นี่ผม...มาช้าไปสินะ!
จนทุกอย่างมันสายไปแล้วหรือครับ?...
#ทุ่มเทเพื่อรัก