สาม
เยือนหอเวหา
ณ เมืองจื้อโหยว หนึ่งเดือนต่อมา
ผืนฟ้ากว้างใหญ่สีครามสดห่มสรรพสิ่งไว้เบื้องล่าง เมืองจื้อโหยวจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เชิง
ห่างจากศูนย์กลางเมืองใหญ่เรื่อยมายังบริเวณท่าเรือริมทะเลกระจกในเช้าวันนี้ช่างครึกครื้นเนื่องจากกำลังวุ่นวายกับการจัดเตรียมงานเทศกาล ในทางกลับกันแถบชานเมืองกลับสงบเงียบดังเช่นที่ผ่านมา
หากจะกล่าวให้ถูกต้อง...คือชาวบ้านแถบนี้ยังไม่ได้รับการเหลียวแลจากทางการเหมือนเช่นเคย ทว่าหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้กลับไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพวกเขา
“ท่านยาย! บนหัวเตียงของข้ามีเสื้อผ้าชุดใหม่ สวยงามมากเลย! ” เสียงเด็กเล็กตะโกนลั่นอย่างดีใจดังมาจากกระท่อมหลังน้อยท้ายหมู่บ้าน มิทันไรก็เป็นเพียงแหบแตกเนื้อหนุ่มในเรือนเล็กถัดมา
“ท่านปู่...จู่ๆ ในหีบของเราก็มีสมุนไพรรักษาโรคอยู่มากมาย หมายความว่าเราสามารถแจกจ่ายให้ชาวบ้านได้แล้วใช่หรือไม่!”
“พี่ชายๆ กะ...เกวียน! มีเกวียนไร้ม้าเทียมเล่มหนึ่งอยู่ที่หน้าบ้าน!”
“สิ่งนี้ต้องเป็นปาฏิหาริย์ของเทพเซียน! ”
“ใครว่า เป็นจอมโจรวิญญูชนต่างหากเล่า!”
เสียงพูดคุยระเบ็งเซ็งแซ่ส่งผลให้หมู่บ้านอันแสนเงียบเหงาให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตาเห็น ผู้คนล้วนส่งยิ้มและหัวเราะหน้าชื่นตาบาน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใบหน้าของผู้ที่มองจากไกลๆ ระบายรอยยิ้มละมุนละไม
บนทุ่งหญ้าซึ่งเป็นพื้นที่ราบสูงห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณสองลี้ บุรุษสามคนซ้อนนั่งบนอาชาไนยคนละตัวมองดูภาพที่เกิดขึ้นอย่างสงบ จนกระทั่งหนึ่งในนั้นทำลายความเงียบขึ้นมา
“ดูสิอูกั๋ว การเป็นผู้ให้ย่อมได้รับความสุขอันล้ำค่าคืนมาเสมอ” คำพูดของร่างสูงโปร่งในชุดสีกรมท่าเรียกให้คนอายุน้อยหันไปพยักหน้าอย่างเห็นด้วย สีหน้าของอูกั๋วแช่มชื่น ผิดกับบุรุษในชุดสีหมอกที่หัวเราะพลางหยอกเย้าด้วยความขบขันเต็มประดา
“อูกั๋ว เกรงว่าอีกไม่นานลูกพี่ของเจ้าคงได้ออกบวช” อวิ๋นจิ่นลี่ตวัดบังเ**ยนในมือเพื่อให้ม้าออกตัว เรือนผมของเขาเกล้าเป็นมวยอย่างเรียบร้อยแสดงถึงความเอาใจใส่ในรูปลักษณ์ ชื่อเสียงความเจ้าสำอางของชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ผู้มีคิ้วกระบี่นี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ทว่าน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา
“ไม่มีทางหรอกท่านอวิ๋น ในเมื่อเงินที่ลูกพี่นำไปใช้จ่ายซื้อของให้พวกเขามิใช่ของเขาเองด้วยซ้ำ หากข้าเป็นนางคงจะโกรธน่าดู”
อูกั๋วเล่าพร้อมกับบังคับม้าให้เดินตาม แน่นอนว่าคำพูดของเขาเรียกให้ดวงตาเรียวคมของจอมโจรวิญญูชนตวัดมองอย่างคาดโทษ การเล่าให้คนช่างสังเกตถึงขั้นขี้จับผิดอย่างอวิ๋นจิ่นลี่มิใช่ความคิดที่ดีเอาเสียเลย
เลี่ยงได้ควรเลี่ยง...สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำ
อาชาสามตัวย่ำเท้าไม่ช้าไม่เร็ว จอมโจรวิญญูชนมีลางสังหรณ์ว่างานนี้คงไม่พ้นถูกถามถึงเรื่องเฮยขงเชว่
“นาง[1]? ” และลางสังหรณ์ของเขาก็เป็นจริงเมื่อหนุ่มเจ้าสำอางดูกระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่แล้วขอรับ” เด็กหนุ่มพยักหน้ายืนยัน “นางเป็นสตรีแท้ๆ แต่กลับมีบาดแผลเต็มตัว ลูกพี่ช่วยทำแผลให้และอยากได้นางมาเป็นพวก” คนเล่าเบือนสายตาไปยังเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา “ลูกพี่ นี่ก็ผ่านมาเดือนนึงแล้ว เฮยขงเชว่ก็ยังตามหาท่านไม่พบ”
ชายหนุ่มหรี่ตา “ดูท่าวันนี้เจ้าจะพูดมากเป็นพิเศษ”
“ลูกพี่ เป็นเพราะข้าอารมณ์ดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น”
คำตอบแสนซื่อส่งผลให้ร่างสูงโปร่งอับจนด้วยคำพูด ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจว่าตนกำลังเหน็บแนมเขาอยู่ สุดท้ายจึงลอบถอนหายใจ สานต่อบทสนทนาอย่างอดเสียไม่ได้ “บางทีข้าอาจจะทิ้งเบาะแสไว้น้อยเกินไป”
“หรือไม่ก็เป็นเพราะนางไม่สนใจจะตามหาท่าน นางอาจจะอับอายเกี่ยวกับ ‘เรื่องนั้น’ ก็เป็นได้” อูกั๋วรีบสมทบอย่างออกรสออกชาติ
“อูกั๋ว มีเรื่องอันใดจงเล่ามาเสีย อย่าได้ชักช้า” บุรุษอีกคนเร่งเร้า ดูท่าการเดินทางมาสมทบสหายที่ชายแดนจะไม่เสียแรงเปล่า เรื่องสนุกๆ เช่นนี้มีหรือที่เขาจะพลาด
“ท่านอวิ๋นไม่รู้อะไรเสียแล้ว ลูกพี่ถูกเฮยขงเชว่โผกอดเบียดชิดจนร่างแทบหลอมรวมเป็นหนึ่ง”
“อะไรนะ! ”
เป็นอวิ๋นจิ่นลี่เสียอีกที่ตกใจจนเผลอร้องเสียงดัง สหายของเขาคงความบริสุทธิ์ดุจผ้าขาว เพียงโดนสตรีสัมผัสเข้าหน่อยก็หน้าแดงเป็นผลอิงเถา[2] จริงรึที่ยอมปล่อยให้สตรีแปลกหน้าโอบกอด?
“ข้าพูดจริงนะ! ลูกพี่เก่งกล้าสามารถ จิตใจเปี่ยมด้วยเมตตาและคุณธรรม ทั้งยังมีเสน่ห์มากล้น หากลูกพี่เอาจริง รับรองว่าย่อมเป็นที่ชมชอบของนารีบุปผางามมากกว่าท่านอวิ๋นเสียอีก ข้ากล้าเอาหัวรับประกันเลย!”
ร่างในชุดสีกรมท่าใบหน้าดำคล้ำสลับแดง สีหน้าทุกข์ตรมประหนึ่งมิได้ปลดทุกข์มาหลายวันเล่นเอาคุณชายเสเพลหัวเราะตัวโยน ร่างแทบพลัดตกลงมาจากอานม้า
“อูกั๋ว เจ้ารู้จักใช้คำว่า ‘นารีบุปผางาม’ ก้าวหน้า...นับว่าก้าวหน้า! ” อวิ๋นจิ่นลี่ยกมือตบเข่า ขำจนหน้าแดง
จอมโจรวิญญูชนตวัดมองค้อนสหายก่อนจะเพ่งเล็งไปยังผู้ติดตาม “อูกั๋ว! พูดจาแก่แดดแก่ลม ลงจากม้าเสีย...ต่อจากนี้อีกห้าลี้ให้เจ้าวิ่งตาม!”
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่ทราบเรื่องที่ลูกพี่ของเขายังเป็นบุรุษพรหมจรรย์ งานนี้คนไม่รู้ความจึงต้องลงไปวิ่งตามม้าอย่างน่าสงสาร
ร่างที่วิ่งไล่ตามหลังเริ่มหอบและทิ้งระยะห่างไปเรื่อยๆ หากสหายทั้งสองพูดคุยกันคงไม่มีทางที่ผู้ติดตามจะได้ยิน
“เจ้าไม่ชอบแตะต้องอิสตรีแต่อูกั๋วกลับบอกว่าเจ้าเป็นคนทำแผลให้...หืม? ผู้ใดกันนะที่โชคดีถึงเพียงนั้น หากเหม่ยหลินรู้เรื่องเข้าคงไม่พอใจน่าดู” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เพียงไม่นานก็นึกชื่อของหญิงสาวได้ “อ้อ...อูกั๋วบอกว่าคือเฮยขงเชว่ใช่หรือไม่”
“ข้าถือว่านางเป็นเพียงหุ่นไม้” ผู้ตอบมีน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายอย่างเห็นได้ชัด คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในยามนั้นเขาต้องใช้ความพยายามมากเพียงไรถึงจะควบคุมมือกับเสียงมิให้สั่นต่อหน้าอูกั๋ว ทั้งที่ความจริงแล้วหัวใจที่เต้นแรงได้ทำลายสมาธิไปจนแทบไม่มีเหลือ
...ขืนพูดออกไปมีหวังได้ขายหน้า เสียชื่อจอมโจรวิญญูชนแย่
ป่านนี้ไม่รู้ว่านางนกยูงดำจะเป็นเช่นไรบ้าง นางอาจบาดเจ็บสาหัสหรือหลงทาง แต่ด้วยนิสัยของนางจะยอมปล่อยให้ของถูกช่วงชิงไปโดยไม่กลับมาทวงแค้นเชียวหรือ?
ร่างสูงโปร่งจมอยู่ในห้วงคิดไม่นานก็ตีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม เล่นเอาผู้ที่คิดว่าจะได้แกล้งหยอกเย้าหนุ่มบริสุทธิ์นานกว่านี้เผยความผิดหวังเบาบางออกมาทางแววตา
“ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ มีผู้ใดสงสัยหรือไม่”
สีหน้าของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง กลิ่นอายรอบตัวเฉียบคมขึ้นอีกหลายเท่าตัว “ในรัศมีห้าลี้รอบจวนของเจ้าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ผิดสังเกต ตัวตนที่เจ้าสร้างขึ้นทำให้เจ้าไม่อยู่ในสายตาผู้ใดทั้งสิ้น”
จอมโจรวิญญูชนยกยิ้มบางเบา “เจ้าเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้านักหรอก”
“ข้ายังห่างชั้นกับเจ้าเยอะ กลับไปคราวนี้อย่าลืมตามจาเชียนลั่วมาตรวจอาการล่ะ” อวิ๋นจิ่นลี่ระบายลมหายใจ “เรื่องหลักฐานที่เจ้าให้ข้าเมื่อคราวก่อน ข้าพยายามสืบหาดูแล้วแต่ก็ไม่พบลู่ทางที่จะสาวไปถึงตัวการได้ ทางจิ้งเหม่ยหลินเองก็สืบไปไม่ถึงต้นตอ ดังนั้นข้าจึงยังไม่ลงมือ ประเดี๋ยวจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“เจ้าตัดสินใจถูกต้อง หากเรื่องเล็กไม่อดทนจะเสียงานใหญ่” ชายหนุ่มเห็นว่าม้าวิ่งเร็วไปแล้วจึงใช้ขาสัมผัสเข้าที่ข้างลำตัวของมันเพื่อให้ชะลอความเร็วลง แม้จะเป็นการทำโทษอูกั๋วแต่ก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้อยู่ดี
“เจ้ากลับไปครานี้เราต้องวางแผน...” หนุ่มเจ้าสำอางหุบเงียบทันทีเมื่อโสตประสาทสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ใกล้เข้ามา เขากระชากบังเ**ยนเพื่อให้ม้าหยุดเคลื่อนที่ ยื่นแขนออกตรงขนานกับพื้นด้วยความเคยชิน ผิวปากเรียกเพียงครู่เดียวก็มีนกพิราบสื่อสารตัวสีขาวสะอาดบินมาเกาะลงบนแขนพร้อมกับม้วนกระดาษที่ม้วนใส่อยู่ในปล้องไม้เล็ก ครั้นกวาดตามองอักษรที่เขียนมาเสร็จสิ้นแล้วก็สะบัดแขนอีกหนึ่งครั้ง ส่งนกพิราบดังกล่าวให้บินจากไป
“จิ้งเหม่ยหลินต้องการพบข้าและเจ้า”
“มีเรื่องอันใด” จากสีหน้าหนักใจของสหายนานๆ จะได้เห็นสักครั้ง น้ำหนักของเรื่องนี้ดูท่าจะหนักอยู่พอสมควร
“ดูเหมือนว่าจะมีคนทรยศจากแคว้นอู๋หลบหนีเข้าเมืองจื้อโหยว”
[1] นาง ในภาษาจีนจะออกเสียงว่า ทา (*) ซึ่งเป็นเสียงเดียวกับที่ใช้เรียกสรรพนามแทนบุรุษว่า เขา (*)
[2] ผลอิงเถา (**) หมายถึง ผลเชอร์รี่