ชีวิตใหม่ [6.2]

1727 Words
ค่ำคืนนี้เมืองจื้อโหยวช่างครึกครื้นรื่นรมย์ การเฉลิมฉลองที่แคว้นอู๋ยอมถอยทัพดำเนินมากว่าสี่วันสี่คืน และดูท่าจะยาวต่อไปทั้งสัปดาห์ ในสายตาของประชาราษฎร์ล้วนมองซูเฉิ้งหนาน หญิงสาวผู้แสนเปราะบางในแง่มุมที่ดีขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้พวกเขาจะได้เปิดหูเปิดตากับท่านเจ้าเมืองที่เคยมีพื้นเพเก่าเป็นนางโจร... “ความจำเสื่อม? ” ทันทีที่อวี่เหลียงเดินทางกลับมาถึงจวนท่านเจ้าเมือง ข่าวสารที่บุรุษร่างสันทัดรับรู้จากท่านหมอก็ทำเอาอึ้งไป ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเคลือบแคลงสงสัยในเวลาต่อมา ยามนี้พลบค่ำแล้ว...แต่ท่านเจ้าเมืองกลับไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องจนเป็นที่กลัดกลุ้มใจของบ่าวไพร่ หลายชีวิตยืนพูดคุยอยู่บริเวณเรือนของผู้เป็นนาย แม้จะพยายามคงท่าทีให้สงบแต่ก็มิอาจปกปิดความกลัดกลุ้มในแววตาได้อยู่ดี อวี่เหลียงเบือนจากบุรุษผู้อาวุโสไปยังสาวใช้ทั้งสามที่ยืนก้มหน้าก้มตาอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ไม่ไกล “เป็นความจริงหรือ ซือซือ” สาวใช้ในชุดสีฟ้าอ่อนสะดุ้งตัวเบาๆ อวี่เหลียงถือเป็นข้ารับใช้ที่สนิทที่สุดของท่านเจ้าเมืองซูเฉิ้งหนาน ทั้งยังเป็นหัวหน้าพ่อบ้านผู้ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างภายในจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับนายหญิง...แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับอีกฝ่ายที่มิอาจมองข้ามไปแม้แต่น้อย “ใช่เจ้าค่ะ นายหญิงจำข้าไม่ได้ แม้กระทั่งท่านอวี่เหลียง...นายหญิงก็จำไม่ได้” นางเองก็มิอาจหาคำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้นอกเหนือจากข้อสรุปของท่านหมอ เมื่อได้ฟังคำยืนกรานจากปากของสาวใช้ขั้นที่หนึ่งซึ่งคอยปรนนิบัติดูแลซูเฉิ้งหนานอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ใบหน้าของอวี่เหลียงที่เข้มอยู่แล้วทวีความคล้ำขึ้นอีกเท่าตัว ท่านเจ้าเมืองผู้แสนงดงามเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าของเขากลายเป็นคนความจำเสื่อม! เขาเพิ่งฉกฉวยโอกาสนั้นกำจัดผู้ที่อาจจะกลายเป็นเสี้ยนหนามของเมืองจื้อโหยวไปแล้วแท้ๆ สมควรจับหมอไร้สามารถผู้นี้มาตัดหัว! “ท่านหมอ! หากท่านไม่มีคำอธิบายให้กับข้า...” ผู้อาวุโสเพียงคนเดียวในหมู่คนหนุ่มสาวได้ฟังก็หนาวสั่นสะท้าน “เรื่องนี้...” ความจริงเขาอยากตรวจดูอาการของท่านเจ้าเมืองให้ละเอียดกว่านี้ แต่สตรีหมายเลขหนึ่งในเมืองจื้อโหยวกลับถลึงตาดุ มองเขาอย่างห่างเหินราวกับคนแปลกหน้าทั้งที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่นางยังเด็กอยู่แท้ๆ ซูเฉิ้งหนานมิเพียงไม่ให้ความร่วมมือ หากยังพูดจาห้วนๆ อย่างน่าใจหายด้วยว่าเจ้าเมืองคนก่อนได้ตายไปแล้ว... นางมิใช่แค่จำตนเองไม่ได้ แต่บุคลิกนิสัยทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนเขามิรู้ว่าจะใช้โรคใดมาวินิจฉัย นางอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรืออาจจะไม่กลับไปเป็นดังเดิมได้อีกเลย ด้วยเหตุนี้ผู้เป็นหมอจึงทำได้เพียงส่ายหน้าอับจนปัญญาเป็นคำตอบ หากตอบไม่ดีอาจกลายเป็นเขาเองที่ต้องหมดลมหายใจ... “เรื่องนี้? ” น้ำเสียงของหัวหน้าพ่อบ้านคาดคั้นเป็นอย่างยิ่ง “คาดว่าในระหว่างที่ท่านเจ้าเมืองโดนพิษร้ายแล้วตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นตาย จิตใต้สำนึกของนางน่าตื่นกลัวถึงขั้นสุดจนเป็นเหตุที่ทำให้อยากหลงลืมตัวตน...” เรื่องนี้ท่านหมอคาดเดาไปเช่นนั้นเอง แต่ก็ใช่ว่าไม่มีโอกาสเป็นไปได้ อวี่เหลียงแผ่กลิ่นอายกดดันจนน่าอึดอัด ก่อนที่มันจะจางหายไปในเวลาต่อมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เหตุไฉนท่านเจ้าเมืองผู้แสนงดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้าของเขาจึงได้ป่วยหนักถึงขั้นความจำเสื่อม จนตกอยู่ในสภาพน่าสงสารเช่นนี้...” สีหน้าของชายหนุ่มเซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด บ่าวไพร่พากันซับน้ำตาที่หลั่งริน บรรยากาศที่โอบล้อมพลันเศร้าสลดทั้งที่ยามนี้ทั่วทั้งเมืองกำลังเฉลิมฉลองกันอยู่แท้ๆ “ท่านหมอเกา วันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปเชิญท่านมาดูอาการของท่านเจ้าเมืองใหม่ ท่านหมอเกาเป็นแพทย์ประจำตัวของท่านเจ้าเมืองมานาน ข้าเชื่อใจท่าน...หวังว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ” “ข้าทราบแล้ว ไว้วันพรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่” ท่านหมออำลาก่อนจะรีบจากไปทันที จะปล่อยให้ข่าวนี้แพร่งพรายออกไปไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นกองทัพแคว้นอู๋ที่เพิ่งล่าถอยไปอาจจะฉวยโอกาสที่ผู้นำของพวกเขาป่วยหนักแล้วกลับมาเล่นงานเอาได้ และมันก็มิใช่เพียงแคว้นอู๋แคว้นเดียวที่พวกเขาต้องกังวล... บ่าวไพร่ล้วนจมอยู่ในห้วงคำนึงของตนเอง จนกระทั่งเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาที่เคลื่อนเข้ามาใกล้จะเรียกสายตาทุกคู่ให้เบือนไปยังทิศทางเดียวกัน ในความมืดมิดที่มีแสงสว่างวาบจากโคมไฟ...กลับมีร่างของผู้ที่ควรปลีกวิเวกอยู่แต่ในเรือนย่างกรายออกมายืนต่อหน้าพวกเขาทั้งมวล “ทะ...ท่านเจ้าเมือง!” การปรากฏตัวแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงทำเอาสาวใช้ทั้งสามยกมือขึ้นมาปิดปาก เมื่อครู่ตกใจจนเกือบกรีดร้องออกมา ยามนี้สาวใช้ขั้นที่สองและสาม รวมถึงข้ารับใช้อื่นๆ ไปดื่มเลี้ยงสังสรรค์กันในเรือนบ่าวไพร่ทางด้านหลัง ดังนั้นผู้ที่อยู่หน้าเรือนใหญ่แห่งจวนท่านเจ้าเมืองจึงมีอวี่เหลียงกับพวกนางเท่านั้น ท่านเจ้าเมืองอายุสิบหกปีที่ไร้กำลังภายใน ด้วยเหตุนี้เสาอวี่ผู้อยู่ในร่างของซูเฉิ้งหนานจึงไม่รู้ว่ามีคนยืนอออยู่มากถึงเพียงนี้ ใบหน้างามทั้งขัดใจและหงุดหงิด ประหนึ่งเด็กน้อยถูกจับผิดล้วนอยู่ในสายตาของคนทั้งสี่ “หึ...ที่นี่คึกครื้นกันดีจริงๆ ” “คารวะท่านเจ้าเมือง” “คารวะนายหญิง” คนทั้งหมดได้สติรีบทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกันก่อนที่ชายหนุ่มร่างสันทัดจะชิงพูดขึ้นในจังหวะถัดมา “ท่านเจ้าเมือง ดึกดื่นเช่นนี้แล้วท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ” น้ำเสียงของอวี่เหลียงเต็มไปด้วยความเทิดทูนยกย่อง ประกายคาดหวังในแววตาทำเอาเสาอวี่ถึงกับเบ้หน้า ลางสังหรณ์บอกว่าคนผู้นี้ไม่น่าไว้ใจ มิหนำซ้ำเสียงของเขายังคุ้นหูชอบกล “ข้าไม่รู้จักเจ้า” เสียงหวานใสราวกับนกกางเขนป่า แต่น้ำเสียงกลับแสนห่างเหินยิ่ง บ่าวผู้ภักดีรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในอก แทบจะรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น “ท่านเจ้าเมือง ท่านจำมิได้หรือขอรับ เป็นข้าน้อย...อวี่เหลียง” ชายหนุ่มจ้องมองดวงตากระจ่างใสของหญิงสาวที่เขาเฝ้ามองมาตลอดชีวิต พยายามอย่างยิ่งที่จะรื้อฟื้นความทรงจำนางกลับคืนมา “ข้าน้อยเป็นหัวหน้าบ่าวไพร่ทั้งหมดในจวนท่านเจ้าเมือง เป็นคนสนิทของท่าน...” ร่างในชุดสีชมพูอ่อนที่รื้อข้นมาจากหีบผ้าเพื่อลดระดับความหวานเลี่ยนกลับโบกมือไปมา ท่าทีไม่สนใจไยดี “ข้าไม่อยากฟัง” วาจาของนายหญิงช่างห้วนเสียจนสาวใช้ทั้งสามพากันลอบกลืนน้ำลาย น้ำตาพาลจะไหลออกมาเสียดื้อๆ นายหญิงผู้อ่อนหวานของพวกนางแปลงกายเป็นคนเถื่อนไปเสียแล้ว แววตาราวกับกำลังไว้อาลัยทำให้เสาอวี่รู้สึกเหมือนกำลังจะก้าวลงหลุมฝังศพ และก็อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในเมื่อนางยังไม่สามารถทำใจเรื่องที่ต้องมาอยู่ในร่างอ่อนแอนี้ได้เท่าไรนัก การตายของนางในร่างเดิมมีบางสิ่งเกี่ยวพันกับจวนแห่งนี้ หนทางเดียวที่นางจะเข้าใกล้ความจริงนี้ได้คือการตามหาบุรุษผู้มีรอยสักที่แผ่นหลังซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคนจากชนเผ่าอสรพิษให้พบ “บอกข้ามาว่าคลังสมบัติอยู่ที่ไหน” ...อย่างน้อยต่อให้ซูเฉิ้งหนานอ่อนแอ แต่ร่างที่เป็นถึงเจ้าเมืองจื้อโหยวก็ควรจะมีเงินทองมากมายมาให้นางครอบครองบ้างมิใช่รึ? การถามตรงๆ ประกอบกับใบหน้าจิ้มลิ้มดูใสซื่อจากผู้เป็นนาย ส่งผลให้อวี่เหลียงที่ก่อนหน้านี้จำตัวประหนึ่งร่างไร้วิญญาณกลับมามีชีวิตชีวาอีกครา “ท่านเจ้าเมืองอยากไปที่คลังหลวงหรือขอรับ” “นายหญิงเจ้าคะ ยามนี้ดึกมากแล้ว ไว้ท่านพักผ่อนให้หายเพลียเสียก่อน กุญแจคลังหลวงก็มิได้อยู่ที่นี่ ไว้วันพรุ่งนี้ค่อยยื่นเรื่อง...” ซือซือเห็นว่าท่านเจ้าเมืองกำลังป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม ตอนกลางวันยังไม่ถือว่าอันตราย ทว่ายามกลางคืนนั้นก็ไม่ควรประมาท นับตั้งแต่ท่านเจ้าเมืองและนายหญิงคนเก่าเสียชีวิตไป จวนท่านเจ้าเมืองซึ่งมีนายหญิงอายุน้อยก็มีนักลอบสังหารกับโจรร้ายบุกเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง เสาอวี่ถ่างขาพร้อมกับยกมือขึ้นมาท้าวสะเอวขณะที่น้ำเสียงเข้มขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าเมืองมีอำนาจสั่งการเด็ดขาดเสียอีก” “ข้าน้อย...” หัวหน้าสาวใช้กลืนน้ำลายลงคอ นางเพียงแต่หวังดีกับนายหญิงเท่านั้นเอง... ครั้นโจรสาวเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะร้องไห้ก็เริ่มหงุดหงิด ช่วงนี้นางมีเรื่องให้ขบคิดมากมาย ไม่มีอารมณ์จะมายืนฟังเสียงร้องไห้ ในที่สุดร่างบอบบางก็ยอมล่าถอยกลับเข้าไปในเรือนตามเดิม สาวใช้ทั้งสามซึ่งต้องคอยปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดเห็นดังนั้นก็กล่าวอำลาอวี่เหลียงเพื่อเข้าไปยังเรือนเล็กที่อยู่ด้านหลังเผื่อผู้เป็นนายเรียกใช้ก็จะได้คอยดูแลได้สะดวก ฝ่ายอวี่เหลียงก็ไปพักผ่อนในเรือนซึ่งอยู่ท้ายจวน งานเลี้ยงทั้งด้านในและด้านนอกดำเนินมาอย่างยาวนานนัก จนกระทั่งยามอิ๋นจึงได้เลิกรา...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD