“นกยูงรำแพน ป้องแดนเสรี
สาดแสงรัศมี บารมีสูงค่า
สลักลึกดวงจิต สถิตในวิญญา
แซ่ซ้องบูชา ปักษาราชินี...”
ปักษาราชินี... ป้องแดนเสรี
คำว่า ‘จื้อโหยว’ แปลว่าเสรี แดนเสรีก็คือเมืองจื้อโหยว
ปักษาราชินี คงหมายถึงนักปกครอง ที่นี่ไม่มีกษัตริย์ จะมีก็แต่...เจ้าเมือง
ท่านเจ้าเมืองจื้อโหยว... จวนท่านเจ้าเมือง... ซูเฉิ้งหนาน...
“อึก! ” ความปวดร้าวที่ลามมาตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงท้องส่งผลให้ผู้ที่รู้สึกตัวร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด แพขนตาที่หนักอึ้งทำให้ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ทันที ทว่าปลายนิ้วเรียวก็ยังรับรู้ได้ถึงความอ่อนนุ่มอุ่นสบายอันแปลกประหลาด
‘ใคร?’
เสาอวี่ร้องถามขึ้นในใจพลันนึกถึงใครบางคนขึ้นมา หากมิใช่เพราะเจ้าจอมโจรหน้าเหม็นผู้นั้นเอาเงินของนางไปล่ะก็... ป่านนี้นางคงไม่ต้องมาซุกหัวนอนที่หอบุปผาแดงจนเกิดเรื่อง
ทว่าเรื่องของชนเผ่าอสรพิษกับเจ้าจอมโจรวิญญูชนคงต้องพักไปก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้าไปสืบหาเบาะแสเพิ่มเติมในจวนท่านเจ้าเมือง
“ท่านแม่ของข้า แม่นางผู้นี้ฟื้นแล้ว” เสียงหวานใสๆ ดังขึ้นข้างตัวก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งจากไป
โจรสาวลืมตาขึ้นมาด้วยความอ่อนล้า ความนุ่มสบายข้างลำตัวเริ่มเลือนหาย นางหรี่ตาขณะที่เบือนหน้าไปยังทิศทางดังกล่าว จังหวะนั้นเองที่ฟางฟางวิ่งกลับเข้ามาภายในเรือนไม้ด้วยสีหน้าเรียบร้อน
“อาเชว่! เจ้าฟื้นแล้ว”
“มะ...หมาป่า? ” เสาอวี่อ้าปากค้าง เอ่ยแหบแห้งเมื่อเห็นเจ้าสัตว์สีเท้าขนฟูเดินนวยนาดออกไปต้อนรับสตรีสองนางที่เพิ่งเข้ามาสมทบเป็นเวลาต่อมา
“ท่านลุงหรงเสี่ยมิใช่หมาป่า แต่เป็นจิ้งจอกต่างหาก” เด็กสาวอายุประมาณสิบสี่ในชุดสีขาวตอบนางเจื้อยแจ้ว “แม่นางเสียเลือดไปมาก ธาตุหยินรุนแรงนัก ท่านแม่ของข้าจึงให้ท่านลุงหรงเสี่ยนอนข้างๆ เพื่อให้ร่างกายท่านอบอุ่นขึ้น”
ดวงตาสีน้ำตาลแดงจ้องมองผู้มาใหม่อย่างฉงน พอเริ่มขยับตัวตามความเคยชินก็ถูกความปวดร้าวเล่นงานเป็นคราที่สอง ใบหน้าสวยคมซีดเซียวมากขึ้นกว่าเดิม
“ข้าหลับไปนานเพียงใด” นางตวัดสายตาไปยังฟางฟางที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“อาเชว่ เจ้าสลบไปนานกว่าสี่วันสี่คืน ท่านหมอบอกว่าเจ้าน่าจะฟื้นคืนในวันที่หก”
“ท่านฟื้นคืนเร็วกว่ากำหนดเพราะฝึกฝนร่างกายและกำลังภายในมาในระดับหนึ่ง”
น้ำเสียงกังวานดั่งระฆังแก้วเรียกให้เสาอวี่เบือนสายตาไปยังร่างบางที่แต่งกายแปลกประหลาด ชุดสีเทาหม่นของนางสวมทับด้วยผ้าคลุมซึ่งทำจากผ้าโปร่งผืนบางปักลายด้วยดิ้นเงิน ใบหน้ารูปไข่งดงามดูอายุราวยี่สิบปลายๆ ทว่าสิ่งที่ตรึงความสนใจของนางไว้ได้มากที่สุดคือป้ายหยกสามสีที่ดูมีมูลค่าอยู่ไม่เบา
“ท่านแม่ของข้า แม่นางท่านนี้จ้องหยกของท่านตาเป็นมันเชียว” ผู้เป็นบุตรสาวหันไปหัวเราะคิกคักกับจิ้งจอกหิมะสีขาวสะอาดขนาดใหญ่เท่าหมาป่าซึ่งยืนอยู่ด้านข้างอย่างแสนเชื่อง “ป้ายหยกของท่านแม่ของข้าสวยมาก แม่นางคงจะชอบ”
เหอซิงยกยิ้มให้กับไหวพริบของบุตรสาวที่ชอบทำตัวเป็นเด็กเพราะที่บ้านมีแต่คนคอยเอาใจ แม้ภายนอกท่านหมอสาวจะดูเหมือนอายุยี่สิบปลายๆ ทว่าความจริงอายุของนางผ่านพ้นเลขสามมาพักหนึ่งแล้ว “แม่นางรู้สึกเช่นไรบ้าง”
คำถามนี้ราวกับสายน้ำฉ่ำเย็นที่ช่วยชโลมจิตใจอันสับสนของเสาอวี่ให้ผ่อนคลายลง “ยังเจ็บอยู่”
“อาเชว่ เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบแย่” ดวงตาของสาวใช้แห่งหอบุปผาแดงเริ่มฉ่ำน้ำอีกครั้ง “หากเวลานั้นไม่ได้ท่านหมอเทวดาผ่านทางมา ป่านนี้เจ้าคง...เจ้าคง...” นางพยายามกลืนก้อนสะอึกลงคออย่างยากลำบาก ถ้าหากว่าอาเชว่เป็นอะไรไปเพราะปกป้องนาง ชาตินี้ทั้งชาตินางคงทนอยู่ต่อไปไม่ได้
“พอแล้ว ข้ายังไม่ตาย แล้วก็ไม่อยากฟังเสียงร้องไห้ของเจ้า” เสาอวี่พูดเสร็จก็ไอออกมา สีหน้าของหญิงสาวเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างยิ่ง “ขอน้ำ”
ฟางฟางรีบส่งน้ำให้นางดื่มก่อนจะหลีกทางให้แพทย์สาวเข้ามาตรวจอาการดูใกล้ๆ ครั้นเหอซิงจับดูชีพจรก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะรีบถอนมือออก “แม้เจ้าจะฟื้นตัวเร็วแต่ภายในบอบช้ำสาหัส การรักษาของข้าใช้ธาตุหยินเป็นหลัก ร่างกายของเจ้ายามนี้เย็นมาก...เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้สมุนไพรรักษา อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนกว่าจะกลับมาเดินเหินได้ตามปกติ”
คนป่วยฟังแล้วไล่สายตามองสำรวจร่างกาย ตามแขน ขา เสาอวี่ใช้มือข้างที่มีแรงถกชายเสื้อขึ้นมา พบว่าท้องของตนนมีผ้าพันแผลพันอยู่อย่างแน่นอน ทันทีที่ออกแรงเกร็ง แผลบนหน้าท้องก็ฉีกขาด ของเหลวสีแดงไหลซึมออกมาท่ามกลางสายตาของทุกคน
“แม่นาง ท่านขยับตัวเช่นนี้ไม่สงสารท่านแม่ของข้าที่ช่วยรักษาให้ท่านเลย” เด็กสาวเอ่ยเสียงดุขึ้นเล็กน้อย หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าจิ้งจอกตัวใหญ่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ยักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างผิดวิสัยของสัตว์
มันเชื่องจนเกินไป...เชื่องจนอดที่จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่ได้
“พวกเจ้าเป็นใคร มีจุดประสงค์อันใดถึงช่วยข้า” เสียงของผู้ถามคล้ายกำลังคำรามอยู่ในลำคอ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้หวาดระแวงจนเป็นปกติ ยิ่งกลุ่มคนของหมอหญิงผู้นี้แปลกพิสดารก็ยิ่งน่าระแวงเข้าไปใหญ่
ฟางฟางชักจะไว้ใจคนง่ายเกินไปแล้ว!
“อาเชว่ เจ้าใจเย็นก่อน เทศกาลอาหารรัญจวนถูกยกเลิกไปแล้ว พยัคฆ์เงินแห่งแคว้นอู๋[1]กำลังจะยกทัพมายังเมืองจื้อโหยว ยามนี้ทางการกำลังง่วนอยู่กับการรับศึกจึงไม่มีเวลาไปจับตัวคนร้ายที่หวังสังหารพวกเรา หากเราพักอยู่ที่นี่น่าจะปลอดภัยกว่า” ฟางฟางเข้ามายันไหล่ผู้ที่ทำท่าจะก้าวลงจากเตียงเอาไว้ เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงหวาดระแวงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ทว่าสี่วันที่ผ่านมาสองคนแม่ลูกกับอีกหนึ่งจิ้งจอกยักษ์ให้การดูแลพวกนางอย่างดีมาโดยตลอด พวกนางย่อมมิใช่พวกเดียวกับคนร้ายชุดดำที่ไล่สังหารพวกนางอย่างแน่นอน
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าปลอดภัยกว่า” ผู้ถามเค้นเสียงหัวเราะขณะที่พยายามหยัดกายลุกขึ้น เด็กสาวเห็นดังนั้นก็หันไปมองเหอซิง ทว่าผู้เป็นมารดากลับส่ายหน้าแล้วดึงตัวนางให้ถอยออกมาด้วยกัน
“แม่นางทั้งสอง หน้าที่ของข้าที่นี่หมดลงแล้ว สมุนไพรกับโอสถที่ข้าทิ้งไว้กับแม่นางฟางฟางเพียงพอสำหรับสองสัปดาห์” แพทย์หญิงจากแดนไกลละสายตาจากเสาอวี่มายังฟางฟาง “แม่นางฟางฟาง ข้าบอกวิธีการต้มยากับเวลาในการดื่มให้ไปเมื่อสักครู่ ท่านจำได้หรือไม่”
“จะ...จำได้เจ้าค่ะ ข้าจดไว้” ผู้ถูกถามพยักหน้าแม้จะหน้าเสียอยู่บ้าง ดูท่าคำพูดของอาเชว่จะเป็นการไล่ให้ท่านหมอเทวดาผู้มีพระคุณจากไปเสียแล้ว “ท่านหมอ พวกท่านอย่าเพิ่งไป... อาเชว่นางก็แค่...”
“แม่นางฟางฟาง ข้าไม่ได้น้อยใจหรือว่าโกรธ เพียงแต่หน้าที่ของข้าหมดแล้ว ข้าต้องรีบเดินทางต่อ” เหอซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึก ก่อนจะปรายตาไปยังจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ที่นั่งกระดิกพวงหางอยู่ไม่ไกล
“ขืนข้าอยู่ต่อ หรงเสี่ยคงจับปลากินจนหมดทะเลกันพอดี”
นางกล่าวจบก็คลี่ยิ้มให้ผู้อ่อนวัยกว่าน้อยๆ ดวงหน้างามพริ้วยิ่งพินิจยิ่งคล้ายกับนางอัปศร พริบตาเดียวร่างสตรีสองนางกับสัตว์อีกหนึ่งตัวก็หายไปจากเรือนไม้ราวกับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อน
ขามารวดเร็วดุจสายลม ขากลับลึกลับดุจเทพเซียน...
ร่างเล็กบางจ้องมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างนิ่งงัน ก่อนจะเบือนสายตากลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ข้างตัว
“อาเชว่! เจ้าไม่ควรจะลุกจากเตียง” นางร้องห้ามพลางปรี่เข้ามาหาคนเจ็บอย่างเป็นห่วง หากยังไม่ทันที่มือจะแตะโดนตัวอีกฝ่าย หญิงสาวก็รีบชักมือกลับเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
“ฟางฟาง ข้าคือ ‘เฮยขงเชว่’ ” เสาอวี่เว้นจังหวะเพื่อสูดอากาศเข้าปอดอย่างยากลำบาก อวัยวะภายในที่บอบช้ำทำให้ภาพเบื้องหน้าพร่าเรือนเป็นช่วงๆ “เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง”
“ข้า...ข้ารู้” นางยังจำบทสนทนาโต้ตอบกันระหว่างอาเชว่กับคนชุดดำผู้นั้นได้ดี แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดมิใช่หรือ!
“ข้าเป็นคนที่ล่อพวกมันให้มาที่หอบุปผาแดง แค็กๆ ” นกยูงสาวที่มีสภาพไม่ต่างจากนกปีกหักเซถลาไปเกาะที่เสาเตียง “ข้าเป็นคนที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องตาย!”
“ไม่...ไม่ใช่!” ฟางฟางร้องไห้ออกมาอีกครั้ง นางไม่ต้องการฟังเรื่องพวกนี้ นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงต้องการย้ำมันขึ้นมาให้ความสัมพันธ์ฉันมิตรของพวกนางสั่นคลอน
“ข้าเป็นตัวอันตราย” ใบหน้าขาวซีดของเสาอวี่ราบเรียบ เอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย “ข้าช่วยเจ้า เจ้าช่วยข้า ถือว่าเราหายกัน”
“ไม่! ข้าไม่ฟังที่เจ้าพูด! ข้าจะอยู่ที่นี่” นางส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น สองมือข้างลำตัวกำแน่น “เจ้านอนพักก่อน อีกประเดี๋ยวข้าต้มยาเสร็จแล้วจะเอาเสื้อผ้าใหม่มาเปลี่ยนให้เจ้า”
หญิงสาวกล่าวจบก็ออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดพาเอากลิ่นเค็มเข้ามาด้านใน
‘นางพูดขนาดนี้แล้ว ฟางฟางยังไม่เข้าใจหรือว่านางเป็นตัวอันตราย? ’
เสาอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ที่ที่นางถูกนำมาพักฟื้นคงอยู่ฝั่งทิศตะวันออกและใกล้ทะเล พยัคฆ์เงินแห่งแคว้นอู๋กำลังจะยกทัพมาตีเมืองจื้อโหยว... เช่นนั้นก็หมายความว่านางสามารถอาศัยช่วงชุลมุนนี้ลักลอบเข้าจวนท่านเจ้าเมืองได้
ร่างระหงผ่อนลมหายใจก่อนจะทรุดกายลงบนเตียง บาดแผลที่ปริแตกดูเหมือนจะเริ่มอักเสบขึ้นมาอีกครั้ง สุดท้ายแม่โจรสาวจึงได้ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า
[1] พยัคฆ์เงินแห่งแคว้นอู๋ คือ ฉายาของท่านอ๋องห้าแห่งแคว้นอู๋ ฮั่วหลิงหวาง