“ช่วยด้วย ช่วยด้วย กรี๊ดดด” นิสากรสาวน้อยวัยเพียงสิบเก้าปีทั้งดิ้นทั้งร้องเพื่อนำพาตัวเองให้หลุดจากเงื้อมมือของรังสีน้องชายของแม่เลี้ยงสาว ที่เข้ามาปลุกปล้ำเธอถึงในห้องนอน
“คุณหนูนิคนสวยของพี่ ไม่ต้องร้องนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่จะพาไปขึ้นสวรรค์” รังสีเปล่งประกายความปรารถนาออกมาทางแววตา และน้ำเสียงที่แหบพร่า ทำให้สาวน้อยไร้เดียงสาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ถึงจะกลัวมากแค่ไหนแต่หญิงสาวสาบานว่าจะไม่มีวันตกเป็นของรังสี มือน้อยๆ ป่ายปัดไปตามที่นอน จนกระทั่งสะดุดอะไรบางอย่าง
“โอ๊ย! มึง” รังสีเพราะมัวแต่ซุกไซ้ที่ซอกคอหญิงสาวอยู่ ไม่ทันระวังตัวว่าภัยกำลังมา จึงร้องเสียงหลงเมื่อถูกปิ่นปักผมของนิสากรแทงลงไปที่ท้ายทอย สาวน้อยดึงปิ่นออกมาพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูด เลือดชั่วไหลหลั่ง
นิสากรตัวสั่นงันงก นั่งมองภาพของรังสีที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด มันยันตัวลุกขึ้น ใช้มือข้างขวาจับที่ท้ายทอย เลือดยังไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างเล็กนั่งคุดคู้ชันเข่ามองรังสีค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นอย่างทำอะไรไม่ถูก เสียงฝีเท้าของนมแม้นศรีวิ่งเข้ามาห้องนอนของเธอเป็นคนแรก
“ว้าย! ตาเถร...คุณหนูนิของนม มันทำอะไรคุณหนูนิหรือเปล่าคะ” แม้นศรีสำรวจร่างกายของนิสากร เจ้านายสาวที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิด รักและเทิดทูนเป็นอย่างมาก
“หนูนิกลัว นมแม้นหนูนิกลัว พี่รังสีจะปล้ำหนูนิ ฮือ” นิสากรกอดร่างของแม้นศรีเอาไว้แน่น ที่พึ่งพิงคนสุดท้ายที่เธอมีอยู่ เพราะในโลกนี้คนที่เธอรู้จัก คนที่รักเธอและคนที่เธอรัก ได้จากนิสากรไปหมดแล้ว แม้นศรีมองร่างของรังสีที่นั่งกุมท้ายทอยด้วยความแค้นเคือง เห็นทีคุณหนูของนางจะอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว คนที่นี่ใจร้ายและโหดเหี้ยมเกินกว่าที่นิสากรจะรับมือได้ จังหวะที่นิสากรหวาดกลัว และแม้นศรีกำลังคิดอะไรบางอย่าง รังสีที่เริ่มมีแรงฮึดจากแรงแค้น ลุกขึ้นยืนก้าวเดินมาที่เตียง
ร่างของแม้นศรีถูกผลักลงไปนั่งจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้น ลุกแทบไม่ขึ้นเนื่องจากร่างกายและวัยเสื่อมถอยลงทุกวัน รังสีปราดเข้าไปคร่อมร่างของนิสากร มือของมันทั้งสองข้างกำรอบลำคอนิสากร บีบเท่าที่แรงของมันจะมี หญิงสาวใต้ร่างเริ่มหายใจไม่ออก ร่างกายดิ้นทุรนทุราย พยายามหาทางให้ตัวเองหลุดพ้น อาวุธที่อยู่ในมือยังคงกำไว้แน่น คือหนทางของอิสรภาพ
“อ๊าก!” ปิ่นปักผมที่ทำจากเหล็กมีความยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร ทิ่มแทงลงไปตามสีข้าง แผ่นหลังของรังสีไม่ยั้ง เลือดของมันไหลกระเซ็นมาโดนเสื้อผ้าของเธอ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของรังสีเบาลง เบาลง
“พอคุณหนู พอค่ะ” แม้นศรีที่พยุงร่างลุกขึ้น รีบก้าวขึ้นมาบนเตียงคว้ามือน้อยๆ ที่กระหน่ำแทงเข้าไปในร่างกายของรังสีอย่างไม่ยอมหยุด ก่อนจะผลักร่างของรังสีที่แน่นิ่งให้ลงไปจากร่างของ นิสากร กอดร่างที่สั่นเทา แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เข้ามากอดอย่างปลอบโยน
“ไม่ต้องกลัวนะคะ ไม่ต้องกลัว”
“หนูนิกลัว หนูนิกลัว พี่รังสีจะตายหรือเปล่าคะ” หญิงสาวพูดอย่างเสียขวัญ ร้องไห้ออกมาไม่ขาดสาย เธอไม่มีเจตนาจะทำร้ายรังสีให้ถึงแก่ความตาย เพียงแต่ป้องกันตัวเองเท่านั้น นิสากรเหลือบมองร่างที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือด ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
“หนีคะคุณหนู หนีค่ะ” นางตัดสินใจพูด แม้รู้ว่ารังสียังไม่ตาย เนื่องจากแผ่นอกที่กระเพื่อมตามแรงลมหายใจของมันยังทำหน้าที่อยู่
“หนี หนีไปไหนคะ หนูนิไม่รู้จักใคร ไม่รู้จะไปที่ไหน”
“ไปตามที่อยู่ที่นมเขียนไว้นี่นะคะ ไปหาน้องสาวของนม เค้าจะช่วยคุณหนูนะคะ” แม้นศรีเขียนชื่อที่อยู่ลงบนกระดาษที่วางอยู่หัวเตียง ก่อนจะยื่นให้หญิงสาวที่เลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ
“เชียงราย ” นิสากรอุทานเมื่อเห็นว่า สถานที่ไปอยู่ในจังหวัดใด ซึ่งมันไกลเหลือเกินสำหรับเธอ
“เร็วค่ะคุณหนูไม่มีเวลาแล้ว เดี๋ยวนมจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้ ส่วนคุณหนูเก็บของมีค่าให้มากที่สุดนะคะ” แม้นศรีสั่ง ก้าวลงจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าเดินทางออกมา ยัดเสื้อผ้าที่รวบไว้ อัดเข้าไปในกระเป๋าอย่างรีบเร่ง นิสากรลุกขึ้นไปที่ลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบแหวนประจำตระกูลที่บิดามอบให้ไว้ก่อนเสียชีวิต สอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เนื่องจากนิ้วของเธอนั้นเล็กกว่าขนาดของแหวนมากนัก เงินสดมีติดตัวประมาณสองพัน เครื่องประดับทองคำเส้นเล็กพร้อมสร้อยข้อมือทองคำอีกเส้น นั่นคือสมบัติที่หม่อมหลวงนิสากร ดิเรกพัฒน์ มีติดกายไปในการเดินทางครั้งนี้
“นมจ๋า พี่รังสีจะตายมั้ยคะ” นิสากรถามอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ร้อนใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ตวัดสายตามองร่างของรังสีที่ยังคงนอนแน่นิ่งที่เตียง นิสากรไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกร
“ไม่ต้องห่วงอะไรนะคะคุณหนู ถ้าไปจากที่นี่ได้ไม่ต้องกลับมาอีก และที่สำคัญอย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าคุณหนูคือหม่อมหลวงนิสากร ดิเรกพัฒน์ อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดนะคะ” นางย้ำแล้วย้ำอีกในประโยคท้าย ดันร่างของเจ้านายสาวออกไปจากห้องนอน กึ่งลากกึ่งจูงลงไปที่ชั้นล่างของบ้านหลังใหญ่ ไม่สนใจร่างของสาวใช้อีกประมาณสามสี่คนที่เดินมาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดหยุดการเคลื่อนไหว เมื่อเสียงกรีดร้องของใครบางคน ดังลั่นสนั่นบ้าน
“ไปคุณหนูหนีเร็ว ไปค่ะ” แม้นศรีจับจูงร่างน้อยของนิสากรวิ่งออกไปด้านนอกของตัวบ้าน
“คุณหนูหนีไปค่ะ หนีไป เร็วค่ะ” แม้นศรีเร่ง เมื่อพาหญิงสาวออกมาจากนอกอาณาเขตของบ้านดิเรกพัฒน์สำเร็จ นิสากรห่วงหน้าพะวงหลัง ใจหนึ่งอยากหนี อีกใจหนึ่งเป็นห่วงแม้นศรี
“แล้วนมล่ะคะ นมไปกับหนูนินะคะ”
“ไม่ค่ะ นมหนีไม่ได้เพราะถ้าหากไอ้รังสีตาย นมจะยอมรับผิดเอง คุณหนูหนีไปนะคะ อย่าลืมที่นมสั่ง อย่าลืมที่นมบอกนะคะ อย่าลืม” แม้นศรีเร่งสาวน้อย พร้อมกับกำชับเสียงหนัก
“นมจ๋า นม” หญิงสาวยังละความเป็นห่วงที่มีอย่างล้นเหลือกับแม้นศรีไม่ได้
“หนีค่ะ หนี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณหนูห้ามกลับมาที่นี่อีก ห้ามกลับมานะคะ” แม้นศรีโบกรถแท็กซี่ที่แล่นผ่านมาพอดี เปิดประตูทางด้านหลัง พร้อมกับดันร่างเล็กให้เข้าไปในตัวรถ ปิดประตูทันที
รถแท็กซี่เคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านดิเรกพัฒน์ นิสากรมองร่างของแม้นศรีกับบ้านที่ตัวเองอาศัยมาตั้งแต่เกิดอย่างอาลัยอาวรณ์ ต่อจากนี้เธอคงไม่มีวันได้เห็นแม้นศรี ได้เห็นบ้านหลังนี้ และคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว น้ำตาไหลพรากเมื่อนึกถึงข้อนี้
“คุณพ่อ คุณแม่ นม” หญิงสาวพึมพำด้วยความเสียใจ รถเลี้ยวออกไปตามถนนใหญ่ ภาพของแม้นศรีที่เธอเห็นเป็นครั้งสุดท้ายนั้น คือภาพที่นางโบกมือให้กับเธอ