เหอว่านเซียงมองพ่อและพี่ชายน้ำตาซึม ทำไมร่างเดิมคิดไม่ได้กันนะ ในเมื่ออ้อมกอดของครอบครัวอบอุ่นขนาดนี้ ทำไมต้องทนกับสามีมักมากเช่นผู้พันเมิ่งด้วย
“ขอบคุณมากนะคะพ่อ พี่ใหญ่ ทั้งสองคนยังไม่เจอกับหลิงหลิง ตอนนี้คงเล่นกับย่าจนสนุกลืมทุกคนแล้ว พ่อกับพี่ใหญ่ไปเล่นกับหลานเถอะ อาหารมื้อเที่ยงฉันจะโชว์ฝีมือให้ทุกคนกินเอง”
เหอว่านเซียงยิ้มกว้างให้ทั้งสองคน เรื่องทำอาหารไม่ใช่เรื่องที่เธอไม่เคยทำ ชาติก่อนเธอเองก็เรียนทำอาหารแทบจะทุกอย่าง วันนี้ในเมื่อเธอมีครอบครัว เธอขอทำให้ทุกคนได้ทาน อย่างน้อยความสุขและรอยยิ้มของครอบครัวในวันนี้ไม่ได้เสียเงินซื้อมา
“หืม ลูกทำอาหารเป็นด้วยเหรอ หรือว่าลูกแต่งเข้าตระกูลเมิ่งต้องทำเองทุกอย่าง แล้วหม่าซือกับมู่ตานล่ะ ทั้งสองคนดูแลลูกดีไหม”
ใบหน้าของนายท่านเหอเคร่งขรึมขึ้นมาทันตา แม้จะดีใจที่ลูกสาวเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี แต่ถ้าลูกต้องอยู่อย่างลำบากที่นั่น เขาพร้อมที่จะเล่นงานลูกเขยกลับเช่นกัน
อย่าลืมว่าที่รักษาตำแหน่งหน้าที่การงานอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะมีตระกูลเหอหนุนหลัง ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่คิดจะทำอะไรเพราะกลัวเซียงเซียงลำบากใจ แต่ในเมื่อลูกสาวของเขาเปิดทางให้แล้วคิดว่าคนเป็นพ่อเช่นเขาจะยอมให้เจ้าลูกเขยตัวดีเสวยสุขกับตำแหน่งของตนเองอีกไหม
นายท่านเหอและเหอโจวเหว่ยมองหน้ากันอย่างมีความหมาย มันถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองคนพ่อลูกจะเอาคืนลูกเขยและน้องเขยตัวแสบเสียที
เหอว่านเซียงต่อให้รู้ว่าพ่อและพี่ชายจะทำอะไรแต่เธอเลือกที่จะไม่ยุ่ง ในเมื่อผู้พันเมิ่งทำร้ายจิตใจของเหอว่านเซียงคนก่อนจนเธอต้องตรอมใจจากไป คราวนี้เมื่อตระกูลเหอเอาคืนบ้างคงไม่ว่าอะไรนะ
เมื่อสองพ่อลูกเดินจากไป เหอว่านเซียงจึงเดินเข้าครัวเพื่อมาดูวัตถุดิบในตู้เย็นว่าพอจะมีอะไรให้เธอทำบ้าง ก่อนจะลงมือทำอาหารด้วยความชำนาญ สิ่งแรกที่เธอทำคือไข่ตุ๋นรวมมิตรที่เธอนำเนื้อสัตว์มาต้มจนเปื่อยบวกกับข้าวต้ม นำมาบดด้วยมือเนื้อพอหยาบไว้ให้เจ้าตัวป่วนอย่างหลิงหลิง ก่อนจะมาทำอาหารชนิดอื่น
อาหารอย่างแรกเธอทำหมูเส้นผัดเปรี้ยวหวาน ปีกไก่เหล้าแดง สามชั้นตุ๋นซีอิ๊ว และยังมีกะเพราที่ไม่ใส่ใบกะเพรา วันไหนว่าง ๆ เธอคงต้องไปเดินดูที่ตลาดเองแล้ว หรือไม่ร้านขายเมล็ดผักแปลก ๆ ที่มาจากต่างประเทศ เธอเชื่อว่าอย่างไรต้องมี
ปริมาณที่เธอทำแต่ละอย่างไม่น้อยเลย เพราะบ้านนี้ไม่ว่าเจ้านายกินอะไร ลูกน้องหรือแม่บ้านย่อมได้กินเหมือนกัน เธอจึงทำปริมาณเผื่อไว้
“หอมมากเลยคุณหนู แบบนี้เสี่ยวตานคงต้องกินจนท้องป่องแน่เลย จริงไหมป้าหม่า”
เธอแทบจะไม่เชื่อว่าอาหารตรงหน้านี้คือสิ่งที่คุณหนูของเธอทำด้วยตนเอง เธออยู่กับคุณหนูมาตั้งแต่เด็กและเรียนด้วยกันมาตลอดเพราะนายท่านและคุณนายต้องการให้ลูกสาวเพียงคนเดียวมีคนดูแล เธอไม่เคยเห็นคุณหนูทำอาหารเองเลยสักครั้ง
หม่าซือเองก็เช่นกัน แม้จะแปลกใจแต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม เพราะเชื่อว่าคุณหนูของเธอคงจะมีเหตุผลที่ไม่ยอมบอกใครเรื่องทำอาหารเป็นและรวมถึงนิสัยที่เปลี่ยนไป
“ทั้งสองคนไม่ต้องแปลกใจ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ฉันทำไม่เป็นแต่เลือกที่จะไม่ทำ มีครั้งหนึ่งที่ฉันออกจากบ้านไปทุกวันแล้วไม่ให้ใครตาม ตอนนั้นฉันไปขอร้องพ่อครัวภัตตาคารซุ่นซิงเพื่อให้สอนทำอาหาร และสั่งให้พ่อครัวปิดเป็นความลับเพราะกลัว พ่อแม่ และพี่ใหญ่ดุเรื่องที่ฉันอยากแต่งงานกับผู้พันเมิ่งจนต้องไปเล่าเรียนและทำให้ตนเองลำบาก
ทีนี้หายข้องใจหรือยัง ส่วนเรื่องที่ทำไมคุณหนูที่อ่อนแอและรักสามีอย่างผู้พันเมิ่งลุกขึ้นมาสู้และคิดจะหย่า เพราะว่ามันถึงเวลาแล้วฉันสูญเสียชีวิตในวัยสาวไปหลายปี ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยได้ช่วยงานในครอบครัว และไม่เคยทำความฝันของตนเองสักที ดังนั้นเมื่อหมดรักทำไมฉันจะต้องทนอีก จริงไหม”
เหอว่านเซียงคล้ายกับอ่านความคิดของทั้งสองคนออก ก่อนจะอธิบายเหตุผลที่น่าจะเป็นให้ทั้งสองคนรับฟัง เพราะกลัวว่าสองคนนี้ที่สนิทและดูแลร่างเดิมมาตลอดจะจับผิดได้
“เข้าใจค่ะคุณหนู เสี่ยวตานรู้ว่าคุณหนูนั้นอยากเป็นนักแสดง แต่ถ้าเป็นหญิงม่ายทางบริษัทหนังจะให้คุณหนูเป็นนักแสดงไหม”
มู่ตานจำได้ว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัยแล้วไปดูภาพยนตร์ด้วยกันคุณหนูมักจะพูดเสมอว่าอยากเล่นหนังสักครั้ง
“หา! ฉันนี่นะอยากเป็นนักแสดง เธอคงจำผิดแล้วล่ะเสี่ยวตานจอมตะกละ” เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เธอจะเคยเรียนการแสดงมาก็ตาม แต่จะให้เธอทำอาชีพนักแสดง เธอไม่เอาด้วยหรอก ให้เธอไปสร้างอาวุธหรือรถถังยังจะง่ายกว่า
“เสี่ยวตานจำได้แม่นเลยค่ะว่าคุณหนูอยากเป็นนักแสดง แต่ช่างเถอะยังไงก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เสี่ยวตานคิดว่าคุณหนูคงเปลี่ยนความต้องการไปแล้ว ตอนนี้เสี่ยวตานต้องไปหาคุณหนูตัวน้อยก่อนนะคะ ถึงเวลา
อาหารแล้ว” มู่ตานรีบบอกก่อนจะเดินไปหาคุณหนูตัวน้อย ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะหิวหรือยัง
เหอว่านเซียงไม่พูดอะไรต่อ เธอจัดเตรียมอาหารเพื่อให้แม่บ้านคนอื่นยกตามมาที่โต๊ะเพราะนี่ใกล้จะได้เวลาทานอาหารมื้อเที่ยงแล้ว
“นั่นเสียงรถใครมาคะป้าหม่า หรือว่าเขามาหาคุณพ่อ” เหอว่านเซียงเอ่ยถาม ขณะจัดโต๊ะอาหารรอคนในครอบครัว
“แหมคุณหนู เราสองคนเพิ่งจะกลับมานะคะ ถามป้าแล้วป้าจะถามใคร” หม่าซือมองค้อน เธอก็เพิ่งจะมากับคุณหนูก็วันนี้ แล้วถามแบบนี้เธอจะตอบได้อย่างไร
“ดูสิคะ ป้าหม่างอนแล้ว รถที่มาคือรถของคุณหวง เพื่อนของคุณชายใหญ่ ว่าแต่คุณหวงหายไปนานแล้วนะคะ” แม่บ้านสาวเป็นคนตอบ
“รู้ดีเชียวนะ สนใจเพื่อนคุณชายล่ะสิ”
“จะไม่สนใจได้ยังไงคะป้า คุณหวงทั้งหล่อ ทั้งรวย หล่อยิ่งกว่าพระเอกหนังอีกนะ คนงานในบ้านแอบมองกันเป็นประจำทุกครั้งที่คุณหวงมาหาคุณชาย”
“ดีจริงแม่บ้านที่นี่ ไม่สนใจเจ้านายแต่สนใจเพื่อนเจ้านาย”
หม่าซือมองค้อนแบบไม่จริงจัง ก่อนจะมาช่วยคุณหนูของเธอจัดโต๊ะอาหารต่อ
“หายไปนายเลยนะนาย แล้วนี่นึกยังมาที่บ้านฉัน”
เหอโจวเว่ยอุ้มหลานสาวเดินเข้ามาทักทายเพื่อนสนิท แต่พอเห็นมู่ตานเดินเข้ามาจึงยื่นหลิงหลิงให้ เพราะคิดว่าหลานสาวคงหิวแล้ว
“ฉันเพิ่งเสร็จงาน นายก็รู้ตั้งแต่ฉันยอมเป็นนายทุนให้กับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ฉันแทบไม่มีเวลาเลย”
หวงเหยียนหลงบ่นเล็กน้อย ไม่ใช่ว่างานเยอะนะ แต่มีผู้จัดการดาราหลายคนเดินพยายามขอนัดพบเพื่อจะฝากฝังคนของตนเอง ทำให้เขาต้องไปดูงานในส่วนอื่น เพราะตัวเขาเป็นเพียงนายทุนเท่านั้นไม่ใช่บริษัทสร้างหนังเลยต้องมาคัดเลือกตัวนักแสดงเอง
“ฉันคิดไว้แล้วว่านายต้องมีปัญหาอะไร นายมาก็ดีแล้วฉันมีเรื่องจะไหว้วานเสียหน่อย” ดีเหมือนกันที่เจ้านี่มาหาในวันนี้ เขาตั้งใจจะพูดเรื่องนักสืบเพื่อให้ไปสืบข่าวของผู้พันเมิ่งว่าเลี้ยงหญิงสาวไว้ที่ไหน และเก็บหลักฐานมาให้เขาทั้งหมดเพื่อให้เซียงเซียงนำไปฟ้องหย่า
“ว่าแต่เด็กน้อยหน้าตาน่ารักคนนั้นใครกัน หรือนายแอบไปไข่ไว้ที่ไหนแล้วเพิ่งรับกลับมาบ้าน” หวงเหยียนหลงเอ่ยล้อเพื่อนสนิท
“นั่นมันหลานสาวฉัน ลูกของเซียงเซียง”
“หืม...น้องสาวนายยอมกลับบ้านแล้วเหรอ”
หวงเหยียนหลงแปลกใจ เขารู้ดีว่าคุณหนูเพียงคนเดียวของตระกูลเหอ หลังจากแต่งงานไป ก็ไม่เคยย่างกรายกลับมาที่บ้านอีกเลย แต่เพราะครอบครัวกลัวว่าจะลำบาก จึงให้สินเดิมและทรัพย์สินไปไม่น้อย เจ้าเพื่อนตัวดีที่เป็นพี่ชายสุดจะรักน้องสาว กลัวเธอเบื่อจึงซื้อรถใหม่ส่งไป