บทที่ 3 อย่าคิดจะหยามข้า

1327 Words
                            ฮูหยินชราตระกูลฟ่านยิ้มกว้างเมื่อเห็นหลานสาวคนโตชี้ชวนให้ดูอาหารที่วางเรียงรายเต็มโต๊ะ                 “ท่านย่า ทุกจานล้วนเป็นฝีมือของข้า”                 “พ่อไม่เคยคิดมาก่อนว่า เจ้าจะทำอาหารได้น่าอร่อยเยี่ยงนี้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกวาดตามองอาหารแต่ละจาน                 “ท่านย่ากับท่านพ่อลองชิมหน่อยสิเจ้าคะ”                 สองผู้อาวุโสสบตากันเสนาบดีฟ่านคีบอาหารใส่ถ้วยข้าวให้มารดา “ท่านแม่ ท่านต้องชิมฝีมือหลานสาวท่านให้มาก”                 เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่า ทั้งสองท่านเริ่มลงมือแล้ว จึงได้เริ่มลงมือ ฟ่านซิ่วอิงหันไปเอาใจมารดา “ท่านแม่ ข้าอยากให้ท่านชิมจานนี้”                 ฮูหยินใหญ่ยิ้มรับ “มิเสียแรงที่พ่อบ้านเหลยนำพี่สาวมาจากเหลาเลื่องชื่อ เจ้าจึงพลอยได้ฝีมือทำอาหารไปด้วย” หลายปีแล้วที่บุตรสาวของนางเพิ่งจะมีโอกาสกลับมายังจวนในเมืองหลวง ร่างกายที่อ่อนแอของคุณหนูใหญ่ทำให้สองสามีภรรยาจำใจต้องส่งนางไปรักษาตัวยังหัวเมือง แต่ละปีเดินทางไปเยี่ยมบุตรสาวได้เพียงหนสองหน                 หลังรับประทานอาหารท่านย่าก็เรียกฟ่านซิ่วอิงเข้าไปหาที่ห้องส่วนตัว                 “เจ้าคงได้ยินเรื่องที่จวิ้นอ๋องปฏิเสธการหมั้นกับเจ้าแล้ว”                 “เจ้าค่ะ”                 ฮูหยินชราแห่งตระกูลฟ่านจ้องตรงมายังหลานสาวคนโต แม้นางจะมีบุตรชายถึงสามคน มีหลานชายห้าคน หลานสาวสองคน แต่ฟ่านซิ่วอิงเป็นเพียงคนเดียวที่นางแทบไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด เป็นเพราะหลานสาวคนนี้ร่างกายอ่อนแอ พอเริ่มเดินได้ก็ถูกส่งไปอยู่หัวเมืองที่หมอหลวงแนะนำว่า เหมาะแก่การเจริญเติบโตของนาง เดชะบุญที่ ฮองไทเฮาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้หมอหลวงมาช่วยรักษา มิฉะนั้นยังไม่รู้หลานสาวคนนี้จะยังมีชีวิตเติบโตมาจนถึงวันนี้หรือไม่                 “ย่าเองไม่รู้จะช่วยให้พระประสงค์ของฮองไทเฮาสำเร็จได้ยังไง ในเมื่อท่านอ๋องปฏิเสธแข็งขันถึงเพียงนั้น ท่านพ่อของเจ้าก็พยายามไปเจรจาหลายคราว จวิ้นอ๋องก็เอาแต่หลบเลี่ยง” น้ำเสียงหนักอกหนักใจของท่านย่า ทำให้นางสลดใจลงหลายส่วน แต่ก็ไม่อยากจะเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยงกับบุรุษที่ไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอ อย่าว่าแต่ความรักความชอบเลย “ทำไมท่านพ่อต้องทำถึงเพียงนั้นด้วย” “อิงเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้หรือว่า ตระกูลฟ่านของเราเป็นหนี้พระคุณฮองไทเฮามากเพียงไหน? หากไม่ได้พระองค์ส่งเสริมคิดหรือว่า ท่านพ่อกับท่านพี่ของเจ้าจะมีโอกาสก้าวหน้า” คุณหนูใหญ่ตระกูลฟ่านส่ายหน้า นางเติบโตที่หัวเมืองจึงไม่เคยรู้เรื่องราวในจวนเสนาบดี ท่านพ่อและท่านแม่เดินทางไปเยี่ยมนางปีละหนสองหน ส่วนใหญ่นางอยู่ในความดูแลของท่านยายและท่านป้า “หากเจ้าได้เป็นพระชายาเอกของจวิ้นอ๋อง นอกจากจะทำให้ฮองไทเฮาทรงเบาพระทัยเรื่องฮองเฮา ท่านพ่อกับท่านพี่ของเจ้าก็จะไม่ถูกบีบคั้นจากเสนาบดีฝ่ายขวาด้วย” “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านพ่อเจ้าคะ?” ฮูหยินผู้เฒ่าพิจาณาหลานสาวที่อายุล่วงเข้าสิบแปดปี เห็นว่าพอจะเข้าใจเหตุการณ์ได้ จึงเล่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างเสนาบดีฝ่ายขวาที่มีฮองเฮาเป็นผู้สนับสนุน กับเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เป็นฝ่ายของฮองไทเฮา ในเมื่อฮองไทเฮานั้นมิใช่มารดาที่แท้จริงของฮ่องเต้ พระนางจึงต้องระมัดระวังพระองค์เมื่อเห็นพระญาติฝ่ายฮองเฮาเริ่มเรืองอำนาจ หากคุณหนูฟ่านซึ่งนับเป็นญาติฝ่ายพระองค์สมรสกับจวิ้นอ๋อง หมิงจิ้นเหอผู้คุมกองกำลังภาคเหนืออันเกรียงไกร ย่อมทำให้คลายพระทัย โอกาสที่ตระกูลเถียนของฮองเฮาจะก่อการกบฏก็ย่อมจะน้อยลง เพราะความยำเกรงในปีศาจภูเขาตนนั้น เรื่องของฮองไทเฮาฟ่านซิ่วอิงย่อมไม่เอามาใส่ใจ แต่เรื่องที่ท่านพ่อกับท่านพี่ที่ถูกบีบคั้นจนต้องลดตัวลงไปคอยตามตื้อจวิ้นอ๋องเพื่อให้เปลี่ยนพระทัย เป็นเรื่องที่นางขัดเคืองใจ “หากครั้งนี้ การสมรสไม่เกิดขึ้น หรือหากจวิ้นอ๋องเลือกคุณหนูจากตระกูลที่อยู่ฝั่งฮองเฮา ตระกูลของเราอาจจะมีภัยใหญ่หลวง” น้ำเสียงของท่านย่าเจือไว้ด้วยความหวาดหวั่น ฟ่านซิ่วอิงเงยหน้ามองท่านย่าของนางด้วยอาการตะลึง นางไม่เคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าที่กร้าวแกร่งและเชิดหน้าอยู่เสมอ มีใบหน้าเศร้าโศกถึงเพียงนี้   “ครั้งนี้ หากจะต้องให้ท่านพ่อกับท่านพี่ของเจ้าไปคุกเข่าอ้อนวอนฝ่ายนั้นก็คงต้องทำ แต่ว่า ท่านอ๋องจะเดินทางกลับเมืองพยัคฆ์เหินพรุ่งนี้แล้ว สิ่งที่ครอบครัวเราทำได้ คงเพียงแต่สวดมนต์อ้อนวอนขอสวรรค์เมตตาให้จวิ้นอ๋องอย่าเลือกพระชายาเอกอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา” “ท่านอ๋องผู้นี้ยิ่งใหญ่เพียงนั้นเชียวหรือท่านย่า” “นับตั้งแต่จวิ้นอ๋องบอกปัดเรื่องหมั้น ท่านพ่อกับท่านพี่ของเจ้า ไปไหนก็ไม่มีหน้าจะสู้ผู้คน ชาวเมืองยังโจษจันกันด้วยซ้ำว่า เจ้าเป็นหญิงอัปลักษณ์ ไร้การศึกษาและมารยาทผู้ดี ไม่คู่ควรกับจวิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์และงามสง่า ซ้ำร้ายยังกล่าวหาว่า ตระกูลฟ่านต้องพยายามอ้อนวอนเพื่อให้ท่านอ๋องยอมรับเจ้าเป็นพระชายาเอกเพื่อความอยู่รอด” ฟ่านซิ่วอิงกัดริมฝีปากจนห้อเลือด นางเคยภาคภูมิใจในวงศ์ตระกูลมาโดยตลอด บัดนี้กลับพบว่า ตระกูลของนางต้องอ้อนวอนคนผู้หนึ่งเพื่อให้รับนางเป็นภรรยาแลกกับความปลอดภัย แต่ฝ่ายนั้นยังไม่แลเหลียว “ท่านย่าโปรดวางใจ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง” ฮูหยินผู้เฒ่าเงยหน้าที่แสร้งซับน้ำตา มองหลานสาวคนโตอย่างมีความหวัง “เจ้าจะทำเช่นไรได้ ในเมื่อท่านอ๋องประกาศให้คนทั้งเมืองหลวงรู้ชัดเจนแล้วว่า เขาไม่มีวันจะแต่งกับเจ้า” สีหน้าของฟ่านซิ่วอิ่งเริ่มมีสีแดงเรื่อด้วยความโกรธ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาประกาศในหอนางโลมคืนนั้น และยังหัวข้อที่คนสนทนากันสนุกปากที่ตลาดเมื่อเช้า “ท่านย่าโปรดวางใจ ภายในหกเดือนนี้ ข้าจะทำให้จวิ้นอ๋องต้องรับข้าเป็นพระชายาเอกให้จงได้” ฮูหยินผู้เฒ่าลุกจากเก้าอี้ปราดเข้ามาจับมือทั้งสองข้างของหลานสาว “เจ้าพูดจริงนะ” คุณหนูฟ่านดวงตาลุกโรจน์ด้วยความแค้น ‘จวิ้นอ๋อง ท่านกล้าหยามท่านพ่อและตระกูลฟ่าน ข้าจะทำให้ท่านต้องมาเยือนที่จวนแห่งนี้เพื่อคารวะท่านย่ากับท่านพ่อของข้าให้ได้’ นางจ้องนัยน์ตาท่านย่าอย่างแน่วแน่ “ข้า ฟ่านซิ่วอิง คำไหนคำนั้น ท่านย่าโปรดอนุญาตด้วย” หญิงชรายิ้มทั้งน้ำตาที่รื้นแทบหยาดหยด นางรู้ดีว่า หลานสาวของนางฉลาดรอบรู้และเจ้าแผนการเพียงใด ทุกย่างก้าวของการเติบโตที่หัวเมืองถูกรายงานให้นางรับรู้มาตลอด นางให้บุตรชายส่งอาจารย์ที่เก่งกาจหลายคนไปสอนหนังสือให้หลานสาว ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องหรืออาจจะเรียกได้ว่า ฟ่านซิ่วอิงได้ร่ำเรียนมากกว่าพี่น้อง  คนอื่นด้วยซ้ำ อีกทั้งเพราะร่างกายนางอ่อนแอนางจึงเก็บตัวอยู่ในจวนหัวเมืองอ่านหนังสือเพื่อเป็นเพื่อนในทุกวันที่เงียบเหงา ความเฉลียวฉลาดของนางนั้นเป็นที่พึงพอใจของเหล่าอาจารย์ทุกท่าน “ได้ หากเจ้าทำสำเร็จ ย่ายินดีให้ทุกอย่างที่เจ้าปรารถนา”      ****************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD