จุดเริ่มต้นความแค้น

2563 Words
การินขับรถสปอร์ตคันงามกลับมาจอดเทียบบันไดบ้านเดินลงจากรถตัวเบาหวิว เขาแวะส่งสาวคู่ขาที่มีฝีมือสมราคาที่อพาร์ทเม้นท์ของเธอ เธอเพียรพยายามถามชื่อเขาตลอดทางแต่เขาก็ไม่ได้บอกและแน่นอนเขาก็ไม่รู้ชื่อเธอเหมือนกัน เขาให้รางวัลสำหรับความสุขสมกับเธอมากพอควรเธอจึงไม่กล้าซักไซ้เขามากนักได้แต่บ่นเสียดมเสียดายไม่เลิกว่าในที่สุดเธอก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร สำหรับการินผู้หญิงแบบนี้เขาใช้ครั้งเดียวเท่านั้นไม่เคยพบเจอกันเป็นครั้งที่สองถ้ามีครั้งที่สองเขาจะหมดความตื่นเต้นทันที ผู้หญิงที่เหมาะจะสร้างสัมพันธ์สวาทด้วยกันกับเขาสักครั้งนั้นต้องเป็นคนใหม่เสมอ นิสัยแบบนี้การินเป็นมานานแล้วจนเขาก็รู้สึกกลุ้มใจนิดๆ ว่าถ้าเกิดเขาแต่งงานล่ะ? เขาจะต้องอยู่กับผู้หญิงเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิตเขาจะอยู่ได้หรือ? จะมีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เขาไม่เบื่อและตื่นเต้นยามเมคเลิฟกับเธอได้ตลอดเวลา? เขาเลยคิดเล่นๆ ว่าสงสัยต้องมีเมียสัก 30 คนเพราะกว่าจะมาเจอคนที่ 1 ใหม่ก็อีกตั้ง 29 วันน่าจะหายเบื่อพอดี การินเปิดประตูเข้าบ้านกำลังเดินขึ้นบันไดไปห้องนอนก็ได้ยินเสียงที่ทำให้เขาตกใจแทบสิ้นสติ “ปัง!” “พ่อ! แม่!?” การินอุทาน เขาไม่ได้คิดถึงคนอื่นเพราะชั้นบนไม่มีใครนอกจากเขาและพ่อแม่เท่านั้น เขาวิ่งเพียงไม่กี่วินาทีก็ถึงห้องต้นเสียง การินผลักประตูเข้าไปทันที ภาพที่เห็นคือพ่อนอนจมกองเลือดหน้าคว่ำอยู่บนตักแม่ ส่วนแม่ตาเหลือกลานด้วยความตกใจสุดขีดมือพยายามผลักร่างพ่อออกจากตักตัวเองร้องไห้เหมือนคนเสียสติน้ำตานองหน้าผมเผ้ากระเซอะกระเซิง “โอ้ไม่! พ่อ! พ่อ! พ่อ!” การินรีบยกตัวบิดาขึ้นจากตักมารดาแล้วพยายามตั้งสติกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล “เอาออกไป! เอาออกไป! เอาออกไป๊! ริน! ริน! พ่อตาย! พ่อตาย! แม่ฆ่าพ่อ แม่ฆ่าพ่อ!” ดาริณสติหลุดลอยไปแล้ว ร้องไห้สลับหัวเราะไม่หยุด “แม่! ไม่ใช่ครับแม่! แม่ตั้งสติไว้! ผมมาแล้วผมจะช่วยพ่อเอง” การินเขย่าร่างมารดาแต่นางกลับหวีดร้องจนเขาต้องปล่อยมือ การินตกใจแต่ก็มีสติพยายามจัดการกับสถานการณ์อันเลวร้ายตรงหน้าแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บิดาเขาแน่นิ่งไม่ไหวติงไม่มีสัญญาณแห่งชีวิต มารดาเขากระถดตัวหนีเข้าไปที่มุมห้องนั่งทึ้งผมตัวเองร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง การินตกใจสุดขีดลนลานกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ เรียกรถพยาบาล โทรบอกคนที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ทั้งพยายามเรียกชื่อมารดาให้ตั้งสติและพยายามจะแก้ไขสถานการณ์อันเลวร้าย แต่ที่สุดแล้ว... เขาทำได้แค่นั่งพิงข้างฝาประคองร่างบิดาไว้บนอก รถพยาบาลกำลังมาแต่เขารู้ดีว่าบิดาได้จากไปแล้ว เขานั่งมองมารดาที่เดินไปรอบๆ ห้องด้วยร่างชุ่มเลือดร้องไห้สลับกับหัวเราะและเรียกชื่อบิดาตลอดเวลาแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด เมื่อตอนเย็น..เขายังหนุนตักแม่ออดอ้อนให้แม่ดีใจ เขายังแวะทักทายพ่อที่นั่งทำงานทั้งๆที่เย็นมากแล้วด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พ่อดีใจที่ลูกกลับมาถึงกับละจากงานมากอดคอพูดคุยอยู่พักใหญ่ๆ ตกดึก...นี่มันคืออะไร? นี่มันเรื่องอะไรกันพ่อกับแม่เขาถึงทะเลาะกันรุนแรงถึงเพียงนี้?! เขากอดร่างพ่อแน่นขึ้นอีก.. พ่อจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้ว พ่อที่เป็นแบบอย่างของเขาเป็นฮีโร่ของเขาตั้งแต่เด็กจนโตจากนี้ไปจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว เขามองไปที่มารดาที่กำลังฉีกเสื้อผ้าเลอะเลือดของตัวเอง แม่ที่แสนใจดีและอบอุ่นมือนุ่มนิ่มคอยลูบหัวลูบหลังเวลาลูกออดอ้อน..ต่อจากนี้ไปก็จะไม่มีอีกแล้ว การินซบหน้าลงกับร่างไร้วิญญาณของบิดาแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสุดกลั้น “ริน อาจัดการเรื่องตำรวจกับเรื่องคดีให้แล้วนะไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนคุณดา..เธอจะได้รับการบำบัดจิตในโรงพยาบาล หากอาการเธอดีขึ้นเรื่อยๆก็สามารถให้เธอมารักษาตัวที่บ้านได้แต่หมอก็ยังบอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แม่หลานเป็นคนจิตใจอ่อนแออารู้ข้อนี้ดี มันอาจจะช้าสักหน่อยแต่อาเชื่อว่าคุณดาต้องหายเพราะเธอยังมีหลานรออยู่นะ” จรัสพงษ์ทนายประจำตระกูลบิดาของ’คณิศ’ เพื่อนรักของการัณมาแจ้งข่าวและปลอบใจหลานชาย “ครับอา ผมก็หวังอย่างนั้น” การินพยักหน้ารับ ใบหน้าเขาดูซูบผอมไปภายในเวลาเพียง 2 วันเท่านั้นเพราะเขาแทบไม่ได้นอนเลย เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ภาพต่างๆยังติดตาไม่สามารถลบเลือนไปได้ง่ายๆ หลับตาลงครั้งใดเขาก็เห็นแต่ภาพมารดาโชกเลือดเดินล่องลอยอยู่รอบห้องทุกครั้ง “เสร็จงานศพพ่อแล้วผมฝากอาเป็นธุระดำเนินการขายบ้านหลังนี้ด้วยนะครับ ขายถูกๆก็ได้จะได้มีคนซื้อ ให้ผมอยู่ต่อไปผมคงอยู่ไม่ได้แล้ว” การินน้ำตาซึมขึ้นมาอีกเมื่อคิดถึงบ้านที่อยู่กันมาพ่อแม่ลูกอย่างมีความสุข “ได้สิ อาจะจัดการให้ไม่ต้องเป็นห่วง รินกลับไปเรียนต่อให้จบเถอะทางนี้อาจะจัดการดูแลให้เอง” จรัสพงษ์ตบไหล่หลานชายเบาๆ “ขอบคุณครับอาพงษ์" การินยกมือไหว้เมื่อจรัสพงษ์ขอตัวไปดูแลความเรียบร้อยที่งานศพการัณแทนเขาที่กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เพื่อรับแขกตอนเย็นอีกครั้ง การินอาบน้ำอุ่นจัดนานกว่าปกติเพราะร่างกายตึงเครียดมาก เขาอยากผ่อนคลายเพื่อที่จะสู้กับความโศกเศร้าที่มีอยู่ต่อไปได้ เขาแช่น้ำอุ่นจนพอใจรู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดหน่อยจึงออกมานอนพักบนเตียงสักครู่ก่อนจะแต่งตัวไปวัด แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตำรวจคืนหลักฐานในที่เกิดเหตุกลับมาให้เพราะจรัสพงษ์จัดการปิดคดีนี้ไปแล้วอย่างลับๆ อีกทั้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวซึ่งมีผู้รู้เห็นเพียงคนเดียวก็คือดารินซึ่งตอนนี้ก็เสียสติไปอย่างสิ้นเชิงซะแล้วตามคำวินิจฉัยของจิตแพทย์ตำรวจจึงไม่ติดใจอะไร ชายหนุ่มเปิดซองสีน้ำตาลล้วงสิ่งของที่อยู่ในนั้นออกมา มีปืนของการัณ1กระบอกกับรูปถ่ายปึกใหญ่อีกปึกนึง เขามองปืนกระบอกที่ลั่นกระสุนใส่บิดาจนเสียชีวิตแล้วหดหู่ยิ่งขึ้นจึงจับมันใส่ไว้ในลิ้นชักแล้วหันมาสนใจรูปถ่ายที่เหลือ เขาค่อยๆดูทีละรูปๆ ส่วนใหญ่เป็นรูปหญิงวัยกลางคนร่างเล็กหน้าตาสวยงามสมวัย แสดงให้เห็นว่าสาวๆคงสวยมากในอิริยาบทต่างๆซึ่งดูจากมุมกล้องคาดว่าน่าจะแอบถ่าย ถัดๆมาเป็นรูปหญิงคนเดิมนั่งโอบกอดเด็กผู้หญิงวัยประมาณ 12 ปีไว้แนบอกดูอบอุ่นแต่การินก็ยังไม่เห็นถึงสิ่งผิดปกติว่ารูปปึกนี้เกี่ยวพันกับพ่อแม่เขาอย่างไรจนกระทั่งเปิดมาถึงรูปๆหนึ่ง เป็นรูปการัณยืนกอดผู้หญิงคนนั้นไว้โดยที่เธอพนมมือไหว้อยู่กับอกเขา การินใจเต้นแรง นี่เอง! ...ที่เป็นชนวนเหตุให้แม่เขาคุ้มคลั่งรั้งสติตัวเองไว้ไม่อยู่ถึงกับทำให้พ่อต้องเสียชีวิต ‘พ่อมีเมียน้อยเหรอ?’ การินครุ่นคิดแค้นเคืองระอุขึ้นในใจท่ามกลางพายุแห่งความโศกเศร้า เขาหยิบรูปใบต่อไปมาดู เป็นรูปเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักกอดคอหอมแก้มการัณที่กำลังทำท่ายิ้มเขินๆ ‘ลูกเมียน้อยรึเปล่า!’ การินคิดไปอีกมือจับรูปพลิกดูด้านหลังแบบไม่ได้ตั้งใจก็เจอตัวหนังสือเขียนด้วยปากกาลูกลื่นว่า ไม่ใช่ลูกคุณการัณแต่ได้ยินคุณการัณบอกกับแม่เด็กว่าเรียกเขาว่าพ่อก็ได้ “ไม่ใช่ลูกแต่พ่อกลับอนุญาตให้เด็กนี่เรียกพ่อได้? พ่อเป็นชู้กับแม่เด็กนี่หรือไง!!” การินรู้สึกขยะแขยงรังเกียจจนปล่อยมือจากรูปนั้นร่วงลงพื้น “เพราะนังสองคนแม่ลูกนี่ใช่มั้ยพ่อที่ทำให้ครอบครัวเราต้องเกิดโศกนาฎกรรมแบบนี้!” การินแหงนหน้าตะโกนก้องน้ำตาพลันไหลออกมาอีก ภาพซ้ำๆเดิมๆวนเวียนอยู่ในสมอง พ่อที่ไม่หายใจในอ้อมแขน แม่ที่เลือดท่วมร่างเดินล่องลอยไปมาน้ำตานองหน้า “ผมสาบานครับแม่ ผมจะเอาคืนให้สาสม! ผมจะไม่มีวันให้อภัยนังสองคนแม่ลูกนี่เด็ดขาด!” การินเค้นเสียงสั่นสาบานกับตัวเองไว้ด้วยความแค้น การินในชุดสูทสีดำสนิทก้าวลงจากรถสปอร์ตคันงามในมือถือซองสีน้ำตาลหนาๆเดินเข้าไปในศาลาสวดศพที่เริ่มมีแขกเหรื่อมาเคารพศพและรอฟังสวดพระอภิธรรมกันอยู่ด้านนอก เขาพยายามทำสีหน้าปกติต้อนรับแขกที่ทักทายแสดงความเสียใจกับเขาระหว่างทางที่เขาเดินผ่านไป ขณะจะก้าวเข้าไปด้านในศาลาที่ตั้งศพบิดาไว้สายตาก็พลันเห็นหญิงต่างวัยคู่หนึ่งกำลังจุดธูปไหว้เคารพศพอยู่ เขาหน้าซีดตัวสั่นไปด้วยความโกรธสุดขีดเมื่อเห็นชัดๆว่าหญิงคู่นั้นคือคนในรูปที่เขาเพิ่งดูมาเมื่อครู่นี้เอง! การินยืนนิ่งแข็งเป็นหินความโกรธแค้นพุ่งทะยานจนลืมความมีสติยั้งคิด เขาล้วงมือลงไปในซองสีน้ำตาลหนาที่เขาถืออยู่ในมือแล้วควานสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากถุงมันคือปืนกระบอกที่ฆ่าบิดาเขานั่นเอง ‘พวกแกร้องไห้กันทำไม? แกเสียใจอะไรกัน? หรือเสียใจที่พวกแกไม่สามารถทำลายครอบครัวเราต่อไปได้อีกแล้ว! ถ้าพวกแกเสียใจกันนักฉันจะส่งพวกแกไปอยู่กับพ่อฉันแล้วกัน!’ การินเจ็บแค้นจนหูตาพร่ามัวไม่มีความกรุณาปราณีหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่เศษเสี้ยว เขาถอยหลังเข้าไปในหมู่พวงหรีดนับสิบที่วางเรียงรายเพื่อพลางสายตาแขกด้านนอกศาลาแล้วยกปืนในมือขึ้นเล็งเป้าไปทางสองแม่ลูกนั้นช้าๆ แต่ทันใดนั้นก็มีมืออีกมือหนึ่งมาจับสไลด์ปืนไว้แล้วดันกระบอกปืนกลับลงไปพร้อมกับกระซิบหนักๆข้างหูการิน “ริน! อย่าทำแบบนี้!” จรัสพงษ์นั่นเอง “อาพงษ์!” การินหันไปด้วยความตกใจ “ใช่! อาเอง รินอย่าทำแบบนี้เชื่ออาเถอะ มันจะเป็นเวรกรรมไม่สิ้นสุดและหลานจะเสียใจไปตลอดชีวิตนะ” จรัสพงษ์พยายามแกะปืนในมือการินออกแล้วล็อคสไลด์ปืนไว้เหมือนเดิม “ผมไม่เสียใจแน่นอนถ้านังแม่ลูกคู่นั้นมันตายวันนี้!” การินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความแค้นถาโถมจนดวงตาแดงก่ำเป็นสีเลือด “ริน!” จรัสพงษ์ตกใจจนต้องรีบเก็บปืนในมือไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทของตนเอง “พวกมันทำให้ครอบครัวผมต้องเป็นแบบนี้” น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลจากความเจ็บปวดที่ไม่อาจทานทนได้ “เราไม่ได้รู้เรื่องราวที่แท้จริงเลยนะริน หลานควรระงับใจไว้บ้าง บางอย่างอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด” ทนายประจำตระกูลพยายามให้สติ “ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วพ่อกับแม่ผมจะมีชะตากรรมแบบนี้ได้ยังไง!” การินยังตาขวางกำมือแน่นเมื่อเห็นสองแม่ลูกนั่นลุกไปนั่งรอฟังสวดที่ศาลาด้านนอก “ใจเย็นๆ เถอะริน เพื่อเห็นแก่พ่อที่ล่วงลับไปแล้วที่นอนอยู่ตรงหน้ารินเถอะนะ ถ้ารินไม่สบายใจเรื่องสองคนนั่นอาจะไปจัดการเอง รินสงบใจไว้ก่อนดูแลจัดงานครั้งสุดท้ายให้พ่อเค้าส่งพ่อเค้าไปสู่สุขติอย่างสงบดีกว่านะริน อาขอร้อง” จรัสพงษ์ตบไหล่การินหนักๆ ให้หลานชายรู้สึกตัว “งั้นผมก็ต้องขอร้องอาช่วยเอานังสองแม่ลูกนั่นออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแล้วอย่าได้โผล่มาอีกเป็นอันขาด ผมจะใจเย็นแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเพื่อเห็นแก่อาและเห็นแก่พ่อที่นอนสงบอยู่ตรงนี้เท่านั้น ถ้าผมเห็นพวกมันโผล่มาอีกผมจะไม่ทนอีกแล้ว!” “ได้ๆ อารับปาก เดี๋ยวอาจัดการเอง รินจะไม่ได้เห็นสองคนนั่นอีกเลยไม่ต้องห่วง” “งั้นก็ดีครับ อาช่วยจัดการด่วนด้วยนะครับผมไม่สามารถทนเห็นพวกมันนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ในงานศพพ่อผมได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว” “อาจะจัดการทันทีเลยรินทำใจให้สบายเถอะ อ้อ! แล้วปืนนี่รินเอามาทำอะไร?” จรัสพงษ์สงสัยแต่ก็ไม่เชื่อว่าการินจะพกปืนมาเพื่อยิงใครแน่ๆ “ผมทนเห็นมันไม่ได้เหมือนกันก็เลยจะเอามาให้อาเอาไปขายหรือให้ทหารตำรวจอะไรก็ได้เผื่อเป็นประโยชน์กับทางราชการผมยกให้ฟรีๆเลย ช่วยเอามันไปจากผมด้วยแล้วกัน” “อ้อๆ ..เรื่องนี้อาก็จะจัดการให้นะ ไม่ต้องห่วงๆ รินไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นสักหน่อยแล้วคอยรับแขกต่อเถอะ อาขอตัวไปจัดการสองแม่ลูกนั่นก่อน” จรัสพงษ์ตบไหล่การินเบาๆแล้วเดินไปทางหญิงต่างวัยสองคนที่นั่งอยู่ศาลาด้านนอก สักพักสองแม่ลูกก็ลุกเดินตามจรัสพงษ์ไป การินยังยืนอยู่ที่เดิมมือทั้งสองข้างสั่นไม่หยุด เขากางมือออกดู...มันชื้นเหงื่อ ‘เกือบไปแล้วใช่มั้ยครับพ่อ.. ผมเกือบจะบันดาลโทสะแล้วฆ่าคนตายให้เรื่องมันเลวร้ายไปมากกว่านี้แล้วใช่มั้ย?’ การินเงยหน้ามองรูปบิดาที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพแล้วถามในใจ ‘ผมทนเห็นหน้าพวกมันไม่ได้ครับพ่อ ผมทนไม่ได้! แต่ก็ต้องขอบคุณอาพงษ์ที่มาห้ามไว้เรียกสติของผมให้กลับคืนมาและคงเป็นพ่อที่ช่วยดลใจให้อาพงษ์มาทันเวลาพอดีสินะครับ แต่ถึงยังไงผมก็ยังอภัยให้พวกมันไม่ได้ ผมจะจัดการพวกมันให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำกับครอบครัวเรา! พวกมันต้องชดใช้!’ การินจ้องมองรูปบิดาน้ำตาคลอด้วยความแค้นแสนสาหัสสองมือกำหมัดแน่นสาบานกับตัวเอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD