08:45 น.
บริษัท Maprurin Logistics (มาปุรินทร์ ลอจิสติกส์)
ฉันลงจากรถโดยมีชาแนลใบโปรดหิ้วอยู่ในมือ ค่อยๆก้าวเข้าไปภายในบริษัท ปล่อยให้โทรศัพท์ที่ตั้งระบบสั่นไว้ สั่นครืดๆอยู่ในนั้น ลูกหว้าและคนอื่นๆคงพยายามติดต่อให้ฉันรีบมา ฉันก็รีบแล้วน้า รีบสุดๆเลย บึ่งรถมาที่นี่ ด้วยความเร็วคงที่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถไม่ติดหรอก แต่ฉันตั้งใจขับกินลมชมวิวไปเรื่อย และตั้งใจปล่อยให้เขารอ เหมือนเมื่อวานที่ฉันนั่งรอเขานานกว่าหนึ่งชั่วโมง
“คุณวาฬ! ทำไมมาเอาป่านนี้คะ?”
พนักงานระดับหัวหน้าฝ่าย แผดเสียงถามฉันอยู่หน้าห้องประชุม ฉันหลับตาลงและลืมขึ้นใหม่ ดวงตาดุดันไม่พอใจทำเธอคนนั้นหน้าซีดเซียว ในบริษัทนี้ฉันมีอำนาจมากพอๆกับพ่อและแม่ และฉันไม่เคยชอบเลยที่คนพวกนี้มักจะดูถูกฉัน เพียงเพราะว่าฉันเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่ปี
แม้จะทำงานเต็มตัวมาแค่สองปี แต่ผลงานฉันดีกว่าไอ้อีที่มันทำงานอยู่ที่นี่นับสิบปีซะอีก ฉันเอาอะไรมาวัดนะเหรอ ก็มาจากผลกำไรที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวตั้งแต่ฉันเข้ามาทำงานยังไงล่ะ ผลกำไรที่ก่อนหน้านั้นมันไม่ขยับเขยื้อนขึ้นจากเดิมเลย
“รถติด”
ฉันพูดเมื่อเดินมาถึงเธอคนนั้น มองหาเลขาคนสนิทของตัวเอง เมื่อไม่เจอก็ยกมือผลักประตูห้องประชุมเข้าไป การมาถึงของฉัน ทำให้ลูกหว้าที่รออยู่ด้านในห้องดีใจ ส่วนผู้ชายที่นั่งรอเพื่อคุยธุระกับฉัน เขาไม่แสดงออกอะไรให้ฉันเห็น เขานั่งนิ่ง สวมบทบาทนักธุรกิจหนุ่มที่กำลังมาแรงอยู่ในตอนนี้
“ขอเอกสารหน่อยสิคุณเลขา”
“นี่ค่ะ”
ลูกหว้ารีบหยิบเอกสารรายงานทุกสิ่งอย่างมาให้ ฉันรับมันไปถือ เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ที่ซึ่งเป็นตำแหน่งประธานของการประชุม ฉันเป็นผู้จัดการก็จริง แต่ก็พ่วงตำแหน่งรักษาการประธานบริษัทด้วย พ่อฉันท่านป่วยออดๆแอดๆ ไม่ค่อยได้เข้ามาในบริษัทเป็นปีแล้ว เลยยกหน้าที่ดูแลที่นี่ให้ฉันช่วยจัดการ
พนักงานที่นั่งรออยู่ในห้องกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อฉันเบนสายตาจากเอกสารขึ้นไปมอง สินค้าที่ส่งไปเมื่อวาน ยังไม่ได้ออกไปถึงท่าเรือด้วยซ้ำ รถคันที่รับสินค้ามาจากบริษัท K เกิดอุบัติเหตุเพราะคนขับรถเมา สินค้าในรถเสียหายทั้งคัน คนขับอยู่ในอาการโคม่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานตอนสองทุ่ม แต่ฉันเพิ่งจะรู้เรื่องเมื่อเช้า
ปึ่ง!
เอกสารในมือถูกฉันทิ้งลงบนโต๊ะอย่างแรง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปยังผู้ชายที่นั่งเงียบรอฟังว่าฉันจะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไง เขามองฉันนิ่งๆ ต่างจากคนอื่นๆที่ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
“เดี๋ยวจะให้ฝ่ายการเงินและบริษัทประกันจัดการเรื่องค่าเสียหาย คุณหว้า! ช่วยพาคุณอชิตะไปรอที่ห้องรับรองด้วยค่ะ คุยกับฝ่ายการเงินในห้องนั้น น่าจะสะดวกกว่าคุยในห้องนี้”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืน ผายมือเชิญเขาให้ไปรอในห้องรับรอง หันไปสั่งงานกับเลขาทางสายตา ให้รีบๆพาอดีตคู่หมั้นของฉันไปให้ไกลๆสายตาไม่อยากให้เขาเห็นตอนฉันระเบิดลง ไม่ใช่ว่าเกรงใจเขา แต่ฉันกลัวตัวเองอารมณ์ไม่ดีมากขึ้น เพราะเขายังนั่งเสนอหน้าอยู่ในนี้ต่างหาก
“ผมจะรอดู ว่าบริษัทคุณมีวิธีจัดการกับเรื่องนี้ยังไง นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และเหตุการณ์แบบนั้น ไม่ควรเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว”
เขายังคงนั่งนิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด เขาจะมานั่งฟังทำไม ในเมื่อเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องภายในบริษัท ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เขามาเพื่อคุยเรื่องค่าเสียหาย ก็ควรไปคุยกับฝ่ายการเงินและบริษัทประกันสิ
“คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ฟัง เรามีวิธีจัดการของเรา ส่วนที่คุณต้องรู้และต้องคุย มีแค่เรื่องเงินเท่านั้นค่ะ”
ฉันขยับตัวโน้มไปกระซิบข้างใบหูคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาขยับตัวออกห่างนิดๆ เหมือนรังเกียจ ฉันเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง เหอะ! ถ้าเป็นอีพลอย คงจะรวบมันมากอดสินะ
“ผมอยากรู้ว่าคุณจะจัดการยังไง เรายังต้องร่วมงานกันอยู่ แต่ถ้าบริษัทคุณยังหละหลวมเรื่องพนักงาน ผมอาจจะต้องหาบริษัทซัพฯใหม่”
ฉันหรี่ตามองอย่างไม่พอใจ ที่พี่อชิพูดขู่ขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้าฉันเลย ขยับตัวไปนั่งหลังตรง มองผู้หญิงที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้จัดการแผนกทรัพยากรมนุษย์ด้วยสายตาคาดคั้น
“คุณ HR บอกฉันมาสิ ว่าฉันควรจะจัดการเรื่องการคัดพนักงานของคุณยังไงดี”
ภายในห้องประชุมเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบกระซาบเหมือนก่อนหน้า ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าลง กัดริมฝีปากแน่น เหลือบตาขึ้นมองฉันอย่างไม่พอใจ
คนที่ไม่พอใจควรเป็นฉันเถอะ เงินเดือนฉันก็จ่ายให้อย่างเหมาะสม ทำงานแบบนี้ อยากหางานใหม่สินะ
“ดิฉันก็คัดตามระเบียบของบริษัท ส่วนเรื่องดื่มหรือไม่ดื่มนั้น ดิฉันไม่ได้เข้าไปจุ้นจ้านจับตาดูทุกคนนี่คะ พนักงานคนนั้นก็เพิ่งรับเข้ามาด้วย ก็เลยไม่รู้ว่าเขามีนิสัยแบบนั้น”
คำตอบกวนโมโห มากกว่าจะทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ แต่มันก็จริงอย่างที่เธอคนนั้นพูดมา พนักงานในบริษัทมีตั้งหลายร้อยคน ฉันที่เป็นถึงระดับผู้บริหารยังดูแลได้ไม่ทั่วถึงเลย เธอจะเป็นแบบเดียวกันก็ไม่แปลกนักหรอก
“เหมือนพวกคุณจะมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกันนะ ปีหน้าผมอาจจะต้องเปลี่ยนบริษัทซัพฯใหม่จริงๆ”
คนนอกอย่างพี่อชิพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฉันกำมือแน่นเมื่อเข้าใจเจตนาที่เขาเดินทางมานี่ ตั้งใจจะตัดขาดกันทุกทางตั้งแต่แรกแล้วสินะ บางทีเรื่องในครั้งนี้ อาจจะเป็นแผนการของเขาก็ได้ ฉันเก็บความสงสัยนั้นไว้ ยิ้มให้เขาอย่างไม่แคร์
“ก็แล้วแต่เลยค่ะ คุณอดีตคู่หมั้น”
คำพูดของฉัน ทำให้คนในห้องฮือฮาไม่น้อย เขาดูโกรธนิดๆ ที่ฉันประกาศสถานะของเรากลางห้องประชุม แววตาคู่คมหลุบลงต่ำ ก่อนจะช้อนสายตาแปลกๆขึ้นมองสำรวจร่างกายฉันที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“หวังว่าเราจะมีโอกาสร่วมงานกันแค่ปีนี้”
ร่างสูงหยัดตัวขึ้นจากเก้าอี้ ลูกหว้ารีบปรี่เข้าไปเชื้อเชิญเขาออกจากห้อง ลูกหว้าทำงานดี คงจะทำหน้าที่นำทางเขาไปยังห้องรับรองได้ดีกว่าฉัน ที่ไม่อยากจะเห็นแม้แต่เงาของเขา เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ ฉันก็กวาดสายตาไล่มองบุคลากรระดับหัวหน้าทีละคน