“คุณก็ควรหยุดได้แล้วนะคะ” รัตนาวดีพูดอย่างเหลืออด เธอไม่เรียกธีรกรว่าพี่เพราะไม่สนิทขนาดนั้น เรียกคุณก็เพราะเขาเป็นที่นับหน้าถือตาในมหาวิทยาลัย แม้แต่อาจารย์ยังเกรงใจเขา พ่อแม่เส้นใหญ่ร่ำรวยก็แบบนี้ เธอเข้าใจเลยว่าสองมาตรฐานมันเป็นยังไง รู้จักกับคำนี้มาตั้งแต่จำความได้ ความยากจนกับความร่ำรวยแบ่งชนชั้นวรรณะชัดเจน คนรวยทำอะไรไม่เคยผิด แต่คนจนแค่หายใจยังผิด
“มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง” เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ เพื่อนๆ ของธีรกรยืนอยู่ด้านหลัง แต่ละคนก็ดูแสบๆ ทั้งนั้น รัตนาวดีคิดว่าไม่ควรไปตอแยเขา
“ไหนล่ะเงินของฉัน เธอบอกว่าไม่เอาไม่ใช่เหรอ” พอรัตนาวดีดึงมือศักดิ์สิทธิ์หนี ธีรกรก็เข้ามาขวาง ก่อนจะแบมือมาด้านหน้า
“ฉันจะหามาคืนให้”
“หามาคืนเหรอ แสดงว่าใช้ไปแล้วล่ะสิ ไหนว่าไม่เอาเศษเงินของฉันไง”
ธีรกรเงยหน้าระเบิดหัวเราะเยาะหยัน เขาเหยียดปากใส่คนทั้งสอง รัตนาวดีหน้าชา ศักดิ์สิทธิ์รู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก เขาเองก็ไม่มีเงินมาคืนเหมือนกันเพราะภาระมากมาย ไหนจะแม่ไหนจะน้อง และการพารัตนาวดีเข้าไปอยู่บ้านก็ต้องซื้อเครื่องนอนใหม่ และอีกหลายๆ อย่างให้เธอ ทำให้เขาหมุนเงินไม่ทัน เพราะเขาเป็นเพียงนักศึกษาที่ต้องทำงานไปด้วย หาเงินเรียนไปด้วย มันน่าเจ็บใจนักที่เงินเพียงแค่สามพัน เขาน่าจะมีและนำมาคืนธีรกรได้ ไม่ใช่ปล่อยให้อีกฝ่ายหัวเราะเยาะหยันแบบนี้ และเพื่อนๆ ในคณะต่างหัวเราะเยาะเขากับรัตนาวดี มองพวกเราสองคนเหมือนตัวประหลาด
“ฉันไม่ได้อยากได้เงินของคุณและไม่ได้ตั้งใจจะใช้เงินของคุณด้วย แต่มันมีความจำเป็น วันนั้นฉันตั้งใจจะเก็บเงินมาคืนคุณจริงๆ”
“เชื่อก็คลอดลูกเป็นแมวแล้วล่ะ” ธีรกรพูดขึ้น ก่อนที่เสียงหัวเราะรอบตัวจะดังขึ้น รัตนาวดีเม้มปากแน่น เธอรู้สึกเกลียดขี้หน้าเขาจับใจ ศักดิ์สิทธิ์ดึงเพื่อนสาวให้เดินหนี แต่ถูกเรียกไปประชุมรับน้องเหมือนดังเช่นหลายเดือนที่ผ่านมา เพราะทั้งสองยังอยู่ปีหนึ่ง
ธีรกรกับพวกรวมหัวกันแกล้งรัตนาวดีกับศักดิ์สิทธิ์อย่างหนัก แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ศักดิ์สิทธิ์เก็บความคั่งแค้นไว้ในใจที่โดนกลั่นแกล้งหนักขนาดนี้ เขาเกลียดกิจกรรมรับน้องมากที่สุด
กลับมาจากมหาวิทยาลัย รัตนาวดีก็ช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง วันนี้เธอไม่ได้ไปทำงานพาร์ทไทม์
ศักดิ์สิทธิ์เองก็เหมือนกัน ส่วนมารดากับน้องสาวของเขาไปเที่ยวงานกาชาด เธอปฏิเสธที่จะไปเพราะไม่อยากใช้เงิน ชายหนุ่มจึงอยู่เป็นเพื่อน
ศักดิ์สิทธิ์มองรัตนาวดีด้วยสายตาอ่อนเชื่อม เขาไม่อยากให้เธอไปอยู่ที่อื่น แม้ต้องทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ แต่เขาคิดว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด คืนนี้แม่กับน้องก็ไม่อยู่ เขาจะทำให้รัตนาวดีตกเป็นของเขาให้จงได้
รัตนาวดีทานอาหารเย็นกับเพื่อนหนุ่มก่อนจะเข้าห้องนอนตามปกติ วันนี้เธอรู้สึกหายอึดอัดไปเยอะ เพราะสองแม่ลูกไม่อยู่ มันก็ไม่ดีหรอกนะ มาอยู่บ้านเขาแต่มาคิดไม่ดีกับเจ้าของบ้าน แต่เธอก็คิดว่าถ้าใครมาอาศัยเราอยู่โดยไม่ได้รับเชิญ เราอาจจะไม่พึงใจก็เป็นได้ นึกได้ดังใจเธอก็พยายามเข้าใจสองแม่ลูก ไม่โกรธ ไม่เกลียด วางเฉย เพราะเช่นไรเธอก็คุยกับศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว เขาเข้าใจที่เธอจะไปอยู่ที่อื่น
หญิงสาวนอนหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้สึกว่ามีมือมือหนึ่งเข้ามาลูบไล้ไปทั่วเนื้อทั่วตัว เธอสะดุ้งอย่างตกใจ ทำท่าจะกรีดร้องให้คนช่วย แต่อีกฝ่ายตะปบมือปิดปากเธอเอาไว้
“งาม เราเองนะ” เสียงของศักดิ์สิทธิ์ ร่างของเขาทาบทับเธออยู่ หญิงสาวเริ่มดิ้นเมื่อเขาทำท่าจะคุกคามเธอไปมากกว่านี้
“งามอย่าดิ้นสิ เป็นของเราเถอะนะ เรารักงาม รักมานานแล้ว”
“อย่าทำอะไรเราเลยนะศักดิ์” รัตนาวดีอ้อนวอนขอร้องเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยเป็นอิสระ
“งามจะทิ้งเราไปอยู่ที่อื่น เราไม่ยอมหรอกนะ” ศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างหวงๆ เขาเห็นชายหนุ่มหลายคนในมหาวิทยาลัยมองรัตนาวดีตาไม่กะพริบ และมีหลายคนหมั่นแวะเวียนเข้ามาขายขนมจีบ เขาทนไม่ได้จริงๆ เพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งเธอจะใจอ่อนกับผู้ชายสักคน แม้เขาจะเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ไปไหนมาไหนกับเธอ หรือใกล้ชิดที่สุด แต่ก็ไว้วางใจใครไม่ได้เลย
“ปล่อยเราเถอะศักดิ์ อื้อ...” ศักดิ์สิทธิ์บดจูบเพื่อหวังเอาชนะ ใช้กำลังหักหาญเมื่อเธอเริ่มดิ้นรนมากขึ้น เขากดมือเธอเอาไว้ รัตนาวดีตกใจแทบช็อก เธอกลัวเขาสุดหัวใจ ขึ้นชื่อว่าผู้ชายไว้ใจไม่ได้สักคน เธอดิ้นรนจนเหนื่อยเขาก็ไม่ปรานี หญิงสาวพยายามตั้งสติ ในสถานการณ์เช่นนี้เธอสู้แรงเขาไม่ได้ เธอต้องพูดกับเขาดีๆ ถ้ายิ่งสู้ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งจะใช้แรงที่มากกว่าเอาชนะ เธอต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบและหาทางเอาตัวรอดให้จงได้
“ศักดิ์เบาๆ หน่อย เรายอมแล้วก็ได้” รัตนาวดีพูดเสียงหอบๆ พยายามไม่ดิ้น แต่นอนนิ่ง
“งามพูดจริงเหรอ”
“จริงสิ เราเองก็สนิทกับศักดิ์ที่สุด ไม่รู้หรือไงว่าเราก็ชอบศักดิ์นะ”
“งาม นี่เราฝันไปหรือเปล่า งามก็ชอบเราเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นจะสนิทกับศักดิ์มากกว่าผู้ชายคนอื่นหรือไง”
“เรารักงามนะ สัญญาว่าจะดูแลงามให้ดีที่สุด” ศักดิ์สิทธิ์ลูบไล้หนักมือขึ้น เขาเริ่มมีอารมณ์มากกว่าเดิม
“ศักดิ์น่ะ อื้อ...” รัตนาวดีเบี่ยงหลบอย่างแนบเนียน แกล้งทำเป็นสะเทิ้นอาย เธอกวาดสายตามองบนหัวเตียง มีที่เสียบปากกาที่ทำด้วยเซรามิกอันใหญ่วางอยู่ ซึ่งเป็นของเธอเอง ในขณะที่ศักดิ์สิทธิ์กำลังก้มลงดอมดมเธออย่างเสน่หา รัตนาวดีก็ฟาดหัวของเขาเต็มแรง
“โอ๊ย!” ศักดิ์สิทธิ์ร้องเสียงหลง รัตนาวดีเตะเข้าที่กลางกายของเขาเต็มๆ แรง ชายหนุ่มกลิ้งไปอีกด้าน เธอจึงรวบรวมสติลุกขึ้นจากฟูกนอน เตรียมหนีเต็มที่
“นั่นแกทำอะไรพี่ชายฉันน่ะ แม่มาดูเร็ว นังนี่มันฟาดหัวพี่ศักดิ์เลือดไหลเต็มเลย” ศศิที่เดินเข้าห้องมาพอดีร้องเสียงหลง ตรงเข้าไปประคองพี่ชายเอาไว้ ในขณะที่ศักดิ์สิทธิ์ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ
“นังนี่ แกทำอะไรลูกชายฉันฮะ! หน็อย...” ศศิกานต์ตรงเข้าตบหน้ารัตนาวดีเผียะใหญ่ เสียงฝ่ามือกระทบกับใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มแรง
รัตนาวดีหน้าหันไปตามแรงตบ หน้าชาไปทั้งแถบ เธอยกมือขึ้นลูบแก้มน้ำตาร่วงเพราะความเจ็บ ศักดิ์สิทธิ์เจ็บจุก แถมยังโดนทุบหัว เขาพูดไม่ออกและพูดไม่ทันด้วย
“ไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้นะ นังปลิงดูดเลือด ลูกชายฉันพามาอยู่บ้านแล้วยังขี้รดบนหลังคา เลี้ยงเสียข้าวสุก ทำร้ายเขาปางตาย ไป! จะไปไหนก็ไป เอาข้าวของของแกออกไปด้วย” เพราะศักดิ์สิทธิ์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ทำงานหาเลี้ยงมาตลอด ศศิกานต์จึงไม่อยากให้ลูกชายมีแฟนในเวลานี้ อาจจะติดแฟนลืมแม่ลืมน้อง และเจียดเงินไปทำเรื่องไร้สาระ ตอนที่ศักดิ์สิทธิ์พารัตนาวดีเข้ามา เธอกับบุตรสาวก็ไม่เห็นด้วย แต่ขัดลูกชายไม่ได้ เกิดเหตุขึ้นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีข้ออ้างไล่นังนี่ออกไปจากบ้าน
รัตนาวดียืนอยู่หน้าบ้านหลังจากนั้นไม่กี่นาทีหลังจากโดนไล่ ข้าวของของเธอถูกเขวี้ยงทิ้งด้วยฝีมือสองแม่ลูก
เธอไม่รู้ว่าอาการของศักดิ์สิทธิ์เป็นยังไง แต่ช่างเถอะ เขาทำร้ายเธอก่อน ค่ำมืดแบบนี้เธอจะไปนอนที่ไหนกันล่ะ
เธอกอดกระเป๋าใบเล็กของตัวเองแน่น เดินออกมาในซอยเปลี่ยวด้วยแข้งขาอันสั่นเทา
“จะไปไหนจ๊ะน้องสาว” เสียงผิวปากของกลุ่มเด็กแว้นพร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับวนไปมารอบตัวเธอทำให้รัตนาวดีกอดกระเป๋าของตัวเองเอาไว้แน่น พยายามเดินหนี แต่พวกมันดักหน้าดักหลังเอาไว้ ไม่ยอมให้เธอหนีง่ายๆ เธอถูกดึงมือเอาไว้ แต่รีบสะบัดออกโดยเร็ว พวกมันผิวปากส่งเสียงโห่ร้องไม่หยุดปาก
“ปล่อยนะ” เธอสะบัดมือหนีอีก มันยิ่งโห่อย่างชอบอกชอบใจ
“พูดได้ด้วยว่ะ นึกว่าเป็นใบ้”