Syb Describe.
“เข้ามา”
ผมบอกยัยตัวเล็กตัวน้อยในชุดนักเรียนมอต้นที่กำลังยืนขมวดคิ้วอยู่หน้าห้อง ไม่ยอมแม้แต่จะถอดรองเท้าแล้วเข้ามาข้างใน
ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นทั้งที่เนื้อตัวเปียกปอน
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอตัดสินใจขึ้นรถมากับผม ฝนซาลงมากแล้วจึงคิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ระหว่างทางหยาดน้ำมากมายดันพร้อมใจกันเทกระหน่ำลงมาอีกครั้ง
ตอนแรกผมเตรียมเลี้ยวหาที่หลบฝน แต่เด็กคนนั้นกลับกอดผมแน่น ส่งเสียงสั่นพร่าฝ่าสายฝนและเสียงลมว่า ‘อยู่ดี ๆ หนูก็อยากตากฝนค่ะ ไม่ต้องหาที่หลบหรอก’
น้ำเสียงของเธอทั้งแหบทั้งสั่น ในตอนนั้นแม้ไม่ได้เอี้ยวหน้ากลับไปมองก็พอจะรู้ว่าคงร้องไห้อย่างเงียบเชียบขณะซ้อนท้ายผม เหตุผลที่อยากตากฝนคงเพราะต้องการให้มันช่วยอำพรางน้ำตาของตัวเอง...
ผมพยักหน้าให้กับคำขอนั้น
เธอไม่แคร์เรื่องความปลอดภัย ไม่สนใจว่าตัวเองจะต้องเป็นไข้ไม่สบาย รู้ตัวอีกที ผมเปียที่ยาวถึงกลางหลังกับชุดนักเรียนมอต้นก็ไม่มีจุดไหนแห้งเหือดแล้ว
เปียกชื้นไปทั้งตัว
เสื้อนักเรียนบาง ๆ นั่นเมื่อถูกสายน้ำชโลมก็แทบจะไร้ความหมาย
“ห้องพี่เหรอคะ” มิ้นปริปากถามหลังจากกวาดสายตาสำรวจสภาพห้องผมอยู่หน้าประตู
“...” ผมพยักหน้าให้
ที่ที่ผมพามิ้นมาคือคอนโด ฯ ของผมเอง ผมมีบ้านมีครอบครัวเหมือนคนอื่น ๆ แต่กลับชอบมาขลุกตัวอยู่ที่นี่ เพราะรู้สึกว่าเสียงบ่นของผู้ปกครองบางครั้งมันก็น่ารำคาญ
ผมเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาสั่งหรือบงการ
และชอบ...ทำอะไรตามความรู้สึกมากกว่าฟังคำสั่งของสมอง
“ให้หนูเข้าไปได้เหรอพี่” มิ้นถามอีกครั้งเหมือนไม่แน่ใจ ส่วนผมที่เดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำมาดื่มก็เพิ่งเห็นว่าเธอยังไม่แม้แต่จะเปลี่ยนท่ายืน
“ก็พามา”
ผมบอกตามตรงหลังจากดื่มน้ำไปสองอึกแล้ว “เข้ามา ฉันไม่ทำอะไร” จำเป็นต้องสำทับเพื่อให้มิ้นวางใจ
ในสังคมไทย การที่วัยรุ่นชายหญิงเข้ามาอยู่ในห้องกันเพียงลำพังมักถูกตีความไปในทางที่ไม่ดีนัก สำหรับมิ้น ตัวผมเองเดาไม่ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่บอกไว้ก่อนก็ดี น้องเขาจะได้ไม่หวาดระแวงจนเกินไป
“เค” มิ้นพยักหน้ารับแล้วถอดรองเท้านักเรียนออก ก่อนก้าวเท้าเข้ามายืนหยุดอยู่กลางห้องราวกับไม่รู้จะพาตัวเองไปไว้ตรงส่วนไหนดี
ผิดคาดนิดหน่อย
เด็กคนนั้น ผมเฝ้ามองอยู่มุมหนึ่งมาพักใหญ่ ๆ ดูเป็นคน ‘กล้า ๆ’ และไม่ค่อยแสดงออกว่ากำลังเสียใจหรือหวาดกลัว แม้แต่ท่าทีลังเลแบบนั้น ผมเองก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นตอนพาเข้ามาในห้องตัวเอง
“...”
“พี่อยู่ห้องหรู ๆ นี่คนเดียวมาตลอดเลยเหรอ หนูนึกว่าพี่อยู่บ้านหลังใหญ่กับครอบครัวซะอีก”
ขณะสังเกตมิ้นอย่างไร้ปากเสียง อีกฝ่ายก็ปริปากถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“บ้านบ้าง ที่นี่บ้าง สลับกัน” ผมตอบแล้วก้าวเท้าตรงไปหาคนตัวเล็กที่ยืนกอดกระเป๋าเป้ของตัวเองอยู่กลางห้อง เพียงสี่ก้าวก็สามารถหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอได้สำเร็จ เป็นผลให้มิ้นที่ยังคงสนใจกับข้าวของเครื่องใช้ในห้องผมต้องแหงนหน้าขึ้น
เพราะระยะห่างถูกลดลงแล้ว ผมที่ก้มหน้ามองมิ้นซึ่งสูงแค่ระดับอกเท่านั้นจึงเห็นได้ชัดเจนว่าดวงตากลมโตที่มักจะฉายแววอวดดีแบบไม่แคร์ใคร...แดงและบวมต่างจากตอนค่ำที่ผมเจอ
เพราะงั้นผมจึงถามเพื่อความแน่ใจ “ร้องไห้?”
“หือ? ร้องไห้ไร ไม่ได้ร้อง ๆ ๆ ๆ” มิ้นโบกมือปฏิเสธพลางหัวเราะร่วน “ที่เห็นหน้าเปียก ๆ นี่ไม่ใช่น้ำตาหนูค่ะ ฝนทั้งนั้น”
“...” ผมไม่พูดอะไร แค่มองอยู่เหมือนเดิม
“ทะเลาะกับแม่น่ะจิ๊บจ๊อย ทำไรอีมิ้นไม่ได้หรอก ไร้สาระ!” มิ้นยักไหล่ สีหน้าบ่งบอกว่าปัญหาครอบครัวที่เจอมานั้นไร้สาระจริง ๆ “นี่พี่สิบ หนูขอถามไรตรง ๆ ได้ไหม”
“ว่ามา”
แค่เธอเปลี่ยนเรื่อง ผมก็ไหลไปตามน้ำ
“ที่บอกว่าไม่ได้คิดไร ไม่ได้ชอบนี่โกหกหรือเปล่า”
“...”
“ถูกใจก็บอก พาเข้าห้องเพราะ ‘อยากกินหนู’ ก็พูดตรง ๆ ไม่ต้องอาย”
“เพ้อเจ้อ”
ผมถอนหายใจพรืดใหญ่ ไม่ลืมสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย อันที่จริงแม้มิ้นจะยังเป็นแค่เด็กมอต้น มองผิวเผินยังดูไม่โตเต็มวัยสักเท่าไหร่
แต่ในฐานะผู้ชาย...ผมว่าน้องเขาก็หน้าตาใช้ได้
ขาว ๆ ตัวเล็ก ๆ ดูนุ่มนิ่ม แต่ก็ไม่ได้ดูเปราะบางจนน่ารำคาญ ลักษณะของผู้หญิงแบบนี้ไม่ยากที่ผู้ชายสักคนจะชอบแล้วรู้สึกว่าถ้าได้สัมผัสก็คงไม่เลว แต่...
“แล้วพี่พาหนูเข้าห้องทำไม” มิ้นยังไม่จบ ดูท่าจะอยากรู้เหตุผลที่ผมตามดูเธอ แถมยังช่วยเหลือด้วยการพามาที่คอนโดฯ ตัวเอง
“ไม่ได้เหรอ” ผมขมวดคิ้ว
“อะไรคือไม่ได้เหรอ หนูงง”
“หมายถึง...พามาที่ห้องไม่ได้?” ผมถามต่อ หลังจากนั้นสองตาก็เปลี่ยนจากใบหน้าได้รูปของมิ้นเป็นอะไรที่ต่ำกว่านั้น ต่ำจนถึงเสื้อนักเรียนสีขาวบางซึ่งเปียกชุ่มถึงขั้นเห็นซับในสีอ่อน กระเป๋าเป้ของเธอถูกปรับสายให้ต่ำกว่าปกติ ดังนั้นสายตาผมจึงหยุดไว้แถว ๆ ส่วนโค้งนูน แต่ไม่นานนักก็เคลื่อนขึ้นมองใบหน้าของยัยตัวเล็กที่ไม่ได้มีท่าทีหวาดหวั่นให้เห็นแม้แต่น้อย
เพราะเธอยังเงียบเหมือนอยากรู้ว่าผมจะทำอะไร ดังนั้นจึงกล่าวต่อ “พามาที่ห้องต้องทำเรื่องอย่างว่าเหรอ”
คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ แต่สำหรับผม...ไม่ใช่
“งั้นพี่จะบอกว่าพามาเฉย ๆ เพราะเห็นว่าหนูคงไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่ ๆ ใช่ไหมคะ?” มิ้นถามแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “พี่ว่ามันแปลกไหม”
“แปลกยังไง” ถามเยอะ พูดมาก ไม่เมื่อยปากเป็นบ้างหรือไง
แค่มองก็เหนื่อยแทนแล้ว