ฉันถึงกับร้องถามอย่างงุนงง
เพียงไม่นานพี่สิบซึ่งยืนทำหน้าเรียบเรื่อยอยู่ตรงนั้นก็กดปุ่มสีแดงใกล้ ๆ กับประตู พอรถเมล์จอดเทียบป้ายก็ก้าวขายาว ๆ ลงไปทันที และใช่ จุดที่เขาลงไม่ใช่หน้าโรงเรียนอย่างที่ควรจะเป็น
ใกล้กับป้ายมีอู่ซ่อมรถขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ฉันเพ่งมองถึงพบกับบิ๊กไบค์คันโตที่พี่สิบมักใช้มันขับขี่ไปไหนมาไหนเป็นประจำจอดเด่นเป็นสง่าราวกับว่าเพิ่งซ่อมเสร็จใหม่ ๆ จึงได้คำตอบว่าที่วันนี้เขาขึ้นรถเมล์ก็เพราะลูกรักพังนี่เอง
หื้ม? สงสัยล่ะสิว่าทำไมฉันถึงดูรู้เรื่องของเขาเยอะแยะไปหมด
อย่าตกใจไป พี่สิบเป็นคนฮอตของโรงเรียน โด่งดังและโดดเด่นกว่าใคร แล้วความหล่อเหลาระดับนั้น เป็นธรรมดาที่ฉันจะแอบมองแอบให้ความสนใจตามประสา แต่ไม่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสามีนะ
แม้ร่างกายตอนชุ่มเหงื่อของเขาจะฮอตและแซ่บจนเลือดกำเดาแทบไหล แต่เสียใจ...น้องมิ้นไม่ชอบผู้ชายนิสัยเถื่อนค่ะ
ตอนเที่ยง
ป้าบ!
“ไอ้มิ้น มึงไปสร้างเรื่องไรไว้วะ”
เสียงตบโต๊ะและคำทักทายไร้ไมตรีทำเอาฉันที่กำลังงีบอย่างเกียจคร้านอยู่ในห้องเพียงลำพังถึงกับสะดุ้งจนแทบลืมหายใจ เงยหน้าขึ้นมองจึงพบว่าเป็นไอ้เก่ง เพื่อนผู้ชายร่วมห้องที่ไม่ถึงกับสนิทสนมของฉันเอง
“ไรมึง” ฉันหาวหวอด ๆ แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะเหมือนเดิม
ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง นักเรียนส่วนใหญ่จึงไปออกันที่โรงอาหารกับสวนหลังโรงเรียน แต่พอดีฉันง่วงมาก จึงวานให้เพื่อนสนิทซื้อขนมปังมาให้ ส่วนตัวเองจะงีบรออยู่ในนี้
แล้วไอ้เก่ง...เมื่อกี้มันพูดอะไรฉันก็ไม่ทันได้ฟังเหมือนกัน
“พี่หน้าโหดคนนั้นให้กูมาบอกมึง” ไอ้เก่งทำเสียงเหมือนฉันกำลังจะถูกยมบาลลากไปโยนกระทะทองแดง
“ใครอีก” ฉันถามเสียงงัวเงีย น่าหงุดหงิดจริง ๆ...
“พี่สิบ”
“...”
“เขาให้กูมาตามมึง ไปเจอเขาที่ห้องชมรมฟุตบอลด้วย”
พี่สิบ? ให้ไปหาที่ห้องชมรม?
เดี๋ยวก่อนค่ะ เดี๋ยวก่อน...
“แล้วทำไมกูต้องไปด้วยอะ?” ฉันถามไอ้เก่งเพราะรู้สึกข้องใจ
อย่างที่เคยบอกไปว่าฉันกับรุ่นพี่หน้านิ่งไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวตั้งแต่แรก มีแค่ฉันฝ่ายเดียวซึ่งพอจะรู้กิตติศัพท์จากความโด่งดังที่เขามี
ส่วนฉัน...เขาอาจคุ้นหน้าคุ้นตาบ้างเนื่องจากเจอกันโดยบังเอิญอยู่สองสามหน แม้เมื่อเช้า เหตุการณ์บนรถเมล์จะเป็นครั้งแรกที่เราได้ใกล้ชิดกันจนอันตราย แต่เชื่อสิ พี่สิบไม่มีทางรู้ชื่อของฉันแน่ เพราะแบบนี้ฉันถึงได้สงสัยไง
“ถามกูกูจะรู้ไหม พี่เขาให้มึงไปหา มึงก็ควรไป รีบ ๆ เลย” สีหน้าฝ่ายนั้นแลดูกระอักกระอ่วนปนตื่นตระหนก พื้นฐานไอ้เก่งเป็นคนขี้กลัว ลำพังแค่ใบหน้านิ่งเนือยไม่รับแขกก็ทำให้อกสั่นขวัญแขวนได้มากอยู่แล้ว เดาว่าพี่สิบคงข่มขู่อะไรมาแน่ ๆ มันถึงได้ลนลานเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัวแบบนี้ “ไปเร็ว ๆ ดิ ขืนมึงไปช้า พี่สิบหักคอกูแน่ ๆ ”
“อย่าไปกลัว”
ฉันหาวออกมาอีกหนึ่งครั้ง หักคงหักคออะไร โอเวอร์ซะไม่มี
ถ้าพี่สิบอยากเจอฉัน เขาต้องมาหาเองสิ ทำไมต้องให้ฉันเป็นฝ่ายเดินไปหาด้วย จะทำอะไรก็ให้มันมาดแมนสมขนาดตัวหน่อยจ้าคุณพี่
“ถ้าพี่เขาโมโหมึงขึ้นมา กูไม่ช่วยนะบอกไว้ก่อน” ไอ้เก่งว่า “กูจะไปบอกเขาว่ามึงไม่ยอมไป”
“อือ ตามสบายเลยจ้ะ” คำเตือนของเพื่อนร่วมห้องไม่ได้เข้าหูฉันสักนิด เพราะจังหวะที่มันหันหลังเดินออกจากห้องไป ฉันก็หลับตาพริ้ม มีความสุขกับการงีบช่วงพักเที่ยงซะแล้ว
เหตุการณ์ช่วงกลางวันดูเหมือนจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ก็ดีได้เพียงแค่นั้น เพราะเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน จวบจนนั่งรถเมล์กลับบ้าน อาการผ่อนคลายที่เคยมีก็ลอยหายไป หายไปตั้งแต่เหยียบย่างลงบนพื้นเย็นเฉียบของบ้าน...
“มิ้น! ทำไมกลับบ้านค่ำ” เป็นเสียงของแม่ที่กำลังนั่งกอดอกอยู่บนโซฟาตรงห้องรับแขก น้ำเสียงที่ทั้งห้วนและเต็มไปด้วยความไม่พอใจทำเอาฉันซึ่งเจอบ่อยจนเหนื่อยหน่ายถึงกับพรูลมหายใจทิ้ง
“รถติดน่ะแม่” ฉันตอบโดยไม่ได้มองหน้าท่าน หลังจากนั้นก็ตั้งใจว่าจะขึ้นไปบนห้องแล้วนอนดูซีรีย์ให้ชุ่มฉ่ำหัวใจ แต่...
“รถติดหรือเถลไถล! อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ”
“...”
“เมื่อวานพ่อโทร.มาบอกแม่ว่าคืนก่อนเห็นแกหน้าผับกับแก๊งเด็กติดยา! แกอายุสิบสี่เองนะไอ้มิ้น ทำไมเสเพลได้ขนาดนี้!” ว่าแล้วแม่ก็ปรี่เข้ามาตีแขนฉันดัง ‘เพียะ!’
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลให้สองเท้าของฉันซวนเซไปตามธรรมชาติ โชคยังดีที่ฉันกัดฟันตั้งสติ ไม่ปล่อยให้ร่างอ่อนปวกเปียกจนล้มลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสมเพช
แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกครั้งที่ท่านลงไม้ลงมือกับฉัน มันเจ็บ...เจ็บไปถึงขั้วหัวใจ
เจ็บจนบางครั้งก็ไม่อยากร้องไห้ แต่อยากหัวเราะออกมาดัง ๆ
หลังจากนั้น ฉันเคลื่อนสายตากลับไปมองหน้าท่านตรง ๆ ไม่มีเสียงร้อง ไร้เงาของคนอ่อนแอ แม้แต่แววตายังราบเรียบ
“ใช่ คุณพีพูดถูก” ฉันพูดด้วยเสียงปกติ “แต่แม่เข้าใจผิดไปเรื่องหนึ่งนะ คนพวกนั้นไม่ได้ติดยาค่ะ”
“เถียงคำไม่ตกฟาก!” แม่แผดเสียงหน้าแดงก่ำ ง้างมือเตรียมฟาดลงบนใบหน้าที่กำลังอวดดีของฉัน แต่แล้วการกระทำนั้นก็หยุดลงเพราะมีฝ่ามือหนาของใครบางคนรั้งไว้ทัน
"คุณมาริสา ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จานะครับ ลูกยังเด็ก"
ฉันเหลือบมองเสียงทุ้มต่ำน่ารังเกียจนั่นอย่างเย็นชา
เป็นคุณพี ผัวใหม่แม่
ผัวแม่ที่คิดจะ 'เคลม' ฉันคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน
“คนอย่างมันพูดดี ๆ ด้วยไม่ได้หรอกค่ะ” ตอนแม่หันไปพูดกับคุณพี น้ำเสียงที่เคยเกรี้ยวกราดในก่อนหน้านี้ถูกปรับให้นุ่มนวล แววตาและสีหน้าเองก็อ่อนลงหลายระดับ
“มิ้นกำลังอยากรู้อยากลอง ผมว่าเราต้องสอนลูกดี ๆ นะ” คุณพีหันมามองหน้าฉัน ก่อนหลุบมองต้นแขนซึ่งปรากฏรอยแดงจากการถูกแม่ตีด้วยความรุนแรงเมื่อครู่นี้ “คุณตีลูกแรงเกินไป ดูสิ เป็นรอยหมดแล้ว”
ไม่เพียงแค่พูด คุณพียังหันมาให้ความสนใจฉันอย่างเปิดเผย ทำท่าจะยื่นมือมาสัมผัสรอยแดงบริเวณต้นแขน แต่ขอโทษนะ...ฉันเขยิบหนีทัน ไม่ยอมให้คนเสแสร้งได้แตะเนื้อต้องตัวอย่างที่ใจต้องการ
ชอบมีคนคิดว่าภาพลักษณ์แรง ๆ อย่างฉันต้องปลื้มอกปลื้มใจตอนถูกสัมผัสแน่ คงผ่านผู้ชายมาเยอะมากมายนับไม่ถ้วน คง 'โดนจนพรุน' ไปหมดทั้งตัว
ค่ะ ถ้ามองแค่ภายนอก ถ้ารู้จักอย่างผิวเผิน คาแร็กเตอร์ของฉันก็ดูจะแมชต์กับอะไรทำนองนั้นทั้งที่ความจริงฉันไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยสักคน
“มิ้น! อย่าเสียมารยาท พ่อเขาเป็นห่วง” พอฉันตั้งป้อมผ่านการกระทำอันเย็นชาว่าไม่ขอญาติดีกับพ่อจอมปลอม แม่ที่รักผัวใหม่หมดหัวใจก็เลือดขึ้นหน้าทันที
ตั้งแต่แต่งงานใหม่กับคุณพี แม่มักตามอกตามใจเขา ทำอะไรก็เห็นดีเห็นงามไปหมด ทำผิดกี่ครั้งไม่เคยว่า มันหนักถึงขั้นไหนรู้ไหม?
เดือนก่อนคุณพีย่องเข้ามาในห้องนอนฉัน เจตนาจะรวบรัดแล้วปิดปาดด้วยของนอกกายที่ฉันอยากได้ แต่พอฉันกรี๊ดสุดเสียงจนแม่วิ่งเข้ามาเห็นผัวตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน แทนที่จะตาสว่างแล้วเฉดหัวมันออกไป แต่กลับ...ครหาฉัน
‘แม้แต่พ่อแกก็ไม่เว้นเหรออีมิ้น นั่นผัวแม่แกนะ!’
‘ไปอ่อยเขาท่าไหน ต้องพยายามแค่ไหนเขาถึงมาหาแกที่ห้องได้!’
ตอนนั้นฉันร้องไห้จนน้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือด ได้แต่ยืนกำหมัดแน่นกับเรื่องราวสุดเฮงซวยอย่างไร้ปากเสียง ฉันต้องทนให้แม่บริภาษอย่างหยาบคาย ทนให้ตบให้ตีกับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ส่วนคุณพี...
‘คุณอย่าว่าลูกเลย พอดีลูกส่งข้อความมาบอกผมว่าไม่สบาย ผมเลยเข้ามาดู ลูกไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนะ’
แล้วแม่ก็เชื่อคำพูดคุณพีทุกอย่าง ไม่ขอดูโทรศัพท์เพื่อเช็กว่าฉันได้ส่งข้อความไปหาจริง ๆ ไหม ทั้งหมดนั้นเพราะแม่รักผัวใหม่จนหน้ามืดตามัว ส่วนฉัน...ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะมี DNA เดียวกับท่านเท่านั้น