เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปี
โม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิด
เพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรง
ทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้ว
จวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมด
ไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มี
โม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...
รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดับใบหน้าให้คุณหนูรองแห่งจวนโหวไม่น้อย
“โม๋เอ๋อร์ เจ้าหยุดยิ้มสักครึ่งเค่อได้หรือไม่?” หยูเสวี่ยอดมิได้ที่จะเอ่ยเย้าสาวใช้ที่ตนนับเป็นสหายด้วยนิสัยถูกคอถูกใจนางยิ่งนัก
“ข้าจะยิ้มให้กว้างกว่านี้ เพราะข้าชอบเจ้า ข้าชอบแม่เจ้า และข้าก็ชอบที่นี่” โม๋เอ๋อร์เอ่ยเสียงใส เดินหมุนตัวไปมา เพื่อกระโปรงชุดใหม่จะได้พลิ้วสะบัดอย่างเริงร่า
ทำเอาหยูเสวี่ยถึงกับหลุดกิริยาหัวเราะออกมาเสียงดัง
ไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จะสอนมารยาทให้โม๋เอ๋อร์ แต่ก็ไม่ยากเลยสักนิดที่ตนเองจะเสียจริตถึงเพียงนี้ หยู่เสวี่ยได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลดปลง
คุณหนูรองจวนโหวต้องรีบหันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ด้วยเกรงว่าใครจะมาเห็นนางกับโม๋เอ๋อร์ทำกิริยาไม่เหมาะสม
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่ามารดาบังคับขู่เข็ญให้โม๋เอ๋อร์ฝึกฝนทุกสิ่งที่สตรีพึงมีพร้อมๆ กับนาง หากถูกจับได้ว่าทำกิริยาไม่งาม ต้องถูกมารดาบ่นยาวเหยียดแน่ๆ
อันที่จริง หยูเสวี่ยก็ไม่ค่อยจะเข้าใจมารดาเท่าใดนัก ที่บังคับโม๋เอ๋อร์ให้ฝึกมารยาร้อยแปดที่แสนสาหัสสำหรับสตรีตระกูลใหญ่ แต่นางเห็นโม๋เอ๋อร์ไม่เหน็ดเหนื่อยทั้งยังชอบมาก นางก็รู้สึกยินดี นางเองก็ชอบที่มีเพื่อนฝึกฝนเรื่องพวกนั้นเช่นกัน
หนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมา หยูเสวี่ยรู้มาว่าโม๋เอ๋อร์เติบโตมาอย่างไร มารดาตายจากเมื่อแรกคลอด บิดาตรอมใจด่วนจากไปเมื่อเยาว์วัย นางจึงนึกเห็นใจอีกฝ่ายเหลือเกิน นางจึงคิดจะดูแลโม๋เอ๋อร์ตลอดไป ไม่คิดแบ่งแยกชนชั้นอันใดทั้งนั้น
หยูเสวี่ยคิดเช่นนั้น โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าโม๋เอ๋อร์เองก็คิดเช่นเดียวกัน
เด็กสาวจึงเป็นสหายที่รู้ใจกัน และดูแลกันดังพี่น้องมากกว่าเจ้านายกับบ่าวไพร่ ซึ่งโหวฮูหยินก็ไม่เคยว่ากล่าวสิ่งใด กลับเห็นดีเห็นงามตามใจธิดา
“โม๋เอ๋อร์ เจ้าระวังกิริยาหน่อยเถิด หากใครเห็นเข้า เอาไปฟ้องท่านแม่ พวกเรามีหวังถูกคัดบทบัญญัติสตรีร้อยจบแน่ๆ”
หยูเสวี่ยอดห่วงเรื่องนี้มิได้ หลายครั้งเชียวที่นางถูกทำโทษให้คัดหนังสือจนปวดมือไปหมด
โม๋เอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้ายู่ปากยื่น ทุกสิ่งของที่นี่นางชอบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวนี่ล่ะ!
ในขณะที่เด็กสาวทั้งสองพากันปรับเปลี่ยนกิริยาเริงร่าเกินงามให้กลับมาเป็นกิริยาแช่มช้อยงดงาม เสียงหนึ่งพลันดังแหวกอากาศอยู่ตรงเบื้องหลัง
“สตรีชั้นต่ำย่อมมิอาจสูงส่ง แค่บ่าวคนหนึ่งพี่รองต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้เพื่อเหตุใด”
สิ้นเสียงพูด โม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยจึงหันไปได้เห็นดรุณีน้อยนางหนึ่งยืนเชิดหน้าคอตั้งส่งสายตาดูแคลนเข้มข้น
ดรุณีนางนี้คือหยูเจวียน น้องสาวคนที่สามของบ้านโหว เป็นบุตรีของฮูหยินรองคนงามที่บิดารักมาก นางจึงผยองพองขนยิ่งนัก เพราะบิดาเองก็รักนางมากเช่นกัน เป็นฮูหยินใหญ่และบุตรสาวของฮูหยินใหญ่แล้วอย่างไร ในเมื่อน้ำหนักในใจของบิดาล้วนเอนเอียงมาทางนางสองแม่ลูก
น้ำเสียงเย้ยหยันของหยูเจวียนยังคงดังออกมา “เป็นไปได้ว่า พี่รองเองก็กำลังถูกฉุดให้ต่ำลงเช่นกัน”
กล่าวจบก็หัวเราะเสียงเหยียดในลำคอ นางรู้สึกชิงชังพี่สาวของนางเหลือเกิน หากไม่มีวั่นหรงและหยูเสวี่ย นางกับมารดาย่อมครองตำแหน่งใหญ่ที่สุดในเรือน
กับสาวใช้ของหยูเสวี่ยที่เก็บมาจากต่างถิ่น นางก็ไม่ชอบขี้หน้า ทั้งยังชิงชังหนักหนา
สตรีอันใดงามเกินหน้าเกินตาเจ้านาย หึ!
ความคิดเช่นนั้น หยูเสวี่ยมีหรือจะไม่รู้แจ้ง แม้ภายนอกนางดูอ่อนโยนและอ่อนหวาน ทั้งยังอ่อนแอบอบบางยอมทุกคน
หากแต่นางก็ไม่จำเป็นต้องโอนอ่อนตลอดเวลายามอยู่ลับหลังผู้ใหญ่นี่นา
“น้องสามกล่าวออกมาเช่นนี้คงไม่ดีนัก คำพูดไม่ดีไม่ควรมีในสตรีสูงส่ง อ้อ...พี่สาวลืมไป ว่าเจ้าเองก็มิได้สูงส่งสักเท่าใด”
หยูเสวี่ยกล่าวจบก็ยกยิ้มหวานหยดวาดไปถึงดวงตา
แน่นอนว่ามารยาเช่นนี้ล้วนมีในกระแสเลือด เด็กสาวกระทำได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ แม้กระทั่งตนเองยังไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าจักทำได้ ทุกครั้งนางก็มักจะเลือกทำยามอยู่ลับหลังผู้ใหญ่
และคำพูดเช่นนั้นก็ทำเอาน้องสามของบ้านถึงกับเบิกตากว้างกระทืบเท้าขัดใจ “พี่รองช่างปากร้ายนัก ข้าจะฟ้องท่านพ่อ”
หยูเสวี่ยเพียงยกยิ้มเย็นชา “เจ้าจะฟ้องว่าอย่างไรหรือ?”
หยูเจวียนยกนิ้วชี้หน้าโม๋เอ๋อร์ “พี่รองรวมหัวกับสาวใช้ชั้นต่ำเยี่ยงคางคกที่วันๆ เอาแต่ทำตัวเป็นห่านฟ้า รังแกข้า”
จบคำก็ร้องไห้โฮ ในจังหวะที่หางตาเหลือบไปเห็นนายท่านโหวเดินมาพอดิบพอดี
“เกิดสิ่งใด? พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?”
โหวเซินเดินมาเห็นลูกรักถูกรังแกจึงเอ่ยถามทันที เขาตรงมาที่หยูเจวียนทันใด สายตาส่งผ่านความห่วงใยไม่ปิดบัง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาสตรีอันเป็นที่รักมักตกเป็นรอง และลูกรักก็ต้องตกเป็นรองเช่นกัน เขาจับไหล่บอบบางของบุตรสาวตัวน้อยเบาๆ อย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยถามเสียงขรึมเผยคำตำหนิในแววตาชัดเจนมาทางหยูเสวี่ย
“เจ้าทำอันใดน้อง เสวี่ยเอ๋อร์”
นายท่านโหวเป็นชายที่มีจิตใจเอนเอียงจริงอย่างมิต้องสงสัย หยูเสวี่ยย่อมรู้ดีแก่ใจ นางจึงยืนเงียบไปไม่พูดจา เอาแต่ก้มหน้าด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
ส่วนหยูเจวียนได้ทีจึงรีบเงยหน้าหมายจะฟ้องร้องใส่ร้ายอีกฝ่ายให้มากที่สุด
แต่ทว่า สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด
จู่ๆ เด็กสาวก็จุกที่ทรวงอก เจ็บที่ลำคอ ปวดแสบปวดร้อนไปหมด ทำให้ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ อยากฟ้องสิ่งใดก็ได้แต่นิ่งไป ยิ่งกว่านั้นยังยิ้มแย้มออกมาแล้ววิ่งอย่างร่าเริงคล้ายร่ายระบำจากไปเสียอย่างนั้น
“...!?”
โหวเซินถึงกับยืนนิ่งจ้องมองบุตรสาวสุดที่รักด้วยอาการอึ้งงัน ก่อนจะเดินจากไปอย่างฉงน ไม่คิดสืบสาวอันใดอีก ด้วยเห็นว่าเด็กๆ ก็มักจะเป็นเช่นนี้ ซุกซนเข้าใจยาก
หยูเสวี่ยเองก็งุนงงไม่ต่างกัน เด็กสาวไม่รู้นางคิดไปเองหรือไม่ ว่าระยะนี้น้องสาวของนางเปลี่ยนไป ดูไม่ค่อยจะจริงจังในการกลั่นแกล้งนางเหมือนเมื่อก่อน
น่าแปลกยิ่ง!
ท่ามกลางความไม่รู้แจ้งของทุกคน มีเพียงโม๋เอ๋อร์เท่านั้นที่รู้ดีกว่าใคร แต่คำสั่งของบิดายังคงรัดรึงอยู่ในใจ
‘พลังวิเศษใดๆ ล้วนนำภัย จงเก็บงำเอาไว้มิอาจเผย’
นำภัยหรือเปล่านางไม่รู้ แต่แน่นอนว่านางมิอาจเปิดเผย
นางแค่ส่งกระแสปราณพลังจิตชนิดหนึ่งสั่นคลอนประสาทของหยูเจวียนก็เท่านั้น
ทุกครั้งนางก็แค่แอบทำ หึหึ!