นานมาแล้วมีชายหญิงคู่หนึ่งที่เกิดรักกันเหนือสามัญผิดธรรมชาติ
ฝ่ายหญิงเป็นเทพเป็นเซียน หรือเป็นมารเป็นปีศาจก็ไม่อาจทราบ และบางทีอาจจะเป็นมากกว่านั้น หากแต่ฝ่ายชายกลับเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีดีหน้าตางดงามนับเป็นเอกบุรุษ
ทั้งสองรักกันได้อย่างไรก็ไม่แน่ชัด รู้เพียงว่ารักกันมาก และหลบเร้นซ่อนกายคล้ายสายลมไร้ร่องรอยมิอาจค้นพบ
เรื่องราวจบเพียงเท่านั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุดให้ผู้เล่าและผู้ฟังได้เกิดอารมณ์ใคร่รู้อยากฟังหรืออยากเล่าต่อ
เนิ่นนานผ่านไปก็สลายคล้ายม่านหมอกกลางสายลมหนาวที่พัดมาเพียงวูบเดียวเท่านั้น
เพราะคู่รักคู่นี้ ที่เป็นเพียงความฝันอันเลือนราง หนึ่งในเรื่องเล่าขานนับหมื่นพัน กลับไม่อาจครองคู่กันดังใจหมาย
เหตุจากฝ่ายหญิงถูกจับตัวกลับไปยังดินแดนลี้ลับตามกฎสวรรค์บัญญัตินรก ทิ้งไว้เพียงฝ่ายชายให้เลี้ยงดูบุตรสาวจนรู้ความได้เจ็ดปี ก็ต้านพิษแห่งคำนึงคิดถึงภรรยารักจนทนไม่ไหว ตรอมใจตายไปในที่สุด ทิ้งทายาทสาวเหนือสามัญหนึ่งนางเอาไว้กลางป่าใหญ่ให้ใช้ชีวิตเพียงเดียวดาย
ใดๆ ล้วนเหนือคาดฝัน บุตรสาวตัวน้อยผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงโม๋กุ่ยเสิน ในคราบมนุษย์ นามว่า โม๋เอ๋อร์ หรือเฉินโม๋
แซ่เฉินคือแซ่ของบิดา หากแต่เด็กสาวจำต้องปิดบังแซ่ ตามความต้องการของบิดา และนามเรียกขานสั้นๆ ว่าโม๋[1]นี้ แท้จริงเพียงตอกย้ำถึงความรักเหนือธรรมชาติก็เท่านั้น
หลังจากสิ้นบิดา เด็กสาวก็มีชีวิตท่ามกลางสรรพสัตว์ในป่าพนาไพร ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้อยน่ารักหรือสัตว์ใหญ่น่ากลัวนางล้วนชาชิน
ด้วยความเป็นมนุษย์เลือดผสมมีพลังปราณไม่ธรรมดา ความสามารถมิได้ด้อย นางจึงอยู่อย่างไม่ลำบากเลยสักนิด
เพราะเหล่าสัตว์ป่าล้วนเชื่อฟัง สรรพสิ่งเร้นลับล้วนไม่กล้าเหิมเกริมต่อนาง
แต่กระนั้นคำสั่งเสียสำคัญก่อนลาจากของบิดายังติดตรึง
‘พลังวิเศษใดๆ ล้วนนำภัย จงเก็บงำเอาไว้มิอาจเผย’
โม๋เอ๋อร์พึงระลึกเสมอเหมือนยันต์คุ้มภัยมิให้ตนผยอง
ทว่านางกลับไม่เข้าใจเลยสักนิด
แน่นอนว่านางไม่เคยผยองในพลังเร้นลับเหนือสามัญของตนเอง แต่การมิให้นำมาใช้เพื่อความอยู่รอดจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า!
หากเป็นเช่นนี้มิเท่ากับว่า มีปากไม่ให้พูด มีลิ้นมิให้ชิมรส มีตากลับมิให้จ้องมอง มิใช่หรือไร? ทรมานยิ่ง!
เด็กน้อยได้แต่ทำหน้ายู่ยับย่นบ่นงึมงำกับตนเองในใจ ยามลอยตัวพลิ้วไหวท่องเที่ยวอย่างซุกซนไปทั่วผืนป่า กระโดดข้ามเขาลูกหนึ่งโผล่อีกลูกหนึ่ง บางทีก็ดำน้ำหยอกล้อหมู่มัจฉา เหินเวหากลั่นแกล้งมวลวิหคนกเหยี่ยวพญาอินทรีย์
กระทั่งอายุได้เจ็ดหนาว โม๋เอ๋อร์กำลังเดินเล่นกลางป่ารกชัฏที่เต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้าน ที่มีเพียงนางเท่านั้นเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน
อันตรายใดๆ เด็กน้อยล้วนพึงใจ เพราะทำให้นางได้ซุกซนอย่างเต็มที่
ชั่วจังหวะที่เดินบ้างกระโดดบ้างอย่างรื่นเริงมาตามทาง สายตากลมโตเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง นอนจมกองเลือดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เรือนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะน่าเกลียดน่ากลัว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเผยเนื้อหนังที่มีกระดูกสีขาวโผล่ออกมา
ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหล่ แผงอก และเรียวขา ล้วนมีเนื้อขาดวิ่นกระดูกโผล่พ้นน่าสะพรึง โดยเฉพาะใต้ราวนมมีซี่โครงหักออกมาให้เห็นชัดเจน
ทั่วตัวเขามีรอยแผลจากของมีคมและเขี้ยวของสัตว์ร้ายผสมปนเป แลดูอนาถยิ่งนัก
โม๋เอ๋อร์กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ พบว่ารอบกายเขาเต็มไปด้วยฝูงหมาป่ากำลังจ้องเขม็งด้วยสายตาแววแดงนับสิบตัว กำลังแยกเขี้ยวคำรามน้ำลายไหลยืด ปลายเท้าของพวกมันค่อยๆ ย่างกรายเข้าหาชายผู้นั้นช้าๆ
บ่งบอกได้ดีว่า ชายผู้นั้นกำลังจะตกเป็นเหยื่อให้เจ้าพวกหมาป่าได้เขมือบเคี้ยวเล่นในอีกไม่กี่ชั่วอึดใจ
โม๋เอ๋อร์ยืนมองด้วยสายตาเฉียบคม เห็นชายผู้นั้นจ้องมองฝูงหมาป่าด้วยดวงตาอาบโลหิต ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อกรใดๆ
แน่นอนว่าเขายังไม่ตาย แต่ลมหายใจรวยรินเยี่ยงคนใกล้ประตูปรโลกพร้อมเหยียบเข้าปากผีย่อมไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ในยามนี้ ทำให้โม๋เอ๋อร์ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้
แม้จะมีคำสั่งเสียของบิดารัดรึง แต่เด็กน้อยไม่ชอบการฆ่าฟันหรือสังหารใคร และความตายเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด นางไม่อาจปล่อยให้ชายผู้นี้ตายต่อหน้า ถึงจะมิรู้ได้ว่าเขาเป็นบุตรใคร แต่หากเขาตายไปบิดามารดาคงเสียใจแย่
โม๋เอ๋อร์จึงปล่อยพลังปราณกระแสเย็นสายหนึ่งออกมา พลางสืบเท้าเข้าหาฝูงหมาป่าตัวใหญ่ช้าๆ ใช้สายตาคู่งามปรามสัตว์ร้ายตามวิสัย
กลิ่นอายแห่งมัจจุราชของผืนป่าแผ่กำจายจากร่างเล็กไปทั่วบริเวณ ทั้งกดดันทั้งน่ากลัว ไม่มีสัตว์ป่าใดสักตัวกล้าต่อกร
ร่างระหงบอบบางในชุดคลุมขนจิ้งจอกเงินแบบทั้งตัว ค่อยๆ เดินเข้ามาทางหนุ่มน้อยโชกเลือด เหล่าหมาป่าทมิฬล้วนหลบทาง เหลือตรงกลางให้แน่งน้อยได้สืบเท้า
พวกมันพากันเก็บเขี้ยวแหลมคมเอาไว้ในปากยาวยื่น เหลือเพียงลิ้นเปียกชุ่มน้ำลายที่ไหลเป็นทาง แล้วพากันแหงนหน้าเห่าหอนโหยหวนชวนผวา
แม้มิใช่ยามราตรีอันมืดมิดแต่ทุกชีวิตท่ามกลางป่ารกทึบกลับตกอยู่ในความมืดสลัวหนาวเหน็บ โม๋เอ๋อร์ในอาภรณ์ล้ำค่าที่มิได้ใช้เงินซื้อหากำลังเยื้องกรายเข้าใกล้ชายปริศนา ด้วยกิริยาเย็นเยียบสยบสัตว์ร้ายอยู่หมัด เมื่อเดินมาถึงร่างโชกเลือดใต้ต้นไม้ เด็กน้อยก็ยอบกายลงแล้วก้มมองเด็กหนุ่มด้วยท่าทางซุกซนน่ารัก
แววตาคมที่แสนจะอ่อนแรงของเขาพลันสะท้อนเงาใบหน้าเรียวเล็กใสซื่อดวงตากลมโตอยู่ในนั้น
โม๋เอ๋อร์ยกยิ้มพริ้มเพรา นัยน์ตาสีดำขลับพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตเจิดจรัสงดงาม เส้นผมเรียบลื่นสีดำสนิทที่ปล่อยสยายเคลียไหล่มน ค่อยๆ เปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายมีแสงทองเรืองรองโอบล้อม
เด็กสาวเอื้อมมือขึ้นมาแตะเบาๆ ที่ไหล่เขา ส่งผลให้ชายผู้นั้นหอบหายใจแรงเฮือกหนึ่ง หนังตาพลันหนักอึ้งแล้วค่อยๆ ปิดลงก่อนจะหลับไปอย่างช้าๆ
เมื่ออีกฝ่ายสิ้นสติ เด็กน้อยจึงปล่อยพลังปรานสายหนึ่งห่อหุ้มร่างบอบช้ำชุ่มเลือด หมายบรรเทาอาการบาดเจ็บเจียนตายของเขา
เพียงชั่วก้านธูป อวัยวะภายในที่บอบช้ำจนมีลิ่มเลือดเกาะแน่นปิดกั้นเลือดลมจนติดขัด ก็ค่อยๆ คลายตัวสลายออกไป ยังผลลมหายใจเจ้าของร่างกลับมาเป็นปกติ กระดูกที่หักงอผิดรูปทรงก็ค่อยๆ คืนรูปหดกลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิม เนื้อเว้าแหว่งไปก็ค่อยถือกำเนิดใหม่ กลายเป็นแผลเป็นขรุขระเท่านั้น
แม้ผิวพรรณอาจจะไม่ราบเรียบงดงามดังเดิม แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งเอาไว้แล้วกลายเป็นอักเสบติดเชื้อเกิดเน่าเฟะมีหนอนชอนไช
โม๋เอ๋อร์ใช้พลังที่มีช่วยเขาได้เพียงเท่านี้ ด้วยเพราะยังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่ประสา พลังอันใดยังไม่มากพอทั้งสิ้น
แต่แค่นี้ชายตรงหน้าก็ไม่ต้องตายแล้ว
เขาเหลือเพียงคราบเลือดและความอ่อนเพลียก็เท่านั้น
เด็กน้อยถอดเอาสร้อยเถาวัลย์เหนียวที่ผูกเขี้ยวราชสีห์จากคอตนมาแขวนให้เขา แล้วจากไปไม่หวนคืน
นางไม่จำเป็นต้องรอให้เขาตื่น แล้วนำส่งออกนอกป่า เพราะเขี้ยวราชสีห์ที่ห้อยคอเขาก็เพียงพอแล้วสำหรับการคุ้มภัย ส่วนเขี้ยวใหม่นางหาเอาเมื่อใดก็ย่อมได้
นางเดินทางต่อด้วยความอิ่มเอมใจที่ได้ทำดี แต่ทว่ากลับเศร้าใจเมื่อนึกถึงบิดา ถ้าตอนนั้นนางใช้พลังรักษาบิดาของนางได้คงดี แต่บิดานางกล่าวว่า โรคทางใจต้องรักษาด้วยใจ ส่วนพลังของนางรักษาได้เพียงทางกายภายนอกก็เท่านั้น
เด็กน้อยได้ฟังก็ไม่เข้าใจอันใดทั้งสิ้น
โรคทางใจอันใดกันหนอที่ทำให้บิดาร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่ทุกค่ำเช้า...
----[1] *****มายากลหรือเวทมนตร์