เรือน้อยลอยละล่องกลางคลื่นลมย่างเข้าวันที่สาม…..
ภายในเรือน้อยไร้ภาระน้อยใหญ่ให้กระทำ นอกจากฝึกปรือลมปราณ ร่วมรับทานอาหารแล้ว คนทั้งสี่ต่างผลัดเปลี่ยนกันเล่าเรื่องราวของตนที่ผ่านมา
เรื่องของฉางยิ่นคละคลุ้งไปด้วยเรื่องราวเผ็ดร้อนดุดัน แลกเลือดกับโลหะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนฉายาหมูป่าเขี้ยวโลหิตตั้งได้สมเหตุสมผลนัก
ยิ่งเมื่อมีสุรารื่นไหลลงคอ วีรกรรมมันยิ่งผาดโผนคึกคะนอง ดั่งงิ้วแสดงมีกลองม้าล้อเร่งออกศึก
“ ลูกผู้ชายพึ่งมีชื่อ ดื่มสุราพึ่งเมามาย คำพูดหลังเมามาย ล้วนเป็นคำจากใจจริง ” ฉางยิ่นกู้ร้องก้องขณะร่ำน้ำอำพันจนได้ที่
แล้วอดีตที่ต้องเผชิญกับศัตรูสุดเข็มแข็งจึงพรั่งพรูออกจากปาก มันเล่าถึงจ้าวจักรกาลที่บุกขึ้นเขาเพียงลำพัง ไม่ถึงชั่วยามเหล่าศิษย์แห่งพรรคแปดขุนเขากว่าสองร้อยชีวิต ล้วนถูกมันสยบบาดเจ็บล้มตายกันเกลื่อนกลาด ครั้งนั้นมันเป็นผู้คุมกฏแห่งพรรค ออกไปทำภาระกิจผดุงธรรม แต่เมื่อกลับถึงพรรคพบเพียงหายนะย่อยยับ ยังดีที่หัวหน้าพรรคมันยังดำรงค์อยู่ไม่ตายจาก จึงฝากฝังให้มันชำระแค้นผู้ล้างพรรค ฉางยิ่นคลั่งแค้นสุดกำลัง ออกตะบึงวิ่งตามล่ามันไม่ลดละ จนผ่านไปสองวันจึงได้พบจ้าวจักรกาล ณ หนองน้ำข้างทาง
มันไม่ถามไถ่มากความ เร่งออกหมัดทลายภูผาจู่โจม จ้าวจักรกาลไม่เลี่ยงหลบสักครึ่งก้าว มันยืนนิ่งให้ฉางยิ่นชกต่อยสามหมัดซ้อน ทว่าพลังหมัดนั้นกลับสูญหายไร้ผล จ้าวจักรกาลยังคงยืนสง่าไม่ไหวติง ฉางยิ่นทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดหวั่นถึงกระนั้นก็ยังทุ่มเทพลังปราณต่อยซ้ำ ทว่าครานี้จ้าวจักรกาลกลับสะบัดมือคว้าจับข้อมือมันไว้มั่น สูญสลายพลังโจมตีของมันจนสิ้น หน่ำซ้ำฉางยิ่นยังรู้สึกคล้ายมีพลังอบอุ่นแทรกผ่านเข้าร่างจากฝ่ามือ เพียงพริบตาหมูป่าเขี้ยวโลหิตพลันสิ้นฤทธิ์ หมดสติสมประดี…
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนอยู่ในกองคาราวานของอมิตาร์ อยู่ห่างจากวันที่เจอจ้าวจักรกาลถึงแปดเดือน….
“ โห้…ซีซ่าร์ หลง ทำให้พี่ไม่มีสติรู้ตัวเจ็ด-แปดเดือนเลยเหรอ ? ” พัคนารินเอ่ยถามทันทีที่ฟังมันเล่าถึงความพิศวงในขีวิต
ฉางยิ่นได้แต่เล่าด้วยความข่มขื่น พลางจับหน้าอกที่มีจักรกาลฝังตรึง
มันกล่าวด้วยความคลั่งแค้น ว่าถ้าไม่ใช่เพราะอมิตาร์มันคงเลื่อนลอยไร้สติไปทั้งชีวิต โดยไม่แน่ชัดเพราะจักรกาลที่หลังมือนางรึเปล่าที่ช่วยให้มันฟื้นคืนสติมาได้ แต่ที่รู้แน่ชัดคือมันติดตามอมิตาร์เที่ยวเสาะหาจ้าวจักรกาลไปทุกสารทิศ จวบจนได้ร่วมลงเรือมหาสมบัติเดินทางเป็นแรมปีจึงได้พบร่องรอยเมื่อไม่ช้านาน…
แล้วเรื่องราวก็มาบรรจบตรงที่คนทั้งสี่ได้ร่วมลงเรือลำเดียวกัน….
แม้อดีตของฉางยิ่นจะน่าระทึกเร้าใจ แต่ทุกคนยิ่งตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเมื่อพัคนารินเล่าเรื่องในอนาคต ที่ฟังแล้วเคลิบเคลิ้มราวละเมออยู่ในฝัน
สิ่งละอันพันละน้อยที่หญิงสาวบรรยาย ช่างพิสดารแปลกประหลาดเกินกว่าคนทั้งสามจะเข้าถึง….
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินที่นำคนเดินทางไปในฟากฟ้าดั่งเทวดาเหินลอย ไหนจะเป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถพูดคุยกันข้ามเมืองข้ามประเทศ ซ้ำยังสามารถเห็นใบหน้าค่าตาราวคุยอยู่ต่อหน้ากัน
และที่ทำเอาทุกคนตื่นตะลึงตาค้าง เมื่อนางเล่าถึงศูนย์วิจัยกลางทะเลอันดามัน ที่ซึ่งจักรกาลได้ถือกำเนิดขึ้นมา นางเล่าถึงการข้ามเวลามาหลายร้อยปีเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ที่คลุมเคลือ รวมถึงความทะเยอทะยานที่จะใช้พลังงานระดับควอนตัมผสานเข้ากับพลังงานจักระในร่างกาย ทำให้มนุษย์สามารถเป็นผู้ควบคุมเวลา หลุดพ้นจากการเป็นทาสของเวลามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
“ คนในยุคเจ้าเป็นยักษ์เป็นมารไปหมดแล้วหรือไร ใยคิดแต่เรื่องทำลายธรรมขาติ ” อมิตาร์กล่าวเรียบๆ หากสกิดให้พัคนารินรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ
คล้ายกับนางกลายร่างเป็นนักวิทยาศาสตร์บ้าคลั่ง ที่กำลังจะทำลายโลกลงกับมือ
ไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ เรือน้อยพลันโยกคอนรุนแรง จนทุกคนต่างยึดเกาะกาบเรือไว้แน่น
ส่วนหลิวหงเหินรีบเข้าใกล้ ประคองพัคนารินไม่ให้เสถลาไปกับแรงเหวี่ยงของเรือ
“ น้องสาวไม่เป็นไรใช่มั้ย ? ” หลิวหงเหินกล่าวด้วยความห่วงใย พลางยึดลำเรือไว้มั่น
“ รู้สึกดีมากกว่าพี่ชาย ” ใบหน้านางแดงกร่ำด้วยเลือดฝาดฉีดซ่านขณะตอบคำ
“ ดีอย่างนั้นรึ เรือโอนเอนอย่างนี้จะดีเช่นไร ”
“ ต้องดีซิ…ก็พี่ชายเรียกหนูว่าน้องสาวนิ ไม่ได้เรียกแม่นางแล้ว ”
ชายหนุ่มหัวร่อเบิกบาน พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ อ้อ…ถ้าเจ้าขอบ เช่นนั้นข้าเรียกบ่อยๆดีหรือไม่…น้องสาว น้องสาว น้องสาว ”
ฮิ ฮิ ฮิ. พัคนารินหัวเราะขวยเขินในอ้อมอกมัน
“ ถ้าเจ้าเรียกกันจนพอใจแล้ว มาข่วยข้าจับพายประคองเรือสักหน่อย ดีหรือไม่พี่ชาย ” ฉางยิ่นทำเสียงล้อเลียน โดยสองมือกำพายจ้วงน้ำคอยถ่วงดุลเรือไม่ให้เสส่าย
“ อ้อ…อ้อ…มาแล้วๆ ” หลิวหงเหินกล่าวเคอะเขินพร้อมกับโจนร่างคว้าไม้พาย นำมาประคับประคองเรืออีกแรง
ส่วนอมิตาร์ใช้มือหนึ่งโอบอุ้มกระต่ายน้อย อีกมือโอบไหล่ประคองพัคนารินไว้
“ ไอ้เรือบ้าพวกนี้จะรีบเร่งไปไหนกัน ? ” ฉางยิ่นตะโกนด่าเรือสำเภาใหญ่สามลำที่แล่นขับเขี้ยวกันมา
การกางใบสำเภารับลมเต็มที่ ทำให้เรือทั้งสามแล่นรวดเร็ว จนเกิดคลื่นน้ำเป็นระลอกใหญ่ สาดสัดให้เรือพายลำน้อยโยกไหวจวนเจียนจะล้มคว่ำ
ตราบจนเรือทั้งสามแล่นเลยไป เรือพายจึงกลับสู่ความสงบนิ่งดั่งเดิม
“ ดูท่าเกาะทิพย์โอสถจะคึกคักไม่ใช่น้อย เรือทั้งสามนั้นต่างมุ่งทิศทางไปยังจุดหมายเดียวกับเราแน่ ” หลิวหงเหินทอดตายาวไกลตามสำเภาที่ยังแล่นไม่หยุดยั้ง
“ ช่ะ ช่า…ไอ้พวกนี้คิดจะไปหาเซียนโอสถก่อนเรางั้นรึ ! ” ฉางยิ่นคว้าพายนั่งลงจ้วงพายขมีขมัน คิดชิงชัยกับเรือสำเภา
“ เจ้ายังไม่รีบลงมาข่วยเราพายอีกรึ เจ้าปีศาจสุรา ” มันตะโกนสั่งหลิวหงเหินซ้ำ
“ อ้อ…แข่งขันพายเรือ !เป็นภาระที่น่าเล่นนัก ”
หลิวหงเหินกล่าวแย้มยิ้ม พลางนั่งลงจ้วงพายสบายอารมณ์….
………………
แสงอัสดงจับขอบฟ้า เมื่อเรือน้อยลอยละล่องมาถึงยังเกาะอันเลื่องลือนาม
เกาะทิพย์โอสถที่เล่าขานในยุทธภพ มีภาพลักษณ์ดั่งแดนสุขาวดี ขอเพียงมาเยี่ยมแยือนย่อมปราศจากโรคภัยใดเข้ากร่ำกราย
ชื่อเสียงของยาวิเศษบนเกาะ กระเดื่องดังพอๆกับนิสัยแปลกประหลาดของจ้าวเกาะ ชนชาวยุทธล้วนล่วงรู้ว่าผู้อาวุโสเซียนโอสถมีเงื่อนไขรักษาคนอันผิดแปลกจากหมอทั่วไป ใช่ว่าทุกคนจะได้รักษาเยี่ยวยา จนฉายามารโอสถมักถูกเอ่ยเรียกผู้เฒ่าลับหลังเสมอมา
การได้เห็นเรือสำเภาห้า-หกลำเรียงรายอยู่หน้าเกาะ จึงเป็นเรื่องผิดแปลกจากที่คาดคิดไปไกล
“ ท่าทางบนเกาะจะมีงานมงคลเป็นแน่ แขกเรื่อจึงมาร่วมอวยพรกันไม่น้อย ” หลิวหงเหินกล่าวทีเล่นทีจริง ขณะเรือพายลำน้อยลอยไหลมาถึงยังริมฝั่ง
“ ข้าว่าเป็นงานอัปมงคลมากว่า เจ้าดูนั้น ปีศาจสุรา ” ฉางยิ่นชี้นิ้วไปยังริมหาดทราย ชี้ชวนให้ดูกลุ่มชายฉกรรจ์ที่วิ่งดาหน้ามา
พวกมันมีสิบกว่าคน ต่างถือดาบกุมขวานกันครบมือ
“ เจ้าเป็นใคร ? สังกัดสำนักใด ? มีสาเหตุใดจึงมาเกาะทิพย์โอสถ ? ” ชายผู้ตะโกนร้องถาม มีโครงเคล้าใบหน้าสี่เหลี่ยม ผิวดำแดง มีหนวดเคราครึ้มหนา ยังดูดุดันกว่าฉางยิ่นเสียอีก
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ชนชั้นมุกสิก เจอบิดายังไม่รีบคุกเข่าคารวะ กลับมาซักไซ้น่ารำคาญนัก ”
เสียงกัมปนาทของฉางยิ่นแฝงพลังลมปราณแกร่งกร้าว จนผิวน้ำทะเลสั่นกระเพื่อมเป็นระลอก ผิวทรายริมหาดไหวระริก
แต่เหล่าชายฉกรรจ์หาได้หวาดหวั่นกับพลังปราณมันแม้แต่น้อย พวกมันต่างตั้งท่าขวางดาบ เงื้องำขวาน เตรียมโรมรันยุทธทุกเมื่อ
“ แรกมาเยือนก็หาเรื่องต่อยตี พวกเจ้าคงไม่ได้มาด้วยกุศลจิตเสียแล้ว ” ชายหน้าเหี้ยมคนเดิมตวาดกร้าว มือจับดาบวาดเป็นวง เหมือนเชิญชวนให้ฉางยิ่นเข้าสู่วงศาสตรา
ก่อนฉางยิ่นจะพรุ่นพร่านออกอาระวาด หลิวหงเหินพลันเข้าไปประกบร่างชายอ้วน มือตบไหล่มันแผ่วเบา พลางกล่าวเรียกสติ
“ นี่เจ้ามาหายูบยารักษา หรือจะมาออกศึกกันแน่ ? ”
ฉางยิ่นหันมาทำตาขวางใส่มัน แล้วเลี่ยงไปมองอมิตาร์ทึ่กำลังยกยิ้มบางๆให้
รอยยิ้มนั้นส่งพลังให้ฉางยิ่นคึดคักขึ้นอักโข มันพลันตวาดก้องราวฟ้าคำราม
“ แน่นอนว่าต้องมาหาหมอวิเศษ แต่ต้องหลังออกศึกให้สมใจก่อน ” เพียงสิ้นเสียงร่างอ้วนใหญ่พลันกระโดดลอยขึ้นจากเรือ โลดแล่นไปไกลกว่าสิบเชียะ จนร่างมันล่อนลงยังกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ค่อยท่า
พอเท้าแตะพื้น หมัดทลายภูผาพลันปลดปล่อยพลังทำลายล้างออกเป็นสาย ชกซ้ายต่อยขวา ตวัดเตะผู้คนที่ดาหน้าเข้ามา ราวกับเจอคู่แค้นที่โกรธเคืองมาเป็นร้อยปี
ฉางยิ่นดุเดือดบ้าคลั่ง หัวร่อร่าอย่างสะใจที่ได้ระบายพลังออก หลังนั่งหงอยเหงามาหลายวัน
แตกต่างจากผู้คนบนเรือน้อย ทึ่เหม่อมองท่วงท่าบ้าพลังอย่างงงงัน หลิวหงเหินได้แต่ทอดถอนใจ ส่ายหัวจนปัญญาขณะเหลียวมองอมิตาร์ที่ไม่รู้สึกรู้สา กับพฤติกรรมของสหายร่วมทาง
“ นี่ท่านไม่คิดจะห้ามปรามมันเลยรึ ” หลิวหงเหินเอ่ยถามขึ้น
“ เหตุใดต้องห้ามปรามด้วย ? ”
“ อ้าว…นี่เรามาขอความข่วยเหลือนะ ไม่ได้มาก่อวิวาทสร้างศัตรู ”
ฮิ ฮิ ฮิ …อมิตาร์หัวเราะเสียงหวาน จนคนฟังแทบหลงลืมความโกรธเคืองไปสิ้น
“ บัณฑิตหลิว ท่านคงเดินทางห่างดินแดนบ้านเกิดนานไปแล้ว ถึงได้หลงลืมทำเนียมชาวยุทธไปสิ้น ” นางกล่าวพร้อมแหงนมองเรือสำเภาลำใหญ่สามลำ ที่ทอดสมออยู่ริมหาด
หลิวหงเหินมองเรือทั้งสาม พร้อมกับครุ่นคิดตามความนัยของอมิตาร์ ….บนหัวเรือทั้งสาม มีเสายาวปักธงทิวเขียนนชื่อสำนักมาตรฐานในยุทธภพ ให้เห็นกระจะตาแต่ไกล
ธงจากเรือลำแรกเขียนว่า' คงท้ง ‘ ลำที่สองมีหมึกสีแดงบนธงเขียนว่า ’ เตี๊ยมชัง ‘ และธงสุดท้ายเขียนว่า ’ ไท้ซาน '
“ สามสำนักใหญ่มาชุมนุมกันพร้มเพรียงเข่นนี้ ถ้าไม่ใช้มาแลกเปลี่ยนวิชา ก็เป็นไปได้ว่ายุทธภพเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว ” หลิวหงเหินบ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเบือนสายตามองคนบนฝั่ง ที่กำลังวาดลวดลายในเชิงยุทธ
…พวกนั้นไม่ใช่คนของสามสำนักใหญ่…ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองในใจ
“ กลุ่มคนเล่านั้นเป็นพวกพรรคเล็กพรรคน้อย ที่มีเขตค้าขายตามท่าเทียบเรือ” อมิตาร์กล่าวให้ความกระจ่าง
“ มีสี่คนมาจากพรรคฉลามเงิน อีกห้าคนเป็นพวกพรรคร้อยอาชา ส่วนที่เหลืออีกสี่คนคือพรรคดาบนิลกาฬจากนอกด่าน ” นางสาธยายถึงคนทั้งสิบสามออกมาอย่างรวบรัดชัดเจน
ทำให้หลิวหงเหินเข้าใจในบัดดล มีเหตุร้ายเกิดขึ้นในยุทธภพจริงๆ และต้องเป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดของผู้คน อาจเป็นการวางยาพิษหรือถูกอาวุธประหลาด ทำให้สำนักใหญ่พรรคน้อยต่างมาขอความช่วยเหลือจากเซียนโอสถ
พวกพรรคเล็กเหล่านี้คงถูกผลักไสให้มาอยู่ริมชายหาด เมื่อเจอสามสำนักใหญ่ย่างเข้าเกาะ…
“ แต่ทำไมฉางยิ่นถึงจงใจต่อยตีกับพวกมัน …หรือว่า ?….” ไม่ทันที่หลิวหงเหินจะกล่าวจบ กลับถูกขัดจังหวะด้วยท่าทีของอมิตาร์ ที่หันไปกล่าวกับพัคนาริน
“ น้องสาว เจ้าต้องการหาน้ำสะอาดชำระล้างร่างกายหรือไม่ ”
“ โห้…ต้องการที่สุดในโลกเลยพี่ ตัวหนูเหม็นยิ่งกว่ากิมจิหมักเป็นร้อยปีแล้วมั่ง " พัคนารินตอบรับกระตือรือล้น สองมือคว้าเกาะแขนอมิตาร์อย่างสนิทสนม
“ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถิด ” อมิตาร์คว้ากระต่ายยื่นส่งให้พัคนาริน มือหนึ่งถือห่อเสื้อผ้าอีกมือคว้าเกาะเอวบางของพัคนารินไว้ เตรียมโจนออกนอกเรือ
“ อ้าว !.. แล้วพี่ชายล่ะ ? ” พัคนารินหันมามองหลิวหงเหินด้วยความห่วงใย
“ ไม่ต้องห่วงหรอกน้องสาว มันต้องจัดผูกเรือให้เรียบร้อย แล้วก็จะตามไปสมทบกับเราเอง ”
อมิตาร์กล่าวรวบรัด ก่อนจะกอดพัคนารินพานางลอยละล่องออกจากเรือน้อย ทะยานไปดั่งสายลมสีเหลืองพัดโฉบผ่านโขดหิน แล้วใช้เท้าส่งแรงดีดกับเชิงหินพุ่งละลิ่วหายลับไปในแนวป่า ที่อยู่ถัดไปจากหาดทราย
“ ผู้หญิง นะ ผู้หญิง ” หลิวหงเหินได้แต่รำพึงรำพันกับตนเอง ขณะพายเรือเข้าไปจอดริมท่าน้ำ
“ มัวพิรีพิไรอันใดอยู่เจ้าปีศาจสุรา มาข่วยข้าสอบปากคำพวกมันทางนี้เป็นไร ” เสียงกัมปนาทของฉางยิ่น เรียกมันมาแต่ไกล ตั้งแต่หลิวหงเหินยังผูกเรือไม่เสร็จด้วยซ้ำ
พอหลิวหงเหินเดินไปถึงที่เคยเป็นลานประลองยุทธ จึงได้พบกลุ่มชายฉกรรจ์นอนหมอบราบกับพื้นโดยสิ้น มีทั้งหมดสติสลบนิ่ง และบางคนนอนร้องโอดครวญสุดเจ็บปวด โดยมีรอยฟกช้ำตามตัวกันทั่วหน้า
ส่วนฉางยิ่นนั่งทับอยู่บนตัวชายเคราดกที่กำลังดิ้นทุรณทุราย โดยมืออ้วนใหญ่ของฉางยิ่นกุมแขนชายเคราหนาหักพับไปด้านหลัง
“ ท่านล้อเล่นอันใด ฉางยิ่น เมื่อรู้ผลแพ้ขนะแล้วก็ปล่อยพวกมันไปเถิด จะจับกุมมันไว้ทำไม ? " หลิวหงเหินเอ่ยทันทีที่มาถึง
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า. เจ้านี่เสียแรงสอบได้เป็นถ้ำฮวย ช่างไม่รู้พิชัยสงครามบ้างเลย …รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ”
ถึงครานี้หลิวหงเหินเข้าใจกระจ่างชัดแล้ว ที่ฉางยิ่นจงใจหาเรื่องต่อยตี เพราะต้องการคร่ากุมตัวคน หาความเป็นไปภายในเกาะ
“ ท่านปล่อยมันก่อนเถิดพี่ฉางยิ่น บนเกาะเวิ้งว้างกลางทะเลแบบนี้ มันไม่อาจบินหนีท่านไปได้หรอก ” หลิวหงเหินกล่าวพร้อมกับช่วยพยุงขายเคราดกขึ้นจากพื้น ซึ่งฉางยิ่นยินยอมปล่อยแขนมันแต่โดยดี
“ พี่ชายท่านนี้ไม่เป็นไรใช่มั้ย ”
“ ขอบคุณคุณชายที่ห่วงใย ผู้น้อยด้อนฝีมือ สมควรโดนสั่งสอนแล้ว ” ชายเคราหนากล่าวเสียงเครือ มือยังกุมไหล่ซ้ายด้วยความเจ็บปวด
“ แพ้ชนะเป็นเรื่องเลื่อนลอย ใยยึดถือให้หนักใจไป หากยังมีลมหายใจ ไม่นับว่าชนะมัจจุราชอันมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าหรือ ”
ชายเคราหนารู้สึกประหลาดใจนัก ชนชาวยุทธล้วนแต่ถือดี มุ่งชิงชัย ใยมีบุคคลประเภทนี้อยู่
“ พวกเรามาจากแดนไกล ไม่รู้เรื่องราวความเป็นมา หากมีเรื่องเข้าใจผิดต้องขออภัยแล้ว ” หลิวหงเหินกล่าวพร้อมประสานมือคารวะ
ทำเอาชายเคราหนางงงันวูบใหญ่
“ พี่ชายท่านนี้ ถ้าจะอนุเคราะห์บอกเล่าความเป็นไปในยุทธภพ ว่าเหตุใดชาวยุทธมากมายจึงมาร่วมชุมนุมกันยังสถานทีนี้ ย่อมเปิดหูเปิดตาให้ข้าพเจ้ามากนัก ”
“ มิกล้ารับการคารวะจากท่านแล้ว ” มันรั้งมือประคองรับฝ่ามือหลิวหงเหิน ไม่ให้ประสานมือคารวะอีก
“ ผู้น้อยนามถังหมิ่น เป็นรองหัวหน้าพรรคฉลามเงิน ที่เร่งรุดมายังเกาะทิพย์โอสถ เพราะเกิดเภทภัยต่อหัวหน้าพรรคเรา เหตุที่จู่ๆหัวหน้าพรรคบังเกิดอาการหลงลืมทุกสิ่ง นั่งเหม่อลอยราวคนไร้สติสมประดี ”
หลิวหงเหินสบตากับฉางยิ่นโดยพลัน รู้สึกเค้ารางหายนะของจ้าวจักรกาลจะขยายใหญ่ไปในยุทธภพแล้ว
“ คาดไม่ถึงว่า แม้แต่เจ้าสำนักใหญ่หลายแห่ง ก็กลายเป็นคนไร้สติเฉกเช่นหัวหน้าพรรคเรา บัดนี้ยุทธภพปั่นป่วนกว่าครั้งใดๆที่ผ่านมานัก " ชายเคราหนากล่าวเสียงเครือ ก้มหน้าก้มตาที่ปูดบวมมองดูพื้น ดั่งคนสิ้นหนทาง
“ เหล่าชาวยุทธจึงเห็นตรงกันว่ามีเพียงเซียนโอสถจึงเยียวยาได้ เป็นเหตุให้ผู้คนล้วนรอนแรมมายังเกาะโอสถกันเนื่องแน่นนัก…..แต่คิดมิถึง คิดมิถึง…” มันอ้ำอึ้ง งึมงำในลำคอ
“ คิดมิถึงอันใด รีบกล่าวโดยไว ช่างอึดอัดน่ารำคาญนัก ” ฉางยิ่นกระโดดผาง ยื่นมือเท้าสะเอวอันอ้วนพอง ดวงตาถมึงทึงราวยักษ์อ้วนยากฉีกเนื้อ แยกร่างคนเต็มแก่
“ คิดมิถึง ว่าภายในเกาะจะมีเภทภัยมากกว่าในยุทธภพนัก เพราะยอดฝีมือในตำนานได้ปรากฏขึ้นมาลอบไล่สังหารผู้คน จนชาวยุทธต้องหลบเลี่ยงหนีเอาชีวิตรอด….ไม่อาจเข้าไปพบเซียนโอสถได้สักคน ”
“ เหลวไหล บัดซบ….! มันเป็นผู้ใดกัน ” ฉางยิ่นตวาดลั่น พลันเงื่อมือกุมคอมันไว้มั่น
ชายเคราดกได้แต่กล่าวระรำระลักไม่เต็มเสียง
" มัน มัน…คือเทพอสรพิษ….ผู้กระเดื่องดังเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ”…