"หนูชื่อ ‘ พัค นาริน’ ดูหน้าก็รู้ใช่มั้ยว่าหนูนะเป็นสาวเกาหลีตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นอย่างนี้เถอะ หนูเป็นนักศึกษาป.โทสาขาฟิกสิกส์เลยนะ ”
หญิงสาวลึกกลับกล่าวเจื่อยแจ่ว ขณะถูกหิ้วปีกพยุงขึ้นสู่ชั้นบนเรือทีละชั้นๆ
“ เมื่อปลายปีก่อนหนูถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมงานวิจัย ของศาสตราจารย์สุดอัจริยะ ที่มีรางวัลโนเบลอยู่แค่เอื้อมนี่เอง …เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับไทม์แมชชีนเลยนะ ต่อให้ทำฟรีหนูก็เอา…” นางขยับเชื่องช้าแต่พร่างพรมคำพูดรวดเร็วเป็นปรอด
“ แต่จะเรียกไทม์แมชชีนก็ดูจะคลาดเคลื่อนไปนิดนะ เพราะเอช จี เวลส์ คนที่ตั้งชื่อนี้ จำกัดว่าเป็นยานพาหนะท่องเวลา แต่ที่เราวิจัยกันเป็นเครื่องจักรพลังงานควอนตัมที่มีขนาดเล็ก หน่ำซ้ำยังต้องเชื่อมกับเซลล์ของมนุษย์ในระดับโมเลกุล เป็นการเขื่อมโยงตามแบบจักระที่นักบวชฮินดูว่างจุดกำหนดสมาธิ …หนูชอบที่พี่อ้วนเรียกนะ ‘ จักรกาล ’ ฟังเท่ห์ดีนะพี่ชาย ” นางหันมายักคิ้ว ยิ้มให้คล้ายคุยกับสหายสนิทก็ไม่ปาน
“ ขอข้ารวบรัดตามที่เข้าใจได้หรือไม่ ” หลิวหงเหินกล่าวแย้มยิ้ม เมื่อรู้สึกว่าตนฟังนางรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง
“ อืม….” พัคนารินพยักหน้ารับ
“ พวกเจ้าเป็นนักประดิษฐ์ ทึ่ร่วมกันสร้างเครื่องจักรให้ฝังตรึงกับร่างกายคน ตามตำแหน่งจักระของพวกฮินดู พวกเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าจักรกาล แล้วจักรกาลคือเครื่งมือที่สามารถบิดเบือนเวลา ให้วิปริตไปจากธรรมชาติใช้หรือไม่ ”
“ โฮ้. พี่ชาย !.. สมัยเรียนย่อความพี่ต้องได้คะแนนเต็มแน่เลย อธิบายเป็นภาษาบ้านๆได้เคลียร์โคตร ” นางยิ้มร่าเริงราวเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่
หลิวหงเหินได้แต่ส่ายหัวน้อยๆ เมื่อมาเจอคนที่ไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนยิ่งไปกว่ามัน
“ การที่เจ้ามาที่นี่เพื่อตามจักรกาลของพวกเจ้ากลับคืนไปใช่หรือไม่ " ชายหนุ่มกล่าวทั้งที่สายตามองไปข้างหน้า เมื่อรับรู้ว่าดาดฟ้าเรืออยู่เบื้องหน้าอีกไม่ไกล
“ ถูกแค่ครึ่งเดียวนะพี่ชาย เพราะนอกจากต้องเอาจักรกาลทั้ง12ชิ้นกลับแล้ว ยังต้องตามตัวศาสตราจารย์กลับไปด้วย ไม่อย่างนั้น ….. ” นางชะงักคำกลางครัน ด้วยเห็นใบหน้าหลิวหงเหินหันมามองด้วยสีหน้าขึงขัง
“ เจ้าว่าอะไรนะ ! สิบสองชิ้นอย่างนั้นรึ ? ” ชายหนุ่มกล่าวหวาดๆ เพราะเพียงจักรกาลหนึ่งเดียวที่เจอ ยังอยากรับมือ
“ จะดุหนูทำไมเนี้ย !….หนูไม่ได้เป็นต้นไอเดียนะ เป็นแค่ผู้ช่วย….เข้าใจ๋ ! ” นางกล่าวฉอดๆ ขณะเหลือบมองข้อมือ ที่บัดนี้กำลังเรืองแสงสีฟ้าระเรื่อ
พอเงยหน้าขึ้นถึงได้รู้ว่าทั้งคู่กำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ที่เห็นเบื้องหน้าไม่ไกลคือเรืออัญมณีซึ่งกำลังโกลาหล ด้วยผู้คนต่างเร่งรีบดับไฟ ส่วนเบื้องบนเสากระโดงเรือ ปรากฎสองยอดฝีมือกำลังสัปยุทธดวลอาวุธกันวับวาวเกลื่อนท้องฟ้า
พัคนารินยกมือชี้ไปยังโฉมสะคราญที่ร่ายเพลงดาบอยู่บนเสา
“ ไทม์แมชชีนอีกเครื่องอยู่บนหลังมือซ้ายนาง น่าจะเป็นเครื่องของโปรเจกต์อิลลูชั่นนะ ตั้งชื่อเป็นภาษาพวกพี่ว่าอะไรดีน้าาา…” นางกล่าวครุ่นคิด ส่วนอีกมือหยิยเอาแคปซูนเล็กๆตรงเข็มขัดยื่นส่งให้
“ เจ้าอยู่นี่นิ่งๆไว้ ห้ามขยับเขยือนไปไหน ข้ามีความสงสัยมากมายต้องซักถาม ” ชายหนุ่มดุเสียงเขียว พร้อมกับชี้ไปที่ปลายจมูกนาง
“ รับทราบ …คราบผ๊ม ! …” นางยืนตรง ยกมือตะเบะเหนือคิ้วแบบทหารในศตวรรษที่20
“ เจ้านะเจ้า !…” หลิวหงเหินระบายยิ้มกว้างพร้อมทั้งใช้นิ้วสะบัดปลายจมูกนาง อย่างนึกเอ็นดู
ครู่ต่อมาหลิวหงเหินจึงหยิบยืมดาบนายทหารมาตัดเชือกโยงเรือ แล้วโหนตามเส้นเชือกแกว่ง ก่อนจะปล่อยมือลอยตัวไปยังเรืออัญมณีที่มีควันโขมง
……………..
“ บัณฑิตหลิว บัณฑิตหลิว ท่านมาแล้ว มาแล้วจริงๆ ” เฒ่าหยางกุลีกุจรวิ่งเข้าหาทันที ทึ่เห็นร่างสีครามล่อนพลิ้วลงพื้นเรือ
“ ฟื้นไฟเป็นอย่างไร พอระงับได้หรือไม่ ” หลิวหงเหินรีบเร่งกล่าวด้วยความห่วงใย
“ ไฟฟื้นพอระงับได้แล้วขอรับ ดีที่มาทันกาล หากยังมีบางสิ่งยังยากระงับอยู่ ” เฒ่าหยางเงยหน้าขึ้นเบื้องบน ส่งสัญญาณให้มองดูยอดฝีมือ ที่เร่งเร้ากระบวนท่าไม่ลามือ
“ แล้วหัวหน้ารองเล่า ได้เชิญมาหรือไม่ ”
ไม่ทันที่เฒ่าหยางจะตอบคำ เสียงหนึ่งพลันแทรกแซงเข้ามาในลมราตรี
“ ข้าพเจ้าอยู่นี้บัณฑิตหลิว ”
หัวหน้สองครักษ์ในชุดสีดำปักเลื่อมทองวาววับ ยืนเอามือไพล่หลังแง่นหน้ามองการประลองยุทธไม่วางตา แม้จะกล่าววาจายังมองคนทั้งคู่ตาไม่กระพริบ
. …..ในยุทธภพเรียกขานมันว่า จางจงตง ฉายาอัสนีร่างทอง ….ห้าปีก่อนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์อันดับสองแห่งวังเมฆาขจี ในการเดินเรือครานี้มันจัดเป็นผู้นำสูงสุดของเหล่าองครักษ์ เพราะมีเพียงห้ากองจากสิบกององครักษ์ที่ร่วมเดินทางมา กองอัสนีเกราะทองจึงขึ้นแท่นสูงสุดในหมู่ชุมชนเรือหลวง…
ยามนี้เมื่อเห็นมันวางเฉยไม่ร่วมจับคนร้าย หลิวหงเหินจึงอดสงสัยใจมิได้
“ นางเป็นคนร้ายคร่าชีวิตในเรือแพรพรรณ ท่านว่าสมควรจับกุมมันหรือไม่ ” หลิวหงเหินถามกระตุ้น
“ สมควร ” จางจงตงเพียงตอบรวบสั้น โดยใบหน้ายังแน่นิ่ง หนวดเรียวงามเหนือริมฝีปากยังคมเข้มไม่ไหวติง
“ สมควร แล้วเหตุใดท่านไม่…! ” หลิวหงเหินทั้งพูดทั้งชี้ไปที่จอมดาบโฉมสะคราญ
“ ฮึ ฮึ ฮึ …” จางจงตงหัวร่อลุมลึกในลำคอ
“ ผ่านไปร้อยกว่ากระบวนท่า เง็กจือสามารถจับทิศทางดาบของนางได้หมดสิ้น อีกไม่เกินร้อยกระบวนท่านางย่อมถูกสยบไว้แล้ว ”
ร้อยกว่ากระบวนท่าอย่างนั้นรึ….ถ้าอย่างนั้นก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว….หลิวหงเหินตระหนักในใจ พร้อมเพรียงกับที่สายตาเห็นทั้งคู่โลดแล่นไปยังเสากระโดงเรือหน้าสุด
“ ไม่ทันกาลแล้ว ” ชายหนุ่มไม่คิดพิร่ำพิไรกับจางจงตงอีก มันรีบโจนขึ้นฟ้าตามสองเงาร่างนั้นไปกระชั้นชิด
ฉับพลันแสงสว่างเกิดเจิดจ้าเรืองรองรอบกายอมิตาร์ แล้วร่างสะคราญในอาภรณ์เหลืองอล่ามได้แบ่งแยกเป็นสิบสองอมิตาร์ สิบสองดาบตรงเข้าตวัดใส่จูเง็กจือโดยพร้อมเพรียง
หลิวหงเหินใช้เท้าปะทะเสากระโดงเรือ ดีดแรงส่งพุ่งตรงไปหาสหาย มันใช้วิชาคว้าจับกุญชรรั้งเหนี่ยวจูเง็กจือ ให้ไถลหลบดาบโค้งไปเพียงครึ่งเซียะ
“ เจ้าจะทำอะไรปักษาสุรา ” จูเง็กจือร้องลั่น ขณะถูกกระชากให้ล่าถอยไปเกาะเสาอีกต้น
“ รีบล่อหลอกนางให้ลงไปยังเบื้องล่าง ไม่เช่นนั้นเราได้ตายกันทั้งคู่แน่ ” หลิวหงเหินกล่าวรวดเร็ว ใจคิดถึงแผนเอาชนะนางอย่างเร่งรีบ เพราะอมิตาร์ยิ่งนานยิ่งเพิ่มจำนวน ราวกับนางฟ้าลอยเวียนวนในอากาศ
“ เจ้าล่อนางไปทางซ้าย ส่วนข้าไปทางขวา แล้วไปเจอกันที่จางจงตงยืนอยู่ ….! เร็วเข้านางมาแล้ว ”
แม้จูเง็กจือจะงงงัน แต่อันตรายกรายกร่ำจึงพริ้วกายเลี่ยงคมดาบนางไปทางซ้าย ส่วนหลิวหงเหินแยกจากไปทางขวา พริ้วกายไปตามผืนผ้าใบเรือ โดยมีอมิตาร์นับสิบไล่ติดตามกระชั้นชิด
“ ชายชาวต้าหมิงใยขลาดเขลานัก เอาแต่วิ่งหนีล่าถอย ช่างน่าขันยิ่ง ” เสียงอมิตาร์ก้องกังวานโดยไม่รู้ทิศทาง ว่ามาจากอมิตาร์คนใดกันแน่
หลิวหงเหินรู้แน่แก่ใจว่ามีเพียงคนเดียวที่เป็นตัวจริง หากคราวนี้มันมองร่างจริงของนางได้ยากเย็นนัก เพราะมีอมิตาร์มากมายเกินไป เหล่านางโจมตีเร่าร้อนรุนแรงเกินไป
หากต้องวุ่นวายกับการหนีนางอย่างนี้ ไม่มีทางหาตัวจริงนางได้แน่
มีเพียงหนทางเดียว !…..
หลิวหงเหินพลันผินร่างล่อนตรงไปยังจางจงตง ที่ยืนสงบนิ่งอยู่ด้านล่าง
“ หัวหน้ารองคนร้ายมาแล้ว ยังไม่รีบลงมืออีกรึ ? ” หลิวหงเหินร้องก้องขณะโฉบร่างผ่านชายหยิ่งทนง ที่กำลังเหลือกตาพอง มองร่างเหลืองอล่ามนับสิบลอยลงมาพร้อมกระบวนท่าฝาดฟัน
จางจงตงมีฉายาในยุทธภพว่า'อัสนีร่างทอง' เพราะวิชา8ห่วงอัสนีบาตของมันทรงอนุภาพ เปี่ยมพลัง ราวสายฟ้าเคลื่อนผ่าน เป็นที่ครั่นคร้ามต่อชาวยุทธน้อยใหญ่เสมอมา ยามนี้เมื่อเห็นหญิงงามพุ่งตรงมาโดยไร้วี่แววหวาดหวั่น เลือดในกายมันพรุ่นพร่าน คึกคักขึนอักโข
“ เป็นโฉมสะคราญอันห้าวหาญนัก ! ” มันกระหยิ่มยิ้มในใจ ก่อนจะปลดห่วงทองที่เอวทั้ง8 แล้วปล่อยปราณแผ่พุ่งเข้าใส่สตรีชุดเหลือง ด้วยกระบวนท่าสายฟ้าคะนอง
ห่วงทั้งแปดร้อยต่อเป็นเส้นเดียว ประหนึ่งโซ่ทองเส้นใหญ่ ส่ายสะบัดเกิดเป็นประกายทองวับวาว ฝาดฟันเข้าดาบโค้งสุดเกรียวกราด แม้อมิตาร์จะมีจำนวนหลายสิบร่าง แต่ห่วงแส้ไล่รวดเร็วจนทุกร่างม้วนตัวตีลังกากลับหลัง ลงไปยืนยังพื้นเบื่องล่างดาดฟ้าเรือ
พลันนั้นแสงจากกายนางค่อยมอดดับลง พร้อมกับที่เหล่าอมิตาร์ทั้งหลายมลายไปสิ้น เหลือเพียงหญิงงามถือดาบโค้งโดดเดี่ยวท่ามกลางแสงเดือนอาบไล้
เมื่อจูเง็กจือคลายสถานการณ์จากการไล่ติดตาม มันจึงเผ่นโผนลงเคียงข้างหลิวหงเหิน ที่ยืนสงบอยู่ไม่ห่างจากจางจงตงนัก
“ วิชาฝีมือนางแปลกประหลาดนัก เจ้ารู้จักหรือไม่ ” วายุหยกขาวหันไปถามสหาย ที่กำลังมีสีหน้าครุ่นคิดหนัก
“ นั้นเรียกวิชาเงามายา สังกัดค่ายสำนักใดไม่แน่ชัด แต่อนุภาพเกินจะคาดเดาจริงๆ ” หลิวหงเหินตกลงใจที่จะตั้งชื่อวิชานาง แทนที่จะกล่าวตรงๆว่าเพราะเครื่องจักรแปลกประหลาดบันดาลให้เป็น
“ ลึกลับพิสดารยิ่ง นางผู้นี้เป็นคนร้ายที่น่าสนใจเหลือประมาณ ” จูเง็กจือกล่าวชมเชยอย่างหลุ่มลง ทอดสายตางมงายไปหานางอย่างไม่บันยะบันยัง
หลิวหงเหินได้แต่ลอบอมยิ้มให้กับสหายหนุ่ม ที่กำลังหลงเข้าสู่คูคลองแห่งความรักแล้ว
ดูเหมือนจะไม่ใช้จูเง็กจือเพียงผู้เดียวที่กำลังหลงงมงาย เพราะดวงตาหวานเชื่อมของจางจงตงได้บงบอกถึงความนิยมชมชอบอยู่ไม่น้อย แม้ขณะที่บังคับให้ห่วงแยกเป็นข้างละสี่ห่วงมากุมไว้ทั้งสองมือ แววตามันยังสะท้อนรูปเงานางโดยไม่คลาดเคลื่อน
“ พวกท่านจะเข้ามากุ่มรุมพร้อมกันสามคนเลยหรือไม่ ? ” อมิตาร์กล่าวอ่อนหวานหยดย้อย เป็นคำท้าอันผ่าเผย หากเสียดเย้ยไปในที
…มีทีไหนที่บุรุษยอดฝีมือ จะเข้ากุ่มรุมอิสตรีเพียงคนเดียว ….
จูเง็กจือก้าวเท้าไปข้างหน้าคิดจะสานสัมพันธ์เจรจาสืบต่อ ทว่ายังเชื่องช้าไปครึ่งก้าว
“ ข้าพเจ้าจางจงตงมีฝีมืออยู่ไม่กี่ท่า แต่ขอไม่เจียมตนใคร่ประลองกับแม่นางเพียงลำพัง หากผู้ใดเข้าช่วยเหลือ นับว่าเลวทราบกว่าเดรัจฉานแล้ว ” จางจงตงกล่าวอาจหาญเอาหน้า พร้อมๆกับตัดช่องทางคนอื่นไม่ให้สร้างผลงานไปในที
จูเง็กจืออ้าปากค้าง ทุกวาจาไม่อาจหลุดจากปากสักครึ่งคำ
มีเพียงหลิวหงเหินว่าผิดท่าแล้ว เพราะฝีมือนางว่าจะเอาชัยยังอยากเย็นแล้ว นี่นางยังครอบครองเครื่องจักรผิดธรรมชาติไว้ ต่อให้ยอดฝีมือันดับหนึ่งในไต้หล้า ยังไม่แน่ว่าจะได้ชัยต่อนาง
“ ที่แท้หัวหน้ารอง นับถือๆ " อมิตาร์ปรายตาหวานหว่านเสน่ห์ ทีท่านอบน้อมนัก
“ มิกล้ารับ มิกล้ารับ ” จางจงตงกล่าวมากมารยาท หากใบหน้ากระหยิ่มยิ้มภาคภูมิใจ
ต่างจากหลิวหงเหินที่เอาแต่ส่ายหน้า ในใจคิดว่าเรียกหาผู้ช่วยมาผิดคนแล้ว
“ ผู้น้อยอมิตาร์เป็นชาวปาร์เธียพลัดถิ่น มีวาสนาได้พบเจอยอดฝีมือแห่งวังเมฆาขจี นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว ” นางพริ้มพรายกล่าววาจาเสนาะหู ดูจะเป็นการใช้อาวุธร้ายมากกว่าคมดาบมากมายนัก นั้นยังไม่รวมหลังมือซ้ายนางที่เริ่มเรืองแสงอ่อนๆ กำลังปลดปล่อยอาวุธพิสดารอีกแบบ
โดยมีเพียงหลิวหงเหินคนเดียวที่สังเกตุเห็น แต่มันไม่ทันได้ตักเตือนผู้ใด อมิตาร์พลันแผดเสียงจู่โจม
“ รบกวนท่านชี้แนะด้วย ! ” อมิตาร์เรืองแสงจ้า แยกร่างแผ่เป็นกองร้อยเล็กๆ แล้ววาดวงดาบตรงเข้าฝาดฟัน
ทำให้ทั้งสามชายปัดป่ายอาวุธป้องกัน ทั้งห่วงทอง สองกระบี่ และฝ่ามือ ล้วนตวัดต้านรับสูญญากาศ ….
ทุกร่างของอมิตาร์ผันผ่านทั้งสามชายไป คล้ายหมอกควันลอยละมัย
เพียงหันหลังเหลียวมองตาม ทุกร่างเงาชุดเหลืองพลันสลายหายกลายเป็นไอไปแล้ว
โป้ง !….โป้ง !….โป้ง !…..
เสียงฆ้องดังลั่น มาพร้อมกับคำกล่าวตะโกนโวกเว้กของเฒ่าหยาง
“ นางหนีไปทางนู้นแล้ว ไปทางนู้น ! ”
พอมองตามการชี้นำของเฒ่าหยาง จึงเห็นเงาร่างสีเหลืองอล่ามลอยละล่องข้ามลำเรือ เลื่อนไปยังเรืออีกลำ และเลยไปอีกลำ ย้อนทวนสายลมขึ้นไปทางหัวขบวนเรือมหาสมบัติ
“ แม่นางทิ้งขว้างกันได้อย่างไร เรายังไม่ได้ประลองกันเลย ? ” จางจงตงตะโกนร้อง พร้อมกับกระโจนร่างขึ้นสูง ใข้วิชาตัวเบาแตะเสาไม้ส่งตัวล่อนไปตามนาง
“ ท่านพี่ตงให้ข้าไปช่วยด้วยอีกแรง ” จูเง็กจือเผ่นพริ้วตาม โดยไม่เหลือบแลสหายขี้เมาที่กำลังเกาหัวแก๊กกาก
“ ท่านไม่ตามไปด้วยหรือบัณฑิตหลิว ” เฒ่าหยางยิ้มตาหยี เข้ามาถามอย่างมีเลศนัย
“ ตามซิ !…ข้าตามหากระต่ายตัวหนึ่ง ท่านพอจะเห็นบ้างหรือไม่ ? ”
เฒ่าหยางทำสีหน้างงงันอยู่วูบหนึ่ง ก่อนจะนึกอะไรออก
“ อ้อ ….กระต่ายตัวนั้น อยู่ท่าน อยู่….ทหารช่วยมันไว้อยู่ท้ายเรือนั้น ”
“ ประเสริฐยิ่ง…ยึดกุมลูกกระต่ายไว้ มีรึจะไม่ได้นางพญากระต่ายมา ”…