… ชายช่างตัดเสื้อฝันว่าได้กลายเป็นผีเสื้อ โบยบินไปในทุ่งบุปผางาม…
เมื่อตื่นนอนขึ้น ช่างตัดเสื้อตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่ตนเพิ่งตื่นจากการฝันเป็นผีเสื้อ หรือที่จริงเราคือผีเสื้ที่กำลังฝันเป็นช่างตัดเสื้ออยู่แน่ ?……
หลิวหงเหินนึกถึงนิทานเต๋าบทนี้ขึ้นมาจับใจ เมื่อต้องเผชิญกับเหตุกาณ์ซ้ำๆ เหมือนคนเคลิ้มอยู่ในฝัน ที่ไม่อาจเห็นทางฟื้นตื่น
ทุกเหตุการณ์ดำเนินไปตรงตามเวลาตามสถานที่เดิม ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย
มันเจอจูเง็กจือมาดักรอที่เรือแพรพรรณเป็นคนแรก ซ้ำยังโยนขวดสุรามันทิ้งอย่างที่เคยทำ จากนั้นจึงเผชิญหน้ากับกงกงเฉียน พบศพปริศนา พบทิบทิมอาถรรพ์…
กระทั้งหลิวหงเหินล่อนร่างลงยังเรืออัญมณี มันจึงตกลงปรงใจว่าทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นลางสังหรณ์…
ถ้าเราล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…สมควรยินยอมต่อโชคชะตาให้ฟ้าลิขิต หรือจะพลิกชะตาเปลี่ยนแปลงอนาคต คว่ำมติสวรรค์…
หากหยุดยั้งความตายของสหายได้ แม้ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ให้มอดไหม้ ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อยยิ่ง…ฮ่า ฮ่า ฮ่า….
“ เจ้าหัวเราะอันใด ปักษาสุรา ” จูเง็กจือหันมาถามด้วยสีหน้าฉงน
หลิวหงเหินได้แต่กล่าวนอกเรื่องนอกราวเฉไฉไป
“ หัวเราะให้กับเรื่องไม่น่าหัวเราะ หากเจ้าสนใจฟังจะยืดยาวยิ่งนัก ” มันกล่าวพลางมองทหารที่วิ่งตรงเข้ามารายงาน
“ คุณชายสี่ บัณฑิตหลิวให้เกียรติมาเยือน….
นายท่านเชื้อเชิญสู่ด้านในขอรับ " ทหารคนเดิมเข้ามานอบน้อม กล่าวเชิญมากมารยาทอย่างที่เคยได้ยิน
แต่คราวนี้ หลิวหงเหินหาได้ตอบกลับอย่างเดิมไม่
“ เป็นเจ้ามาสืบคดี ข้ามาดื่มเหล้าองุ่น ถูกต้องหรือไม่ ?” มันกล่าวพลางหยิบยื่นทับทิมสีส้มอมแดงสุกปลั่งให้สหาย
“ โรคหวาดกลัวโฉมสะคราญของเจ้ากำเลิบขึ้นอีกแล้วรึ ?” จูเง็กจือกล่าวอย่างเบิกบานพลางยื่นรับทับทิมไว้ในอุ้งมือ
หลิวหงเหินได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กล่าวตอบอย่างเลื่อนลอย
“ เจ้าอย่าได้ใส่ใจใครนัก ควรมองใจตัวเองดีๆเถิด อย่าได้หลงใหลไปกับเงาจันทร์นัก ”
จูเง็กจืองงงันวูบหนึ่งก่อนจะปล่อยความรู้สึกผ่านเลย เพราะรู้สึกสหายมันยังไม่สร่างจากฤทธิ์เมรีย จึงเฉไฉกล่าวอย่างมึนๆเมาๆ
หลังจากจูเง็กจือก้าวย่างตามทหารเข้าสู่ห้องโถงกลางเรือ หลิวหงเหินเร่งเผ่นโผนเข้าหาเหล่าทหารที่ยืนเรียงหน้าสล่อน
“ รบกวนพวกท่านช่วยหาเชือกเส้นใหญ่ๆ มาสัก12เส้นได้หรือไม่ ” หลิวหงเหินกล่าวสุภาพกับทหารหาญ ที่กำลังมีสีหน้างงงันกันทั่ว
“ ท่านจะเอาเชือกมากมายเช่นนั้น มาทำสิ่งใด ” ทหารนายหนึ่งถามขึ้น
“ เรามีมายากลจับนางพญากระต่าย พวกท่านสนใจชมดูหรือไม่ ?”
เหล่าทหารต่างยิ้มหัว เนื่องจากล่วงรู้อุปนิสัยอันขี้เล่นของปักษาสุรากันทั่วหน้า เพียงครู่เดียวทหารทั้งสิบสองคนต่างแยกย้ายกันไปหาเชือกที่ผูกโยงเรือ มากองตรงหน้าหลิวหงเหิน ที่กำลังใจจดใจจ่อมองประตูห้องโถงไม่วางตา
“ ท่านบัณฑิตหลิวเชือกมาพร้อมแล้วขอรับ ไหนเล่านางพญากระต่าย ” นายทหารหน้าแหลมคนเดิมกล่าวขึ้น
หลิวหงเหินยกนิ้วชี้จรดปาก เป็นสัญญาณให้เงียบเสียงไว้ โดยสายตายังจับจ้องประตูห้องโถงแน่นิ่ง
“ ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว …”
ไม่ทันสิ้นเสียง ควันไฟพลันลอยอ่อยอิ่งออกจากหน้าต่างห้องโถง และเพียงลัดนิ้วมือประกายไฟพลันสว่างวาบขึ้นบาดตา
“ เร็ว !…รีบหาน้ำ หาผ้าหนาๆเตรียมดับไฟ ” หลิวหงเหินตะโกนกล่าวกับเหล่าทหาร ที่กำลังแตกตื่นกันทั่วหน้า
ยังไม่ทันที่ทหารจะแยกย้ายไปหาสิ่งของดับไฟ พลันเกิดเสียง…โครม!..กึกก้องมาสกดผู้คนไว้
ประตูโถงรับรองปลิวกระเด็นไป พร้อมสองเงาร่างโจนทะยานไล่ติดตามกันมา ประกายอาวุธแวววาวใต้แสงเดือนเลื่อมพราย ดูคล้ายดาวหางสองสายแล่นผสานหยอกล้อ
“ มาแล้ว มาแล้ว ”…หลิวหงเหินตะโกนเร้าๆ พร้อมกับกระโดดเข้าไปในห้องโถงรับรอง ท่ามกลางสายตาแตกตื่นของทหาหาญอันลนลาน
ครู่เดียว หลิวหงเหินโจนออกมาพร้อมกระต่ายในอ้อมแขน..
“ เจ้าเป็นกระต่ายประเภทใดกัน ไม่รู้จักหลบหลีกเพทภัยเลยรึ ?” หลิวหงเหินทำเสียงดุ ขณะวางกระต่ายตากลมใสลงกับพื้น
จากนั้นจึงเผ่นโผนเข้าหากองเชือก โดยหันหน้ามองไปทางบันไดขึ้นเรือ รอคอยสัญญาณเตือนที่เกือบใกล้มาถึง
“ ไฟไหม้!..ไฟไหม้…” เสียงชราร้องลั่นทันทีที่ก้าวขึ้นเรือ พร้อมๆกับเสียงฆ้องที่ผสานดังโป๊ง.. โป๊ง.. โป๊ง…
“ มาตรงเวลานักเฒ่าหยาง ” หลิวหงเหินรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะรีบคว้าเชือกทั้งสิบสองเส้นขึ้นคล้องแขน แล้วกระโจนขึ้นสู่เสากระโดงเรือ
จากนั้นมันจึงทุ่มเทท่าร่างบุปผาลอยลม พริ้วกายเคลื่อนไหวไปตามใบเรือ ตรงไปสู่เสากระโดงเรือแรก ที่สองยอดฝีมือกำลังสัปยุทธกันอย่างเผ็ดร้อน
หลิวหงเหินลอยตัวลงยังโคนเสากระโดงเรือ แหง่นคอคอยวิชาประหลาดที่ไม่เคยเห็นจากที่ใด
และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อเงาร่างในชุดเหลืองอล่ามพลันเรืองสว่าง จากจุดเจิดจ้าเพียงหนึ่งก่อนจะแยกกระจายกลายเป็น12รูปเงา เข้าล้อมรอบจูเง็กจือไว้ทุกด้าน
“ นางพญากระต่ายอวดโอ้มายากลแล้ว! "….ดวงตาหลิวหงเหินเบิกโพลง พร้อมกับฉวยจับเส้นเชือกแล้วถ่ายเทลมปรามเข้าใส่ ก่อนจะพุ่งปาใส่นางด้วยวิชาคว้าจับกุณชร มันคิดม้วนข้อเท้านางไว้ในคราเดียว….
ทว่าเชือกกลับทะลุผ่านร่างนางไป…
“ เป็นภาพลวงตาจริงๆ ” ชายหนุ่มกล่าวพึมพำ พลางหยิบเชือกที่เหลือปาไปเส้นแล้วเส้นเล่า ผ่านไปถึงเส้นที่เจ็ด เชือกจึงร้อยรัดข้อเท้าหนึ่งในกลุ่มอมิตาร์ไว้ได้
“ เสร็จข้าละ. !…นางพญากระต่าย ” มันกู่ก้องพร้อมออกแรงดึงเชือกสุดพลัง จนร่างบอบบางถูกฉุดรั้งให้ตกมายังทิศทางที่มันยืนอยู่
“ เจ้าชายโฉด คิดลอบทำร้ายอย่างนั้นรึ !” อมิตาร์แผดร้องด้วยความตกใจ ทันทีนั้นภาพลวงตาทั้งมวลพลันสูญสลายไป
ทว่านางพญากระต่ายหาได้สิ้นฤทธิ์ ร่างบอบบางของนางพลันพลิกกายตัดเชือกขาดในดาบเดียว แล้วหมุนตัวดั่งลูกข่างมนุษย์ หมุนเป็นเกลียวตรงเข้าใส่หลิวหงเหิน
“ ระวังดาบนางไว้ !” จูเง็กจือตะเบ็งร้องแตกตื่น
หากเสียงยังเชื่องช้ากว่าคมดาบโค้งไปชั่วอึดใจ
แม้หลิวหงเหินจะเคลื่อนท่าร่างหลบหลีก แต่ไม่อาจหลบเลี่ยงคมดาบวาววับ ที่ตรงเข้าฟันตรงเข้าหน้าอกมันเต็มแรง
เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นตามแรงดาบเหวี่ยง โดยหลิวหงเหินยังใช้พลังเฮือกสุดท้าย ควงฝ่ามือคว้าจับกุญชรกุมข้อมือนางไว้มั่น
“ ยังไม่ทันร่ำลาก็จะจากไปแล้วรึ ?” หลิวหงเหินกล่ำกลืนกล่าวทั้งทึ่เจ็บปวดสุดแสน
แต่อมิตาร์กลับตอบรับด้วยฝ่ามืออันกราดเกรียว จนร่างบาดเจ็บปลิวกระเด็นไปกระแทกกับกาบเรือ
“ หลิวหงเหิน..!” จูเง็กจือตะโกนร้องเสียงเครือ พร้อมกับโจนเข้าประคองร่างสหาย
“ อย่าได้เข้ามา !.. ออกไป !” หลิวหงเหินเร่งรีบพักไสสหาย
…แต่ดูเหมือนจะเชื่องช้าเกินไป เมื่อมันเห็นประกายแสงเจิดจ้าที่ส่งตรงมาจากเรือลำอื่นที่แล่นเคียงข้าง…
และเพียงลัดนิ้วมือเเสากระโดงเรือขนาดใหญ่ยักษ์สามต้น พลันโค่นตกลงมายังอมิตาร์และสองสหาย อย่างไม่อาจขยับเคลื่อนหลบลีกให้พ้น….
โครม !..
….เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ประดับประดาเตียงแสงมณีแห่งดวงดาวดารดาษ ปรากฎแก่สายตามันเมื่อแรกได้สติ
หลิวหงเหินยืนงงงันอยู่ท่ามกลางลมราตรีลูบไล้ใบหน้า
“ กลับมาที่เดิมอีกแล้วงั้นเหรอ ? ”… มันรำพันกับตนเองขณะลูบคลำไปตามร่างกาย ที่เคยเกิดบาดแผล
ทุกอย่างยังคงปกติไม่เปลี่ยนแปลง ไร้รอยคมดาบใดให้เห็น
“ ทำไมยังย้อนกลับมาที่เดิมอีก หรือเราแก้ไขผิดทาง ? ”
หลิวหงเหินสบถมึนงง ใจนึกทบทวนเหตุการณ์ แยกทุกสิ่งเป็นภาพนิ่งๆให้เห็นถนัดถนี่
การป็นจิตกรของมัน ทำให้มีความสามารถแยกทุกสิ่งอย่างเป็นภาพนิ่งได้แจ่มชัดทุกรายละเอียด
…ชายประหลาด…กงกงเฉียน…จูเง็กจือ..ป้านสุรา…เรือแพรพรรณ..เรืออัญมณี…อมิตาร์ ชาร์เดล….กระต่ายขาว…ดาบโค้งอาถรรพ์…กระบี่คู่…เปลวไฟ….เรือเรืองแสง …
“ ใช่แล้ว !….เรือลำนั้น !…”
ราวกับสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงหัว เมื่อเห็นสิ่งสำคัญที่คลาดเคลื่อนจากความสนใจ
ปักษาสุรารีบคว้าผ้าไหมมาขีดเขียนข้อความอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกระโดดลงพื้นเบื้องล่าง ที่ซึ่งเฒ่าหยางกำลังเตรียมตัวตีฆัองในมือ
“ อ้า…ท่านบัณฑิตหลิว ข้ามีเรื่องสำคัญจะมาเรียนท่านอยู่พอดี ”
“ มีศพประหลาดอยู่บนเรือแพรพรรณใช่หรือไม่ ?”
“ โอ้ว !….ท่านมีตาทิพย์หรือไร ?..เหตุใดถึงรู้กระจ่างแจ้งนัก ? "
“ ถ้าให้อธิบายออกจะยืดยาวไป เจ้ารีบนำสาส์นนี้ไปมอบต่อหัวหน้ารอง แล้วจัดหาผู้คนสักหลายสิบนาย ไปยังเรืออัญมณีธงเขียวขอบทอง สมควรจัดเตรียมเครื่องมือดับไฟให้พร้อมสรรพเสียด้วย ”
“ เอ๋…!”
เฒ่าหยางอุทานได้เพียงครึ่งคำ ก็ต้องอ้าปากค้าง เนื่องเพราะหลิวหงเหินพริ้วตัวจากไป พร้อมกับกู่ร้องมาตามสายลมทะเล
“ เร่งรีบทำตามข้ากล่าวเถิด เวลาเลื่อนไหลรวดเร็วนัก ”
หลิวหงเหินรู้สึกว่าคำพูดตนสมเหตุสมผลยิ่ง เพราะทุกสิ่งอย่างดำเนินไปราวกับสายฟ้าแล๊บผ่าน
ตั้งแต่ได้พบจูเง็กจือมาดักรอที่เรือแพรพรรณ ได้พบขันทีชราบ้าอำนาจ พบศพปริศนา พบทิบทิมอาถรรพ์ กระทั้งมันและจูเง็กจือได้โลดแล่นไปยังเรืออัญมณี
ต่างที่คราวนี้ หลิวหงเหินปล่อยให้จูเง็กจือไปยังเรืออัญมณีเพียงลำพัง ส่วนตัวหลิวหงเหินเคลื่อนไหวไปอีกทาง ไปยังเรือขนาดกลางที่มีหน้าที่ประกอบอาหารเลี้ยงคนบนเรือ ซึ่งอยู่ถัดไปทางซ้าย ห่างไปประมาณ 20เชียะ
“ ต้องรีบเร่งแล้ว ” หลิวหงเหินกล่าวสบทบกับตนเอง เมื่อเห็นจูเง็กจือล่อนลงสู่เรืออัญมณีแล้ว
ร่างระหงในชุดครามพลิ้วกายแผ่วเบาลงบนดาดฟ้าเรือ กลิ่นอาหารและกลุ่มควันลอยละล่องเข้ามาทักทายทันทีที่สัมผัสพื้น
“ สมแล้วเป็นเรือโภชนาการ แม้แต่พื้นไม้ เสากระโดงยังดูน่ารับทาน ” ปักษาสุราย่อมเป็นปักษาสุรา แม้ยามเร่งรีบยังไม่วายเสพสุนทรีย์
“ เป็นผู้ใดบุกรุกเรือยามวิกาล ” มีทหารสี่นายวิ่งกรูมาพร้อมกำดาบยาวไว้ในมือ
“ หลิวหงเหินเสียมารยาทแล้ว ไม่ทันได้แจ้งกล่าวก็มาโดยพละการ หากไม่ใช่เพราะมีเหตุเป็นตายข้าพเจ้าคงไม่เร่งรีบมา ”
เหล่าทหารต่างหันมองหน้ากัน โดยมีคนหนึ่งซุบซิบกับทหารคนข้างๆ ก่อนจะน้อมกายคาราวะ
“ ท่านบัณฑิตหลิวนี่เอง ไม่ทราบมีเรื่องราวใดให้ผู้น้อยรับใช้ ”
“ หากไม่รบกวนเกินไป พวกท่านสามารถบังคับเรือให้แล่นเข้าใกล้เรืออัญมณีทางขวาได้หรือไม่ และควรตระเตรียมเครื่องมือดับฟื้นไฟให้พร้อมด้วย ”
แม้จะงงงัน แต่เหล่าทหารล้วนยินยอมทำตาม พวกมันต่างแยกย้ายไปสามทางในทันที คือหนึ่งไปบอกไต๋กงเรือ หนึ่งไปส่งสัญญาณให้เรือที่จะเข้าใกล้ อีกหนึ่งไปตระเตรียมหาน้ำดับไฟ จะมีเพียงสองคนที่ยังยืนเคียงข้างหลิวหงเหิน เหมือนคอยฟังบางเรื่องราวที่ยังคาใจ
" พี่ชายท่านนี้ ไม่ทราบพบเห็นเรื่องผิดแปลกบนลำเรือบ้างหรือไม่" ?" หลิวหงเหินถามสุภาพกับทหารที่ยืนข้างกาย
“ อืม !…” นายทหารทำท่าคิดหนัก สักพักจึงเอ่ยอ้ำอึ้ง “ จะว่าผิดแปลกก็ไม่เชิงนะขอรับ แค่อาหารหลายมื้อมานี้ ออกจะจืดๆไร้รสชาติอยู่ไม่น้อย ”
“ ไม่มีเครื่องปรุงรสงั้นเหรอ ?…. รสเค็มใช่หรือไม่ ?”…
ว่องไวเท่าใจคิด หลิวหงเหินรีบเร่งฝีเท้าไปยังบันไดลงสู่ใต้ท้องเรือ
ภายในเรือแบ่งแยกเป็นสามชั้น ชั้นแรกจัดสรรค์ให้เป็นครัวหลักเพื่อปรุงสรรพอาหาร ในชั้นสองเก็บเครื่องปรุงของแห้งที่สามารถเก็บไว้ได้เนินนาน หลิวหงเหินลงมาถึงชั้นสองตรงเข้าสู่ห้องเก็บถุงเกลือแกงที่อยู่ด้านในสุด
ห้องนั้นถูกจัดสร้างด้วยไม้ไผ่ขัดเรียบง่าย โดยมีถุงเกลือแกงนับร้อยกองสุมสูงท่วมหัว แต่พอลองใช้มือสัมผัสดู ถึงได้รู้ว่าทุกถุงเกลือล้วนแข็งเป็นแท่งตันราวก้อนหิน จนไม่สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้
“ เกลือมันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร ? ” หลิวหงเหินถามกับพ่อครัวปรุงอาหารคนหนึ่ง ที่เข้ามานอบน้อมรอให้คำตอบ
“ เรียนบัณฑิตหลิว เกลือมันแข็งเป็นก้อนมาตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้วขอรับ ”
“ คืนวาน คืนวาน…” หลิวหงเหินทวนคำซ้ำๆ สายตาก็สอดส่ายไปทั่ว
กระทั้งพบช่องกลมเล็กๆ คล้ายสร้างเป็นหน้าต่างเพื่อเมียงมองภายนอก หลิวหงเหินเดินเข้าไปชิดช่องกลมแล้วจึงหันหลังกลับ จึงได้พบกองถุงเกลือถูกก่อตั้งเป็นกำแพงสูงท่วมหัว
หลิวหงเหินออกแรงยกถุงเกลือออก ถุงแล้วถุงเล่า ยิ่งยกออกยิ่งล่วงรู้ว่าถุงพวกนี้ถูกก่อเป็นผนังโดยมีช่องกลวงด้านใน…..พอแหวกเปิดถุงที่ปิดกั้นออก จึงเผยให้เห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
“ เจ้าเป็นใครกัน ! ”….
หลิวหงเหินถึงกับเบิกตาโพรง ถามแตกตื่นต่อหญิงสาวที่ซ่อนอยู่
นางแปลกประหลาดคล้ายศพที่พบในเรือแพรพรรณ สวมใส่ชุดเกล็ดมังกร มีทรงผมสั้นเสมอท้ายทอยหน้าผากมีผมม้าลงมาปกปิด เผยให้ดวงตาชี้เชียงนัยน์ตาดำขลับแฝงแววซุกซนจ้องตรงมา
“ ทำไมมาช้านักอ่ะ ?…หนูรอมาเป็นชาติแล้วนะ !…”