“เฮ้ย!” พิมพ์ลภัสสะดุ้งขึ้นมา เพราะรู้สึกถึงความเย็นที่แก้ม
“ตื่นได้แล้วคุณพิมพ์” ออสตินโน้มตัวลงมาหาเธอ พร้อมกับยื่นขวดน้ำและกระดาษทิชชู่ให้เธอเช็ดหน้าที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ เธอรับมันมาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะสำรวจรอบๆ ก็พบว่ารถหรูของเขาจอดอยู่ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
“ฉันจำที่นี่ได้ ฉันแวะเติมน้ำมันที่นี่ก่อนถึงโรงแรมบ่อยๆ” เธอมั่นใจว่าเธอแค่เป็นลมไม่ได้ความจำเสื่อม
“ผมไม่อยากแบกคุณกลับห้องตอนคุณยังไม่ได้สติ”
“หะ?” พิมพ์ลภัสมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ผมไม่อยากให้ใครมองว่าผมวางยาสลบคุณ” เขาพูดไปอย่างเห็นแก่ตัว แม้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่อยากทำให้เธอเสียหายต่อหน้าคนในโรงแรมที่เป็นลูกน้องในปกครองของเธออีก เพราะระหว่างที่เธอหมดสติ เขาได้ใช้เวลาเหล่านั้นละทิ้งความโกรธของตัวเอง และรับรู้ว่าตัวเองได้ทำร้ายจิตใจเธอเกินไป และหากใครเห็นว่าเขาแบกร่างที่หมดสติของพิมพ์ลภัสเข้าไปในโรงแรม เธอคงถูกมองไม่ดี
“ที่แท้ก็ห่วงตัวเอง” พิมพ์ลภัสมองเขาอย่างผิดหวัง
“ถ้าคุณได้สติแล้ว ผมจะพาคุณกลับ พ่อคุณโทรศัพท์มาหาคุณยี่สิบสองครั้งแล้ว” เขายื่นโทรศัพท์มือถือของพิมพ์ลภัส ที่ก่อนหน้านี้เขาถือวิสาสะแอบดูข้อมูลต่างๆ ด้วย
“ป๋า!” เธอรับมันคืนด้วยมือสั่นเทา
“กี่โมงแล้วคุณ” เธอหันซ้ายหันขวามองหานาฬิกา ก่อนที่ออสตินจะจับแขนของเธอให้อยู่นิ่ง เพื่อที่เธอจะได้เห็นนาฬิกาของตัวเองที่อยู่บนข้อมือ
“สามทุ่ม... เฮ้อ รอดตาย” พิมพ์ลภัสถอยหายใจเฮือกใหญ่ เพราะหากตอนนี้เป็นเวลาเกินเที่ยงคืน และเธอหายไปโดยไม่บอกกล่าวผู้เป็นพ่อ เธอต้องซวยแน่ๆ
“รับสิ”
“ไม่อ่ะ ถึงห้องแล้วฉันค่อยรับ”
“แล้วแต่... แต่ผมว่าพ่อคุณอยากรู้นะ ว่าคุณยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า” เขายักไหล่สบายๆ ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งของรถและรอให้เธอคุยกับดิเรกจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะเดินมาขึ้นรถมาทำหน้าที่เป็นพลขับ
“ผมขอโทษ” ออสตินพูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย จนพิมพ์ลภัสอ้าปากค้าง
“นี่คุณขอโทษฉันเหรอ” เธอมองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง
“ใช่ ผมขอโทษ”
“เรื่อง?”
“ที่ผมเสียมารยาทกับคุณต่อหน้าลูกน้องผม”
“โอ้โห! แล้วตอนที่ไม่อยู่ต่อหน้าลูกน้องคุณ คุณไม่ขอโทษว่างั้น?” เธอกอดอกถามเขาอย่างเอาเรื่อง
“ผมก็ขอโทษหมดทุกอย่างนั่นแหละ โอเคไหม” ออสตินเริ่มหงุดหงิด เพราะนอกจากจะเสียฟอร์มแล้วยังโดนพิมพ์ลภัสตอกย้ำไม่เลิก
“ฉันโอเคก็ได้! แต่ฉันจะให้อภัยคุณไปงั้นๆ แหละ เหมือนที่คุณขอโทษฉันให้มันจบๆ ไป”
“กรี๊ด!” เธอร้องด้วยความตกใจ เพราะเขาแกล้งเหยียบคันเร่งสุดปลายเท้า เนื่องจากหมั่นไส้คำพูดของพิมพ์ลภัส จนตัวเธอพุ่งไปด้านหน้าอย่างแรง ดีที่มีเข็มขัดนิรภัยล็อคตัวไว้ ไม่เช่นนั้นเธอคงพุ่งทะลุกระจกไปแน่ๆ
“คุณเข้าห้องคุณก่อน” พิมพ์ลภัสสั่งเขาทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดกว้าง เพราะเธออยากแน่ใจว่า เขาจะไม่ตามเธอมา
“ได้... ถ้าคุณไม่อยากรู้เรื่องพี่ชายของคุณแล้ว” ออสตินกลับมาสวมบทเป็นคนเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
“งั้นนั่งคุยตรงนี้แหละ” เธอลืมเรื่องภัครภูมิไปสนิทใจ และเมื่อเขาเตือนความจำ เธอก็ชี้นิ้วลงที่พื้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่! ผมให้คุณเลือกว่าจะคุยที่ห้องผม หรือคุยที่ห้องคุณ”
“ถ้าคุณไม่เลือกผมจะเลือก” เขาทำเสียงเข้มพร้อมกับเดินตรงไปหาพิมพ์ลภัสใกล้ๆ ก่อนจะหยุดเมื่อพิมพ์ลภัสใช้สองมือดันหน้าอกเขาเอาไว้
“ห้องฉันก็ได้ แต่ฉันขอเวลาสิบห้านาที แล้วคุณก็ห้ามพกปืนมาด้วย” เธอชำเลืองมองอาวุธคู่กายของเขาที่เหน็บอยู่ตรงสะโพก
“ตกลง” ออสตินหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว ส่วนพิมพ์ลภัสก็วิ่งแจ้นเข้าห้องแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขายาวกับเสื้อตัวโคร่ง พร้อมกับผ้าห่มคลุมตัวเพื่อป้องกันตัวเอง ก่อนจะมาเปิดประตูให้เขา เธอมองออสตินที่เดินกลับมาในชุดเสื้อเชิ๊ตที่ชายเสื้อยับยู่ยี่ถูกปล่อยออกมาจากกางเกง แขนเสื้อถูกพับลวกๆ ส่วนออสตินก็มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า และถอนหายใจดังๆ
“นี่คุณ ถ้าผมจะทำอะไรคุณจริงๆ ไอ้ที่คุณใส่อยู่ตอนนี้ มันช่วยคุณให้รอดจากผมไม่หรอกนะ เอาออกเถอะ เห็นแล้วรำคาญลูกตา ทำตัวเป็นพวกเอสกิโมไปได้ ลืมหรือเปล่าว่าที่นี่ประเทศไทย บ้านเกิดของคุณเนี่ย มันร้อนเหมือนเป็นพระอาทิตย์ดวงที่สอง” เขาบอกก่อนจะเดินผ่านไปที่ห้องนั่งเล่น เหมือนว่านี่เป็นห้องของตัวเอง
“ตอนฉันถามเรื่องพี่ภูมิ พูดยาวๆ แบบนี้แล้วกัน” เธอมองค้อนตามหลัง ก่อนจะเดินไปหาเขา
“ถามมา” ออสตินเหยียดขายาววางบนโต๊ะเล็กหน้าทีวีสบายๆ
“เอาขาลงจากโต๊ะ” พิมพ์ลภัสไม่ชอบที่เขาทำตัวไม่เกียรติบ้านคนอื่นแบบนี้
“อันนี้เป็นคำสั่ง ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง ผมมาเพื่อตอบคำถามเรื่องพี่ชายของคุณ เพราะฉันนั้น ผม ไม่ เอา ลง” เขาเน้นสี่คำสุดท้ายช้าๆ
“พี่ชาย ฉันเป็นหนี้คุณกี่บาท”
“ยี่สิบสามล้าน ยังไม่รวมดอกเบี้ย”
“ยี่สิบสามล้าน!” พิมพ์ลภัสตกใจจนเผลอโยนผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ทิ้งลงพื้น
“ไม่รวมดอกเบี้ย” ออสตินย้ำอีกครั้ง
“งั้นฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ ว่าคุณลักลอบเปิดบ่อนการพนัน หนี้ของพี่ชายฉันจะได้เป็นโมฆะ”
“ก็เอาสิ ถ้ารู้ว่าตำรวจคนไหนไม่ได้เป็นหุ้นส่วนของบ่อนก็เชิญไปแจ้งให้ถูกคนแล้วกันนะครับ”
“แล้ว... แล้วถ้ารวมดอกเบี้ยมันกี่บาท” พิมพ์ลภัสกำหมัดด้วยความแค้นที่เล่นงานเขาไม่ได้เลย
“ไม่รู้สิ ผมมีลูกหนี้เป็นร้อยๆ ราย จะมานั่งจำให้ปวดหัวทำไม ผมรู้แค่ว่าวันไหน ต้องจัดการกับใครก็พอ”
“แล้ว... แล้วปกติคุณจัดการกับพวกลูกหนี้ยังไง”
“ผมก็เรียกมาคุยก่อน ถ้าใครพอจะเชื่อถือได้ว่าผมจะได้เงินคืน ผมก็ปล่อยกลับบ้าน แต่ถ้าใครที่พูดไปก็เท่านั้น ให้โอกาสไปก็ไร้ค่า เปลืองเวลา ผมก็ส่งให้ลูกน้องผมจัดการ แต่ไม่ต้องถามนะว่า ว่าจัดการน่ะ จัดการอะไร เพราะผมก็ไม่มีโอกาสได้ถามพวกลูกหนี้พวกนั้นแม้แต่คนเดียว” พิมพ์ลภัสรู้สึกกลัวออสตินขึ้นมา เพราะสายตาที่เขาตอบคำถามเมื่อครู่ มันเหมือนกับว่าเขาไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องโหดร้ายเลยสักนิด
“พี่ฉันไม่ได้ใช้หนี้คุณบ้างเลยเหรอ”
“ผมเพิ่งได้เงินจากพี่คุณมาหนึ่งล้านบาทจากยอดทั้งหมด คุณคิดว่าผมควรไว้ชีวิตพี่คุณไหมล่ะคุณพิมพ์”
“งั้นฉันขอจ่ายหนี้แทนพี่ภูมิได้ไหม แต่ฉันมีแค่สามล้านนะคะ มันเป็นเงินเก็บของฉันจากการเล่นหุ้น คุณรับมันไว้ได้ไหมคะ” พิมพ์ลภัสหันไปบอกเขา เพราะไม่อยากให้พี่ชายเดือดร้อน
“คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตใครนะคุณพิมพ์ ในเมื่อพี่ชายคุณเป็นคนสร้างปัญหา เค้าก็ควรจะเป็นคนแก้ปัญหาด้วยตัวเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากช่วยพี่ชายฉันจริงๆ อย่างน้อยก็เป็นค่าดอกเบี้ยก็ได้นะคะ” เธอมองเขาด้วยสายตาขอร้อง
“ถ้าคุณอยากช่วยพี่ชายคุณจริงๆ คุณต้องมาเป็นผู้หญิงของผม” ออสตินบอกเสียงดังฟังชัด จนพิมพ์ลภัสอึ้ง
“ฉันไม่เป็น...” เธอส่ายหัวไปมาอย่างรับไม่ได้ การเป็นผู้หญิงของเขา มันคือการพลีกายให้เขาแน่ๆ
“งั้นก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่กับพี่ชายคุณให้มากๆ แล้วกัน เพราะผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณจะได้เจอเค้าอีกนานแค่ไหน”
“คุณขู่ฉันอยู่ใช่ไหม”
“เปล่า ผมแค่ยื่นข้อเสนอให้คุณ เอาเป็นว่าผมให้เวลาคุณคิดสามวันแล้วกัน”
จุ๊บ!
ออสตินขโมยหอมแก้มพิมพ์ลภัส ก่อนจะกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเธอ
“ผมรอที่จะนอนกอดคุณตอนไม่ใส่อะไรเลยแทบไม่ไหวแล้ว”
พิมพ์ลภัสรู้สึกเหมือนหูอื้อไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำพูดที่แสนจะคุกคามของเขา
“สามวันนะครับ กู๊ดไนท์”
ฟอด!
ออสตินหอมแก้มเธออีกข้าง ก่อนจะเดินออกจากห้องเธอไปอย่างอารมณ์ดี เขาภูมิใจในตัวเองเหลือเกินที่เมื่อครู่เขามีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน