“นายครับ เสื้อผ้าครับ” มาร์คยื่นถุงกระดาษที่มีเสื้อผ้าที่เจ้านายสั่งซื้อให้เขา
“ขอบใจ” เขารับมันมา ก่อนจะจัดการแต่งตัวหลังจากต้องเปลือยกายอยู่เกือบชั่วโมง
“เอ่อ... จะให้ผมเรียกผู้หญิงคนไหนมาปรนนิบัตินายคืนนี้ดีครับ” ไมค์เสนอตัวอย่างรู้งาน
“นี่แกเห็นฉันน่าสมเพชขนาดนี้เลยหรือไงวะไมค์”
“เปล่านะครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” เขาก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด
“รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวฉันยังจัดการไม่ได้” ออสตินติดกระดุมเสื้อสูทด้วยความแค้นใจ ภาพของพิมพ์ภลัสที่เถียงเขาคำเว้นคำ และเรียวขาสวยที่เขาได้สัมผัสปรากฏในหัวเขาวนไปวนมาซ้ำๆ จนแก่นกายของเขาที่ถูกเธอทำร้ายเมื่อครู่นูนเริ่มขยายใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันยังมีเวลาจัดการกับคุณพิมพ์อีกเยอะ แต่ไอ้พวกที่มันคิดจะหักหลังฉัน มันต้องตายภายในวันนี้”
ปัง!
ปัง!
ปัง!
“ผมกลัวแล้วครับ ผมกลัวแล้วครับคุณออสติน” เสียงสั่นเครือของชายวัยกลางคนดังขึ้น ทันทีที่เสียงปืนทั้งสามนัดสิ้นสุดลง
“ถึงกับต้องยกมือขอร้องชีวิตผมเลยเหรอคุณดำรงค์” ออสตินจ่อปากกระบอกปืนที่ขมับของเขา
“ผมขอโทษครับ ผมจะหาเงินมาคืนคุณออสตินทุกบาททุกสตางค์เลยครับ” ดำรงค์กอดขาออสตินขอความปราณี แต่ออสตินก็สะบัดออกอย่างไร้เยื่อใย
“คุณจำที่เราตกลงกันได้ไหม ว่าอะไรที่รู้แค่คุณกับผม มันก็จะรู้แค่คุณกับผม แต่ถ้ามีคนอื่นรู้เรื่อง แปลว่ามันออกมาจากปากคุณ ถ้าคุณทำงานกับผมอย่างซื่อสัตย์ ผมก็จะซื่อสัตย์กับคุณ ขอแค่คุณรอเวลา ผลตอบแทนที่คุณจะได้มันคุ้มค่าจนทำให้คุณนั่งกินนอนกินไปได้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า”
“ผมขอโทษครับ ผมผิดเอง ผมผิดที่โลภมาก”
“คุณก็รู้นะว่าธุรกิจเดินเรือขนส่งสินค้า มันสำคัญกับผมมากขนาดไหน ถ้าผมดูแลจนมันเข้าที่เข้าทาง ผมก็จะขนส่งได้ทุกอย่างแม้กระทั่งยาเสพติดและผู้หญิงที่คุณดำรงค์ชอบไปซื้อกินบ่อยๆ แต่คุณก็ดันปากโป้งเอาความลับของผมไปขายให้พวกตำรวจ แถมยังหักหลังผมด้วยการยักยอกเงินอีก ดีที่พวกตำรวจหน้าโง่พวกนั้นมันเห็นแก่เงินไม่ต่างจากคุณ”
“ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ ผมจะหาเงินมาคืนให้ครบ ขอแค่ไว้ชีวิตผมก็พอ”
“เฮ้อ... ไหนบอกมาสิ ว่าถ้าผมไว้ชีวิตคุณ คุณจะตอบแทนผมยังไง” ออสตินส่งรอยยิ้มอาบยาพิษให้เขา
“ผมจะจัดหาผู้หญิงมาให้ได้มากกว่านี้ครับ”
“เท่าไหร่ล่ะครับ เพราะปกติคนของผมหาได้ก็เดือนละไม่ต่ำกว่าร้อยคน คุณดำรงค์จะหามาได้เท่าไหร่ครับ”
ปัง!
ออสตินยิงปืนผ่านหูดำรงค์ไปอย่างเฉียดฉิว เสียงลูกปืนที่ผ่านไปทำเอาดำรงค์แทบหยุดหายใจ
“ผมมีความลับมาบอกครับ”
“ถ้ามันไม่น่าสนใจพอ พรุ่งนี้ลูกสาวสุดที่รักของคุณ คงต้องให้คนอื่นไปรับที่โรงเรียนนะครับ” ออสตินโยนรูปเด็กผู้หญิงวัยกำลังน่ารักใส่หน้าดำรงค์ ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้เก่าๆ ในโกดัง เพื่อรอฟังความลับที่เขาจะบอก...
“ผมรู้ว่าคุณมาเรีย ทิ้งพ่อของคุณมาอยู่กับใคร” ดำรงค์กลั้นใจพูดในที่สุด ยังไงเขาก็ต้องรอดชีวิตกลับไปให้ได้
“แกรู้ว่าแม่ฉันทิ้งพ่อไปอยู่กับไอ้ชั่วคนไหนงั้นเหรอ!” ออสตินตรงเข้ามากระชากคอเสื้อเขาไว้อย่างโกรธแค้น คำพูดของเขามันกรีดแทงเข้าไปในส่วนลึกของความทรงจำที่เขาพยายามลืมมันไปให้ได้
“แม่... แม่จะไปไหน”
“ปล่อยแม่ออสติน แม่อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้”
“แม่จะไปไหน ทำไมแม่ไม่อยู่กับผม”
“ออสติน ลูกต้องดูแลอันนาดีๆ นะครับ สองคนพี่น้อง จำไว้ ว่าเรามีกันแค่นี้”
“แม่จะไปไหน แม่! แม่!”
“ผมไม่ได้พูดลอยๆ นะครับ ผมมีหลักฐานที่จะยืนว่าผมพูดจริงอยู่ที่บ้าน คุณจะตามไปดูหรือให้คนของคุณไปเอามาก็ได้” ดำรงค์บอกอย่างมั่นใจ
“ได้! ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง แต่ถ้าหลักฐานที่แกว่ามันจับต้องไม่ได้ อย่าหวังว่าจะได้ตายดี”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับคุณออสติน ขอบคุณที่ไว้ชีวิตผมครับ” ดำรงค์ดีใจจนแทบจะก้มกราบเท้าออสติน
“ตามไปเอาหลักฐาน แต่ถ้ามันคิดตุกติก ก็จัดการซะ” เขาหันไปบอกไมค์
“ส่วนแก มากับฉัน” เขาเดินนำมาร์คออกไป
“ไป! ไปเอาหลักฐานที่คุณว่ากันดีกว่า” ไมค์หิ้วปีกของดำรงค์ที่ยังคงนั่งตัวสั่นขึ้นมา ก่อนจะลากตัวเขาไป
“เรื่องครอบครัวของพิมพ์ลภัสที่ฉันให้ไปสืบ ได้เรื่องถึงไหนแล้ว” ออสตินถามเมื่ออยู่บนรถกับมาร์คเพียงลำพัง
“คุณพิมพ์ลภัส มีพี่ชายสองคน คือคุณภัทรภูมิ ที่ดูแลบริษัทขนส่งสินค้าที่เราเพิ่งร่วมหุ้นด้วย ส่วนอีกคนชื่อภัทรพล ดูแลธุรกิจนำเข้ารถยนต์ของครอบครัว พ่อคุณพิมพ์ ชื่อคุณดิเรก วางมือจากงานทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังเข้ามาช่วยคุณพิมพ์ดูแลงานบ้าง เพราะเธอไม่ได้เรียนจบมาทางด้านบริหาร ส่วนแม่ของเธอชื่อญานี เสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็กครับ ส่วนคุณดำรงค์ เป็นน้องชายของคุณดิเรก แต่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ครับ คุณดำรงค์น้อยใจที่พี่ชายไม่ยอมให้แบ่งธุรกิจให้เขาได้บริหารบ้าง”
“หึ... ฉันน่าจะรู้เร็วกว่านี้ว่ามันไว้ใจไม่ได้” ออสตินบอกอย่างแค้นใจ
“ไม่ใช่ความผิดของนายหรอกครับ เพราะมันเป็นคำสั่งของคุณท่าน ก่อนที่ท่านจะเสีย”
“ตอนนั้นพ่อฉันคิดอะไรอยู่ ถึงได้ไว้ใจไอ้คนทรยศแบบนี้” เขาคิดถึงพ่อของเขา ที่เพิ่งจะจบชีวิตลงเมื่อสามเดือนก่อนหน้านี้
“เอ่อ... ผมขอเสียมารยาทหน่อยนะครับนาย”
“จะพูดอะไรก็พูดมา”
“ผมว่าพอจะเดาออกนะครับ ว่าคนที่ดำรงค์พูดถึงเป็นใคร”
“ฉันก็คิดเหมือนแก... ถ้าเป็นจริงอย่างที่คิด งานนี้ก็สนุกแน่” ออสตินลูบคางอย่างเชื่อมั่นในความคิดของตน
(“เอ่อ... พี่นิดคะ พิมพ์มีอะไรให้ช่วยหน่อยค่ะ”) พิมพ์ลภัสต่อสายหานิดา ผู้เป็นเลขาของเธอ
(“ค่ะคุณพิมพ์”)
(“ช่วยเช็คกล้องวงจรปิดให้หน่อยได้ไหมคะ ว่าไอ้ออส เอ้ย คุณออสติน ออกไปจากห้องหรือยัง”) เธอลังเลที่จะเปิดประตูเหลือเกิน แต่ในเมื่อเขาสั่งลูกน้องว่าอีกหนึ่งชั่วโมงให้มารับ ตอนนี้เขาก็ไม่ควรจะอยู่ที่ห้องแล้ว แต่หากว่าเธอเกิดชะล่าใจ เปิดไปเจอเขายืนแก้ผ้าอยู่หน้าห้อง เธอได้ซวยอีกแน่
(“ออกไปสักพักแล้วค่ะคุณพิมพ์”)
(“พี่นิดรู้ได้ยังไงคะ เช็คแล้วเหรอ”)
(“พนักงานเค้าพูดกันให้แซ่ดแล้วค่ะ พี่ว่าคุณพิมพ์รีบลงมาจัดการดีกว่าค่ะ”)
(“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่นิด”) พิมพ์ลภัสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดประตู เธอสบายใจเหลือเกินที่ไม่เห็นเขาอยู่แถวนี้ ต่อไปเธอต้องลงไปจัดการกับพวกพนักงานในออฟฟิศเสียก่อน
“พิมพ์มีเรื่องจะแจ้งค่ะ” ทั้งออฟฟิศเงียบกริบเมื่อได้ยินเสียงเจ้านาย
“ที่ทุกคนเห็นเมื่อกี๊ เค้าชวนพิมพ์ไปทานข้าว แต่พิมพ์ไม่ไป เราก็เลยเถียงกันนิดหน่อย แล้วเค้าก็พูดจาไม่เข้าหู พิมพ์เลยตามมาตบเค้าแบบที่ทุกคนเห็น ส่วนที่เค้าแบกตัวพิมพ์ไป เค้าไม่ได้ทำอะไรพิมพ์น่ากลัวหรอกค่ะ เค้าแค่เสียหน้าที่โดนพิมพ์ตบต่อหน้าทุกคนก็เท่านั้น ฝากทุกคนประณามเค้าด้วยนะคะ ถ้าเห็นเค้าข้างนอกก็มองบน เบะปาก หรือถุยน้ำลายใส่เค้าไปเลยค่ะ แต่ถ้าเค้าอยู่ในพื้นที่ของโรงแรมเรา ก็ดูแลเค้าตามมารยาทแล้วกันนะคะ เพราะเค้าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเรา เงินที่เค้าซื้อห้องสวีทไปวันนี้ เป็นโบนัสครึ่งปีแรกของทุกคนค่ะ เข้าใจตรงกันนะคะทุกคนนะคะ ขอบคุณค่ะ” พิมพ์ลภัสพูดจบก็เดินเข้าห้องทำงานไปอย่างโล่งอก อย่างน้อยเธอก็ได้อธิบายจากปากของเธอ แม้ว่ามันจะมีส่วนผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ก็เพื่อชื่อเสียงของตัวเธอเองทั้งนั้น
“ใครจะพูดว่าโดนแบกไปจูบ” เธอถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อคิดถึงคนสร้างปัญหาให้เธอย่างออสติน