นาร์ซิสซัสคลับ ไนต์คลับสุดหรูมีระดับ เปิดให้บริการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนซึ่งผสมผสานความลงตัวของดนตรีหลากหลายแนว แบ่งโซนให้แขกได้เลือกรับบริการ โดยมนัส จักรพล วัย 32 ปี เจ้าของนาร์ซิสซัสคลับ เจ้าของสถานบันเทิงครบวงจรที่มีชื่อเสียงใจกลางกรุง ก้าวเดินอย่างมาดมั่นในชุดกางเกงยีนเนื้อดี เสื้อยืดโปโลตัวเก่ง ก่อนจะยกนาฬิกาเรือนหรูขึ้นดู
“ไหนบอกว่าขึ้นรถมาแล้ว ทำไมป่านนี้ยังไม่ถึงนะ...”
เจ้าของร้านหนุ่มเปรยกับตัวเองเบาๆ เหมือนย้ำให้รู้ว่าใครอีกคนได้บอกเขามาแบบนั้น ครั้นจะไม่สนใจ รอให้อีกฝ่ายมาถึงอย่างใจเย็นก็ใช่ที่...
มนัสเริ่มสอดส่ายมองผ่านแขก ที่กำลังเดินจับกลุ่มเข้ามา เวลาผ่านไป จนรู้สึกร้อนใจ จึงล้วงหยิบมือถือ ขึ้นมากดโทรหา เพื่อสอบถามให้แน่ใจอีกครั้ง โดยสายตาก็สอดส่ายไปตามเส้นทางเข้าออก เผื่อจะมีคนที่เขารออยู่ปะปนมาให้เห็น หากแต่หมายเลขที่จำขึ้นใจยังไม่ได้กดออก มีบางอย่างสะกิดอยู่ด้านหลัง ทำให้เขาละสายตาจากกลุ่มคนที่เดินพลุกพล่านแล้วหันขวับ
“อ้าว มาแล้วหรอ?”
ใบหน้าหล่อเข้มยิ้มกว้าง เอ่ยถาม พร้อมสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า เพื่อต้องการซักถามให้ถนัดขึ้น หากแต่ก็หยุดชะงัก ริมฝีปากบางอย่างผู้หญิงที่ฉีกยิ้มรออย่างดีใจ ค่อยๆ หุบลง เมื่อสภาพน้องสาวบุญธรรมตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับคนสมบุกสมบัน ผ่านมรสุมพายุมาสดๆ ร้อนๆ
“แล้วไปทำอะไรมา ทำไมสภาพถึงได้เป็นแบบนี้?”
ความสงสัยทำให้มนัสเอ่ยถามคนสะกิด พร้อมนิ้วชี้ ชี้ไปยังเส้นผมที่หลุดลุ้ยจากที่เกล้ายกสูงเป็นหางม้าไว้ ชี้ฟูปรกใบหน้า เป็นการยืนยันว่าเขาดูไม่ผิด
“เฮ้อ อย่าให้พูดเลยค่ะ วันนี้ไม่รู้เป็นไง ซวยทั้งวัน”
“ทำไม มีอะไรอีก” มนัสถามกลับด้วยความห่วงใย แต่ครั้งนี้ ดูหล่อนจะโดนหนัก ถึงขั้นต้องหาที่ลี้ภัย
“มีเรื่องนิดหน่อย แต่ก็ไม่นิดแหละ...” เธอบอกน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย คล้ายไม่มั่นใจ ว่าเรื่องที่กำลังเจออยู่ นิดหน่อยหรือไม่
“เรื่องอะไรละ หรือว่าเรื่องงานเขียน...” เขารู้ว่าหล่อนมีปัญหาเรื่องเงิน เพราะรายได้หลักจากค่าต้นฉบับไม่แน่นอน ช้าบ้างเร็วบาง จนบางครั้ง ต้องกลายเป็น นักเขียนไส้แห้งตลอดเดือนก็เคยมี “หากยังไง มาทำควบคู่กับงานประจำสิ พี่ยินดีรับเข้าทำงาน”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและจริงใจ เรียกสติของคนที่อยู่ในห้วงภวังค์ ให้หันมาสบตาพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่เป็นไรหรอก แค่พี่ให้ที่พักกาลก็เกรงใจจะแย่” น้ำเสียงจริงจังทำให้มนัสเปลี่ยนคำถาม เพราะรู้ว่า ขืนพูดซ้ำเรื่องเดิมมากๆรติกาลก็จะไม่กล้ามาขอความช่วยเหลือเขาอีก
“อ้าว แล้วที่ว่าซวยทั้งวัน คืออะไรล่ะ?”
“เอ่อ...ก็อย่างที่เห็นนี่ล่ะ เมื่อเช้ามีเรื่องนิดหน่อย นี่แท็กซี่ไล่ลงกลางทาง แล้วมาต่อมอไซค์บอกว่ามาทางลัด เล่นเอาผมเผ้ายุ่งเหยิงกระดูกกระเดี้ยวเกือบหักยิ่งกว่าทางรถวิบาก”
น้ำเสียงขยาด พร้อมสีหน้ายู่ยี่ยืนยัน โดยข้ามเรื่องบางเรื่องไป เหมือนว่ามันไม่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอกระนั้น
“แย่” มนัสเอ่ยประโยคนั้นออกมาจากความรู้สึกเห็นใจจริง ๆ
รติกาลแสดงสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อยทำให้พี่ชายเป็นห่วง แต่ก็นึกขอบคุณพระเจ้า ที่ทำให้เธอผ่านพ้นเหตุการณ์เลวร้ายมาได้โดยไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
อีกด้านบนถนนสายหลัก ใบหน้าคมเข้มบูดบึ้งเหมือนเด็กโดนขัดใจ คันเร่งถูกระบายด้วยอารมณ์คุกรุ่น ความเร็ววิ่งโฉบเฉี่ยวตลอดเส้นทาง ปนัดดาที่นัดออกเดทกันไว้ ได้แต่อดกลั้นความหวาดเสียวจนตัวเกร็ง หากแต่ไม่กล้าเอ่ยห้าม เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายลืมไปแล้ว ว่าเธอนั่งอยู่ในรถด้วยอีกคน
ความเร็วยังถูกปล่อยไปตามอารมณ์ แต่ปนัดดาเหมือนจะกลายเป็นคนขาดน้ำ ลำคอแห้งผาก ทั้งที่การทำงานของแอร์ยังส่งอุณหภูมิออกมาได้อย่างดีเหยี่ยม
“ใครทำให้คุณอารมเสียมาคะ?” ปนัดดากลั้นใจถาม สายตาก้มมองฝ่ามือตนเอง ไม่กล้าสบตาเสือร้ายนัยน์ตาสีฟ้า
“ผู้หญิงบ้า!...”
เฮริคโพลงออกมา จนปนัดดาสะดุ้งวาบ หน้าเผือดสี อึกอักหน้าม่าน ...นี่เขาเป็นฝ่ายมาผิดเวลานัด แล้วยังขับรถหวาดเสียวจนเธอเกือบฉี่ราดอยู่แล้ว นี่ยังว่าเธอบ้าอีก อย่างนั้นหรือ?
ความน้อยใจเริ่มเกาะกุมพื้นที่หัวใจ จนต้องซ่อนอารมอ่อนไหวไว้นอกกระจก
เฮริคชะงัก ด้วยความที่ลืมตัว จนพลั่งปากออกไป “อะอ้อ ไม่มีอะไรครับ ผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่คุณหรอก” เขาอ่านสีหน้าปนัดดาออก แล้วรู้สึกผิดขึ้นมาครามครัน โมโหผู้หญิงอีกคน แต่ดันมาลงกับผู้หญิงอีกคน เฮ้อ!
“ค่ะ...” ปนัดดาตอบรับ ละสายตาจากภายนอก ไม่เข้าใจ ว่าผู้หญิง ‘บ้า’ที่เฮริคหมายถึง ใช่ผู้หญิงในสต๊อกเขาหรือเปล่า...
รถเบนต์คันหรูเบนเข้าช่องทางแคบๆ ด้านหน้ามีแสงไปสลัว สายตากลมใสสอดส่ายมองไปยังเบื้องหน้า อาคารสูงที่มีป้ายขนาดใหญ่เขียนเด่นชัดให้คนที่ผ่านไปมาได้รู้ ‘นาร์ซิสซัสคลับ’
“ถึงแล้วหรือคะ?”
ใบหน้าหวานยิ้มน้อยๆ รู้สึกโล่งและรู้สึกตื่นเต้นในคราเดียวกัน เมื่อรถจอดสนิทนิ่ง
“อะ ครับ”
เสียงทุ้มออกทื่อๆ เอ่ยรับ เหมือนนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้าเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง
“....” ปนัชดาไหวไหล่ยิ้มหวานส่งไป เหมือนบอกให้รู้ว่าเธอไม่เป็นไร
ใบหน้าคมเข้มจึงยิ้มกว้างไหวไหล่ตอบกลับไปเช่นกัน ‘เขาลืม’ ไปแล้วว่ามีหญิงสาวติดรถมาด้วย มันน่าเจ็บใจยายผู้หญิงหน้าคมนั่นชะมัด!...
เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยไฟโทสะลุกท่วม เมื่อนึกถึงใบหน้าหญิงสาวอีกคน ที่หล่อนกล้าทำให้อารมณ์เขาแตกกระเจิงได้อย่างมาก
เฮริคขยับลงจากรถก่อนจะรีบสลัดภาพผู้หญิงกวนอารมณ์นั้นทิ้ง แล้วทำหน้าที่สุภาพบุรุษโดยเปิดประตูด้านข้างให้สาวสวย ร่างบางสมส่วนขยับกายออกมา ยิ้มหวานแต้มส่งให้ ก่อนจะกล่าวด้วยจริตมารยา
“ขอบคุณค่ะ”
เธอกล่าวขอบคุณและลุกขึ้นคล้องแขนหนุ่มลูกครึ่งที่ยื่นมารอรับและเดินกันออกไป
แสงสีแปลกตาเริ่มเฉิดฉายเด่นชัด การแสดงและเพลงเริ่มดังกึกก้อง เฮริคนำสาวสวยไปยังอีกมุมของร้านดัง มองกิริยาท่าทางที่ไม่ได้เจนจัดเรื่องเที่ยวกลางคืนอย่างสาวสวยคนอื่นๆ ที่เขาเคยควง